“แต่ที่นี่ไม่ใช่พื้นที่ของสมาคมตระกูลชิ่งนะ” เสี่ยวอวี้เป็นกังวล “หลัวหลานจะช่วยอะไรได้เหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูด “เขามีอำนาจขนาดทำให้เราเป็นผู้อาศัยในป้อมปราการอย่างถูกกฎหมายได้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่น่าเป็นปัญหา ผมว่าไม่มีอะไรหรอก”
“แล้วถ้าเขาไม่มาหาพวกเราล่ะ” เสี่ยวอวี้ถาม
เหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ใกล้ๆ เอ่ย “ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลยพี่ ตงฟู่หนานยังอยู่ในมือพวกเรา”
พูดจบก็ได้ยินเสียงรถดังใกล้เข้ามา เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมอง นั่นมันหลัวหลานนั่งเชิดหน้าอยู่ที่นั่งข้างคนขับไม่ใช่เหรอ
รถยนต์มาจอดที่หน้าร้าน เริ่นเสี่ยวซู่หันมองหลัวหลาน “ซื้อรถมาใหม่?”
หลัวหลานรวยมากเห็นกันอยู่แล้ว เสี่ยวอวี้เล่าว่าเธอไปถามราคารถที่ร้านขายรถมา แต่ไม่ว่าจะเป็นรถหรูหรือไม่ ราคาก็ล้วนสูงปรี๊ด
ส่วนหลัวหลานไม่กี่วันก็เปลี่ยนรถไปหลายคันแล้ว
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้เลยว่าพวกรถราคา ‘สูงปรี๊ด’ ที่ว่านั่นถือว่าเป็นแค่ของเล่นถ้าเทียบกับอำนาจทางการเงินที่สมาคมหนึ่งมี
หลัวหลานกระโดดลงมาจากรถ “มายืนกันที่หน้าร้านทำไมน่ะ”
“กองดูแลความสงบเรียบร้อยจับหวังฟู่กุ้ยไป” เริ่นเสี่ยวซู่เข้าประเด็นทันที
หลัวหลานผงะ “เกิดอะไรขึ้น”
เริ่นเสี่ยวซู่อธิบายให้เขาฟัง หลัวหลานขมวดคิ้วมุ่น “เหมือนจะมีคนเล็งเป้าไปที่ยาดำ อาจจะเป็นเพราะว่ายาดำมีฤทธิ์เยี่ยมมากก็ได้ เลยมีคนไม่น้อยคิดอยากยึดเป็นของตัวเองคนเดียว ฉันเคยเห็นแผนการแบบนี้มาก่อน ตอนแรกจะใช้ทุกวิธีห้ามนายขายยา จากนั้นก็จะส่งคนมาซื้อสูตร”
“ซื้อสูตรยา?” เริ่นเสี่ยวซู่สีหน้าบูดบึ้ง คนที่สามารถขโมยสูตรยาดำได้คงยังไม่เกิดเลยมั้ง ขนาดตัวเขาเองเขายังไม่รู้สูตรยาเลย
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ” หลัวหลานพูด “ยังมีปัญหาอื่นที่นายต้องเจออีก ต่อให้นายรับมือได้หนึ่งราย แต่คนอื่นๆ ก็จะแห่มาอยู่ดี พวกเขาจะทำให้นายหลังชนฝา จากนั้นก็ซื้อสูตรยาดำจากนายด้วยราคาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน”
“เรื่องที่ยังไม่เกิดก็ช่างมันไปก่อน” เริ่นเสี่ยวซู่จ้องหน้าหลัวหลานแล้วถาม “ในกองดูแลความสงบเรียบร้อยมีคนจากสมาคมตระกูลชิ่งหรือเปล่า”
หลัวหลาน “มี สองวันก่อนคนของฉันโดนจับไปขังที่นั่นสองคน…”
เริ่นเสี่ยวซู่ “…”
เขาโกรธแกมขัน “ฉันไม่ได้ต้องการถามแบบนั้นโว้ย…”
“ฮ่าๆๆ ล้อเล่นเฉยๆ น่า” หลัวหลานหัวเราะคิกคัก
“ขนาดเป็นคนของสมาคมตระกูลชิ่งก็โดนจับได้ด้วยเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดไม่ออก เขาคิดจะใช้หลัวหลานช่วยหวังฟู่กุ้ยออกมาจากกองดูแลความสงบเรียบร้อยเสียหน่อย ทว่าเขาต้องตะลึงไปที่สมาคมตระกูลชิ่งมีคนโดนจับไปเหมือนกัน
“นายเข้าใจผิดแล้ว” หลัวหลานว่า “เดี๋ยวไปถามลู่หยวนเรื่องนี้ให้ หวังฟู่กุ้ยน่าจะถูกปล่อยตัวคืนนี้แหละ”
“ทำไมนายไม่เอาคนของตัวเองออกมาก่อนล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เข้าใจ
หลัวหลานเขินเล็กน้อย “พวกเขายังเปิดเผยตัวตนไม่ได้น่ะ”
พูดแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็พลันเข้าใจว่าคนทั้งสองของหลัวหลานที่ถูกจับไปคงกำลังทำเรื่องผิดกฎหมายภายใต้คำสั่งของหลัวหลานอยู่ ดังนั้นเขาจึงไปออกหน้าช่วยพวกเขาไม่ได้ แต่เรื่องของหวังฟู่กุ้ยเขายังช่วยเหลือได้อยู่
ทว่ายังคุยกับหลัวหลานไม่ทันเสร็จ เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นหวังฟู่กุ้ยเดินเข้าร้านมา เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึง “เหล่าหวัง ไม่ใช่ว่าลุงโดนกองดูแลความสงบเรียบร้อยจับไปเหรอ”
“อ้อ” หวังฟู่กุ้ยเอ่ย “พอฉันไปถึงกอง พวกเขาก็ได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบน และปล่อยฉันกลับมาเนี่ย”
“ใครเป็นคนสั่ง” เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย “พวกเขาทำอะไรลุงหรือเปล่า”
“เปล่าๆ เห็นมีคนพูดว่ามีคำสั่งปล่อยตัวลงมาจากผู้ปกครองป้อมลู่หย่วนแน่ะ” หวังฟู่กุ้ยยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลัวหลานที่อยู่ด้านข้างภาคภูมิใจ “เห็นมะ? พวกเขายังเคารพฉันอยู่เนี่ย เจ้าลู่หย่วนนั่นรู้เรื่องรู้ราวใช้ได้เลย”
ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล ไม่ว่าลู่หย่วนจะไว้หน้าหลัวหลานแค่ไหน พวกเขาก็คงไม่มีทางปล่อยหวังฟู่กุ้ยทั้งๆ ที่หลัวหลานยังไม่ไปหาหรอก หรือว่ายังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรอื่นอีก แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้ว่าลู่หย่วนกับสมาคมตระกูลชิ่งมีสายสัมพันธ์แบบไหน เขาเองจึงตัดสินอะไรไม่ได้เช่นกัน
แค่หวังฟู่กุ้ยถูกปล่อยตัวมาได้ก็เยี่ยมแล้ว
“เอาล่ะ พวกนายสองคนคุยกันไปก่อน ฉันจะไปคุยกับตงฟู่หนาน” หลัวหลานยิ้ม “ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้วล่ะ ถ้ามีคนมาสร้างปัญหาก็มาหาฉันได้”
“ขนาดลู่หย่วนยื่นมือออกมาแล้ว คนพวกนั้นยังไม่เลิกรังควานพวกฉันอีกเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่งุนงง
“มนุษย์ขับเคลื่อนด้วยเงินตรา” หลัวหลานว่า “ก็อย่างคำพูดที่ว่า ยิ่งคุณอยู่ระดับต่ำเท่าไร ก็ยากที่จะข้ามผ่านมากเท่านั้น แถมลู่หยวนไม่ใช่ผู้กุมอำนาจเด็ดขาดในป้อมปราการ 109 ใครจะไปรู้ อาจจะเป็นสมาคมตระกูลหลี่ก็ได้ที่จับตายาดำอยู่ หรือไม่ก็อาจจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ถ้าคนพวกนั้นหาเรื่องให้พวกนายไม่หยุด ก็สร้างปัญหาให้นายไม่หย่อนแล้ว”
เริ่นเสี่ยวซู่เงียบไป เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เผชิญคนที่ชั่วร้ายแบบนี้ในป้อมปราการ ถ้าคนในแดนรกร้างปล้นคนด้วยมีดแหลม คนในป้อมปราการก็คงปล้นคนด้วยมีดทื่อ
แต่สุดท้ายมองอย่างไรพวกเขาก็เป็นโจรอยู่ดีไม่ใช่หรือ
ต่อให้ใส่สูทก็ไม่ทำให้สันดานโจรป่าเปลี่ยนไปหรอก
เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ขอบคุณล่วงหน้านะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉันจะไปหานายทันทีเลย”
หลัวหลานยิ้ม “ตอนนี้นายอยู่ในป้อมปราการ ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในป้อมปราการด้วย นายจะเอาแต่สู้เอาแต่ฆ่าอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ ถังโจว เอาเบอร์โทรพวกเราให้เขา”
เริ่นเสี่ยวซู่พลันเกิดคำถาม “แต่ช่วงนี้เป็นพวกนายเอาแต่สู้เอาแต่ฆ่านะ”
“ฮ่าๆๆ อย่างงั้นเหรอ” หลัวหลาวยิ้มขื่น “มันเป็นกลยุทธ์ของฉันน่ะ!”
“กลยุทธ์อะไรล่ะนั่น” เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย
“ก็อย่างที่นายเห็น สมาคมตระกูลหลี่คุ้มกันผลงานวิจัยอย่างกับเป็นสมบัติล้ำค่า พวกเขาใช้กำลังทหารทั้งหมดของตัวเองทุ่มคุ้มกันที่นั่น” หลัวหลานพูดอย่างภาคภูมิใจ “แต่นายก็เห็น มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะแยะขนาดนี้พวกเขาอยู่เฉยไม่ได้แล้วล่ะ สุดท้ายก็ถูกบังคับให้แบ่งกำลังออกมา แบบนี้กองกำลังคุ้มกันที่มหาวิทยาลัยก็อ่อนแอลงแล้วไง”
เริ่นเสี่ยวซู่แปลกใจ “นายคิดได้ถึงขนาดนั้นเลย ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านายเพิ่งคิดหาเหตุผลขึ้นมามั่วซั่วนะ”
หลัวหลานไม่พอใจ “ฉันนี่ใคร ขี้เกียจคุยกับนายแล้ว เสียความรู้สึก!”
หลัวหลานพูดจบก็เดินไปหลังร้าน เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวกับหวังฟู่กุ้ยและคนอื่นๆ “ช่วงนี้ก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน”
“ไม่มีวิธีอื่นที่ตรงไปตรงมากว่านี้แล้วหรือไงนะ” เป็นครั้งแรกที่หวังฟู่กุ้ยเจออะไรแบบนี้ “คนพวกนั้นนี่มันยังไงกัน พฤติกรรมน่ารังเกียจแบบนี้ไม่มีในแดนรกร้างด้วยซ้ำ”
เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “พวกเราเคยคิดว่าป้อมปราการเป็นสถานที่ที่ผู้อพยพทุกคนอยากเข้ามาสุดชีวิต แต่พอเข้ามาแล้วถึงได้รู้ว่า โลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสวรรค์หรอก”