“ส่งจักรยานไปซ่อมบำรุงเนี่ยนะ?” หยางเสียวจิ่นถามซ้ำอีกรอบด้วยใบหน้าประหลาดๆ
“ใช่” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ พร้อมกับพอเดาได้รางๆ ว่าตนพูดอะไรบางอย่างผิดไปแน่หลังจากเห็นสีหน้าของหยางเสียวจิ่น แต่เขายังไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิด
จากนั้นท่ามกลางฟ้าเจิดจ้า เริ่นเสี่ยวซู่เห็นหยางเสียวจิ่นหัวเราะตัวโยนอยู่หน้าประตูโรงเรียน
“หัวเราะอะไรน่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่เดินเข้าโรงเรียนไปด้วยสีหน้าอึมครึม ทิ้งหยางเสียวจิ่นที่ยังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งไว้หน้าโรงเรียน
หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่เข้าห้องเรียน หยางเสียวจิ่นก็ตามเขามาติดๆ พวกเขานั่งกันอยู่แถวท้าย ทั้งยังเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกัน ตอนนี้หยางเสียวจิ่นพยายามสุดชีวิตไม่ให้มองหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ ถ้าเธอมองเขา เธอคงได้หลุดเสียงหัวเราะอีกแน่
“ตลกอะไรนักหนา” เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย
“ยังขับจักรยานไม่เป็นก็ยอมรับมา” หยางเสียวจิ่นพูด “ไหงหาข้ออ้างได้โหลยโท่ยแบบนี้เนี่ย”
“แต่ตอนฉันถามเรื่องรถของหลัวหลานเมื่อวาน เขาตอบว่าส่งไปซ่อมบำรุงนี่” เริ่นเสี่ยวซู่งุนงง
“เขาขับรถยนต์” เหยียนเสี่ยวจิ่นอธิบายไปหัวเราะไป “ซ่อมบำรุงของรถที่ว่าคือเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนไส้กรองรถอะไรเถือกนั้น แต่จักรยานของนายมีไส้กรองน้ำมันเครื่องที่ไหนล่ะ!”
เริ่นเสี่ยวซู่รู้แล้วว่าเขาผิดตรงไหน คือรถจักรยานไม่ต้องส่งไปซ่อมบำรุงสินะ ที่พลาดแบบนี้ก็เพราะความยากจนล้วนๆ เลย!
เริ่นเสี่ยวซู่เลิกคิ้ว “เรียนแล้วแต่ยังขี่ไม่เป็นแล้วยังไง เธอลองครั้งแรกก็เป็นเลยเหรอ!”
หยางเสียวจิ่นพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ก็ใช่นะสิ ลองครั้งแรกก็เป็นเลย”
เริ่นเสี่ยวซู่สะอึกเงียบไป ในใจลอบคิดจะใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะขี่จักรยานเธอมาเสียเลย จากที่เคยประสบมา หยางเสียวจิ่นไม่อยู่ระดับสูงก็ระดับปรมาจารย์แหง
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ฉลาดขึ้นแล้ว ก่อนจะคัดลอกทักษะ ต้องตรวจสอบกับพระราชวังก่อน “หยางเสียวจิ่นมีความเชี่ยวชาญการขี่จักรยานขนาดไหน”
พระราชวังตอบ [หยางเสียวจิ่นไม่มีทักษะเกี่ยวข้องกับการขี่จักรยาน]
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองหยางเสียวจิ่นด้วยสายตาเหม่อลอย พูดโม้อะไรกับฉันอยู่เนี่ยหา ไม่พูดว่าลองครั้งแรกก็ขึ้นสวรรค์ได้เลยล่ะ!
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ได้รู้แล้วว่า หยางเสียวจิ่นจะเขียนโกหกอะไรไม่ต้องคิดโครงเรื่องก่อนด้วยซ้ำ เขียนออกไหลลื่น!
เริ่นเสี่ยวซู่เคยเรียนสำนวนนี้มาก่อน แต่พออ่านพจนานุกรมของจางจิ่งหลินแล้ว เขาพบว่ามันน่าจะพูดว่า ‘อ้าปากไหลลื่น[1]’ มากกว่า เขาเลยถามจางจิ่งหลินว่าทำไมสำนวนถึงเขียนไม่เหมือนกัน
จางจิ่งหลินตอบว่าอาจจะเป็นเพราะมันเป็นตัวอักษรยืมจากภาษาโบราณอื่น จึงเขียนเป็น ‘เขียน (章-จาง)’ แทนที่จะเป็น ‘พูด (张-จาง)’ เหมือนในปัจจุบัน เป็นสำนวนที่หมายถึงคนที่พูดไร้สาระไปเรื่อย
หลังจากคุยเรื่องจักรยานเสร็จ เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าตนเองต้องใช้เวลาพักหนึ่งสังเคราะห์ข้อมูล
เสียงกริ่งดังขึ้น ครูที่สอนคณิตศาสตร์ให้มัธยมหกห้องสองก็เดินเข้ามา เขายืนอยู่ที่แท่นสอนแล้วพูดช้าๆ “ฉันจะมาสอนคณิตให้พวกเธอเป็นการชั่วคราว ทุกคนเปิดหนังสือ วันนี้พวกเราจะมาทบทวนเรื่องความน่าจะเป็นกัน”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เข้าใจบทเรียนที่ไม่ได้สอนในเมืองเลย ดังนั้นเขาจึงคิดเรียนตามแผนที่วางไว้ จะได้เรียนตามเพื่อนให้ทันให้ไวที่สุดเท่าที่ทำได้
เจียงอู๋บอกว่าสอบปลายภาคใกล้เข้ามาแล้ว ซึ่งเขาคงสอบไม่ผ่านแน่นอน ได้แต่หวังว่ารอบหน้าจะทำได้ดีกว่าเดิม จากที่เจียงอู๋ว่า เขาสามารถเรียนหลักสูตรมัธยมหกจบได้ภายในหนึ่งปีถ้าพยายามมากพอ และถ้าเขาฉลาดพอก็สามารถเรียนจบได้ในครึ่งปี
เริ่นเสี่ยวซู่ว่าถ้าเขาเรียนทันหลักสูตรพื้นฐานสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็น่าจะสอบไหว และได้เข้าไปดูเสียหน่อยว่าในนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
ตอนนั้นเอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นว่าหยางเสียวจิ่นฟุบหลับคาโต๊ะไปแล้ว เขาเขียนโน้ตแล้วจิ้มไปที่แขนของหยางเสียวจิ่น บนนั้นเขียนว่า “ไม่เรียนเหรอ แล้วมาโรงเรียนทำไมน่ะ”
หยางเสียวจิ่นยันตัวขึ้นมามองเขาตาขวาง จากนั้นก็เขียนโน้ตตอบกลับว่า “มานอน”
เริ่นเสี่ยวซู่เขียนกลับ “มานอนที่โรงเรียนแทนที่บ้านอะนะ?”
“ที่นี่นอนสบายดีกว่า”
ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่มีจุดประสงค์อื่นที่เขียนโน้ตนี้ เขาอยากยืนยันสักหน่อยว่าคนที่สอดโน้ตมาให้ผ่านใต้ประตูร้านเป็นหยางเสียวจิ่นจริงๆ
แต่ดูเหมือนหยางเสียวจิ่นจะรู้แล้วว่าเริ่นเสี่ยวซู่คิดอะไรอยู่ ถึงทั้งสองคนจะนั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน แต่ก็ยังตีหน้าซื่อทดสอบอีกฝ่ายอยู่เรื่อยๆ
เริ่นเสี่ยวซู่เขียนโน้ตถึงเธอหลายชิ้น แต่หยางเสียวจิ่นก็ไม่ยอมใช้ลายมือปกติของตัวเองเขียน
เริ่นเสี่ยวซู่เขียน “แถวนี่มีอะไรน่ากินบ้าง”
“ยานพาหนะอะไรที่ไม่ต้องส่งไปซ่อมบำรุงอีกนอกจากจักรยาน”
“เมื่อคืนเธอกินอะไรเหรอ”
เรื่องที่เขียนบนโน้ตนั้นมีแต่เรื่องไร้สาระ เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เชื่อหรอกว่าหยางเสียวจิ่นจะแสดงละครได้ตลอด
หลังจากส่งโน้ตคุยไร้สาระกันไปมาพักหนึ่ง หยางเสียวจิ่นก็ขมวดคิ้วมุ่นแล้วเปลี่ยนมาใช้ลายมือปกติของตน “ฉันเป็นคนที่สอดโน้ตใต้ประตูร้านนายเองแหละ เข้าเรื่องได้แล้ว!” เธอเลิกทำเป็นไม่รู้เรื่องและเผยไพ่ทั้งหมด
เริ่นเสี่ยวซู่เขียนตอบ “เธอบอกให้ฉันไม่ให้อยู่ที่นี่ต่อเพราะกลัวรู้ว่าเธอขโมยตัวตนฉันงั้นสิ”
เพราะอย่างนั้น หยางเสียวจิ่นจึงเมินเริ่นเสี่ยวซู่ไปอย่างสิ้นเชิง
ทันใดนั้นครูคณิตศาสตร์ที่อยู่หน้าแท่นสอนก็พูด “สองคนข้างหลัง เลิกส่งโน้ตกันไปมาได้แล้ว”
นักเรียนทั้งชั้นหันมามองเริ่นเสี่ยวซู่กับหยางเสียวจิ่นด้วยความสงสัย พวกเขาได้ยินครูคณิตศาสตร์พูด “พวกเธอสองคนชื่ออะไร”
“เริ่นเสี่ยวซู่”
“เริ่นเสี่ยวซู่เหมือนกัน!”
ครูคณิตศาสตร์โมโหขึ้นมา “เห็นฉันโง่มากเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกผิดชอบกล…
นักเรียนคนหนึ่งกล่าวกับครูเสียงค่อย “ครู พวกเขาสองคนชื่อเริ่นเสี่ยวซู่จริงๆ”
“อือ พวกเขาไม่ได้โกหก…”
ครูคณิตศาสตร์นิ่งไป เขากลับไปดูรายชื่อนักเรียนชั้นมัธยมหกห้องเจ็ด ก่อนจะพบว่ามีเริ่นเสี่ยวซู่สองคนจริงๆ คุณพระคุณเจ้า!
หลังจากคิดพักหนึ่ง เขาคิดว่าตัวเองเข้าใจผิดจริงๆ แต่จะปล่อยไว้เช่นนี้คงไม่ได้ “เริ่นเสี่ยวซู่ที่สวมหมวก ตอบคำถามบนกระดานดำ”
เริ่นเสี่ยวซู่เริงร่า โดนไปสิหยางเสียวจิ่น!
แต่พริบตาถัดมา เริ่นเสี่ยวซู่ก็ต้องตะลึงพรึงเพริดไป เขาเห็นหยางเสียวจิ่นถอดหมวกออกมาสวมใส่หัวเขาโดยไม่สนสายตาใคร อย่างงี้ก็ได้เหรอฟะ! ทว่าตอนนี้สมองเริ่นเสี่ยวซู่ว่างเปล่า เขากำลังตะลึงกับใบหน้างดงามชดช้อยของหยางเสียวจิ่นอยู่
ตอนนี้เองเริ่นเสี่ยวซู่ก็พลันคิด ที่หยางเสียวจิ่นสวมหมวก ไม่ใช่เพราะต้องการปิดบังตัวตน แต่เพราะต้องการปิดบังความงามของเธอต่างหาก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหยางเสียวจิ่นถอดหมวก และเขาก็ตาค้างกับความงามของเธอไปเลย
นักเรียนทุกคนลืมหายใจ เพราะเขาก็เหมือนกับเริ่นเสี่ยวซู่ ไม่คิดเลยว่าหยางเสียวจิ่นจะสวยขนาดนี้
ทั้งชั้นเงียบไป มีแต่ครูคณิตศาสตร์ชราที่ยังดูสงบเรียบนิ่งอยู่ “เริ่นเสี่ยวซู่ที่สวมหมวก ยืนขึ้นตอบคำถาม”
หลังจากได้สติแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ชี้หน้าตัวเอง “ผมเหรอ”
“ใช่ นายนั่นแหละ!” ครูคณิตศาสตร์ว่า
เริ่นเสี่ยวซู่ “ครูครับ ครูไม่เห็นเหรอว่าหมวกเพิ่งตกมาอยู่บนหัวผมน่ะ”
ครูคณิตศาสตร์หัวเราะ “เธอเป็นเด็กน่ารักเกินกว่าฉันจะให้เธอคำถาม ส่วนนายรีบลุกตอบคำถามได้แล้ว”
เริ่นเสี่ยวซู่ “…”
[1] เขียนออกไหลลื่น (章口就来) อ้าปากไหลลื่น (张口就来) หมายถึงคนพูดอะไรไม่คิด พูดได้น้ำไหลไฟดับแต่หาแก่นสารไม่ได้ 章口 และ 张口 ออกเสียงเหมือนกันว่าจางโค่ว