และก็เป็นอย่างที่หลัวหลานเดาไว้ คนที่ตามรังควานเรื่องยาดำของเริ่นเสี่ยวซู่นั้นไม่ยอมรามือง่ายๆ เพียงเพราะลู่หย่วนยื่นมือลงมา
ข่าวฤทธิ์ยาดำกระจายไปทั่วป้อมปราการ ฉับพลันแต่ละวันมีคนมากมายหลั่งไหลเข้ามาถามเรื่องยาที่ร้าน ถ้าเป็นแค่เรื่องฤทธิ์ยาแต่เดิมของยาดำ พวกเขาคงไม่เป็นอะไรหรอกเพราะผู้คนคงไม่คลั่งเรื่องยาดำแบบนี้ ทว่าข่าวลือว่ายาดำมีฤทธิ์มหัศจรรย์ที่ช่วยรักษาภาวะมีบุตรยากได้นั้นเข้าหูคนโดยทั่วแล้ว
ถึงหวังฟู่กุ้ยจะไม่เคยยอมรับว่ายาดำมีฤทธิ์แบบนั้น แต่คนที่มาหาก็ล้วนถามถึงเรื่องนี้
ไม่รู้ว่าเป็นผลกระทบหลังจากการเกิดภัยพิบัติหรือเปล่า แต่ในปัจจุบันนี้มนุษย์เกิดภาวะมีบุตรยากมากขึ้นเรื่อยๆ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ยาดำเป็นที่ต้องการในตลาด
หากแค่ป้อมปราการเดียว ขนาดตลาดยังถือว่าเล็กนัก ทว่าบริษัทจำหน่ายยาขนาดกลางไม่น้อยในป้อมปราการนี้มีช่องทางที่จะส่งยาไปยังป้อมปราการอื่น หรืออย่างต่ำที่สุดก็สามารถส่งไปยังป้อมปราการภายใต้การควบคุมสกุลหลี่ได้อย่างไม่มีปัญหา
ถ้าพวกเขาได้ครอบครองสูตรยาดำ บริษัทยาของพวกเขาก็เหมือนได้รับต้นเงินต้นทองที่ผลิตเงินมาไม่ขาดสาย
ใครเล่าจะรังเกียจที่ตนมีเงินมาก
เริ่นเสี่ยวซู่ไปโรงเรียนแต่เช้า ทำการเข้าสอบต่อ ขณะเดียวกันหวังฟู่กุ้ยที่เห็นว่าไหนๆ ก็ยังไม่ถึงเวลาต้องขายยาดำชุดของสัปดาห์นี้ เขาเลยออกไปดูที่ตลาดจักรยาน ในเมื่อเริ่นเสี่ยวซู่สั่งให้หาซื้อจักรยาน เขาจึงลองออกมาดูเสียหน่อย
เถ้าแก่สั่งลงมาแล้ว ผู้ดูแลร้านอย่างเขาก็ต้องทำตามสิ
เสี่ยวอวี้บอกให้เฉินอู๋ตี๋ดูแลร้านให้ดีแล้วออกไปจ่ายตลาด เธอคิดว่าเย็นนี้จะทำซุปซี่โครงหมูให้เริ่นเสี่ยวซู่กับคนอื่นๆ กิน อย่างไรสมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่ก็อยู่ในวัยเจริญเติบโต เธออยากทำของที่มีสารอาหารดีๆ บ้าง
แต่ในตอนเช้าวันนั้น คนในชุดเครื่องแบบสีแดงจำนวนหนึ่งก็มาที่ร้าน พอพวกเขาเดินเข้ามา ก็เห็นเฉินอู๋ตี๋นั่งขัดสมาธิอยู่ “ใครคือหวังฟู่กุ้ย”
เฉินอู๋ตี๋กวาดตามอง “มาหาเขาทำไม”
“พวกเรามาจากกองกฎหมายของป้อมปราการ ฉันชื่อเฉินปั๋วฮั่น มีคนฟ้องร้องว่าหวังฟู่กุ้ยดำเนินธุรกิจอย่างไม่เป็นธรรม พวกเรามายื่นหมายศาล” ชายในชุดแดงกล่าว
เฉินอู๋ตี๋นิ่งไป “ดำเนินธุรกิจไม่เป็นธรรมหมายความเช่นไร”
“เดี๋ยวขึ้นศาลที่กองกฎหมายก็รู้เอง” เฉินปั๋วฮั่นดูเฉินอู๋ตี๋แล้วเอ่ย “นายไม่ใช่หวังฟู่กุ้ยสินะ นายเซ็นชื่อแทนเขาก็ได้ หมายศาลนี้สามารถให้ครอบครัวโดยตรง[1]เซ็นแทน นายเป็นครอบครัวโดยตรงของเขาใช่ไหม”
“ใช่แล้ว” เฉินอู๋ตี๋ตอบ
“อ้อ งั้นเซ็นเลย” เฉินอู๋ตี๋ยื่นปากกาให้เฉินอู๋ตี๋ก่อนจะถามว่า “นายมีความสัมพันธ์อะไรกับจำเลย”
เฉินอู๋ตี๋ “ข้าเป็นศิษย์พี่ของเขา”
เฉินปั๋วฮั่น “???”
เขารีบดึงหมายศาลกลับมา “ศิษย์พี่จะนับว่าเป็นครอบครัวโดยตรงได้ยังไง นายหาเรื่องพวกเราอยู่สินะ”
เฉินอู๋ตี๋ได้ยินแบบนั้นก็ไม่พอใจ “หาเรื่องอะไรของพวกเจ้า อาจารย์ของข้าและพวกเราสามพี่น้องไม่ต่างกับครอบครัวเดียวกัน ข้าจะไม่ใช่ครอบครัวโดยตรงได้อย่างไร”
เฉินปั๋วฮั่นจากกองกฎหมายพูดไม่ออกไปพักใหญ่ จากนั้นเขาก็อธิบาย “ความหมายของครอบครัวโดยตรงไม่ใช่อย่างที่นายพูดมา หวังต้าหลงเป็นครอบครัวโดยตรงของหวังฟู่กุ้ย แต่นายไม่ใช่”
เฉินอู๋ตี๋คิดพักหนึ่งแต่กลับสับสนยิ่งกว่าเดิม “มันแตกต่างกันเช่นไรหรือ หวังต้าหลงเป็นศิษย์น้องสามของพวกเรา เช่นนั้นถ้าศิษย์น้องสามเป็นครอบครัวโดยตรงของเขา เหตุใดข้าจึงไม่ใช่เล่า ข้าที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่สมควรเป็นครอบครัวโดยตรงของเขาเช่นกันสิ”
เฉินปั๋วฮั่นไม่รู้แล้วว่าจะตอบรับอย่างไร แม่*พูดบ้าพูดบออะไรอยู่วะเนี่ย!
เฉินปั๋วฮั่นโดนเฉินอู๋ตี่ทำเอาหัวร้อนหันหลังออกจากร้านไปทันที เขารู้สึกตัวว่าตัวเองคุยกับเฉินอู๋ตี๋ไม่ไหวแล้ว
ตอนเย็นพอเริ่นเสี่ยวซู่กลับมา เขาได้ยินเรื่องแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น ทันใดนั้นเขาก็ได้รู้ว่าตัวเองไม่เหมาะกับป้อมปราการอันรุ่งเรืองนี้เลย
ตอนมาถึงป้อมปราการ คนบนรถรางต่างถอยหนีหลังรู้ว่าพวกเขาเป็นผู้อพยพ
ตอนเริ่มเข้าเรียน พวกพ่อแม่ของนักเรียนต่างอยากให้เขาย้ายโรงเรียนหลังจากรู้ว่าพวกเขาเป็นผู้อพยพ
ตอนนี้ร้านของพวกเขาเพิ่งมีชื่อเสียง คนในป้อมปราการต่างอยากใช้กฎหมายในป้อมปราการมาบังคับให้เขาส่งสูตรยาดำออกมา ถ้าพวกเขาไม่ส่งยาสูตรออกไป พวกเขาก็จะขังทุกคน ทำให้ครอบครัวแตกสาแหรกขาด
เริ่นเสี่ยวซู่อยากใช้ชีวิตในป้อมปราการมาตลอด ทว่าตอนนี้เขามีความคิดอยากออกไปจากป้อมปราการเหมือนเหยียนลิ่วหยวนแล้ว
ยิ่งอยู่ในป้อมปราการนานไป ก็ยิ่งรู้สึกสบายใจกับการใช้ชีวิตอยู่ในแดนรกร้างมากกว่า
บางครั้งเริ่นเสี่ยวซู่ก็สงสัย ฉันจะสร้างบ้านที่เป็นของฉันจริงๆ ได้หรือเปล่านะ
ยังไม่ได้หรอก เขายังไม่มีพลังเช่นนั้น
แต่เริ่นเสี่ยวซู่เป็นผู้ไม่เคยหนีปัญหา กฎเกณฑ์ในป้อมปราการอันใดเขาไม่รู้ จึงได้แต่ใช้กฎตัวเองแก้ไขปัญหาแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่พูดกับหวังฟู่กุ้ย “ถ้าพวกเขามายื่นหมายศาลอีกก็รับไว้เลย จากนั้นก็ไปกองกฎหมายแล้วหาว่าใครกันแน่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ที่เหลือฉันจัดการเอง”
“คงไม่เกิดเรื่องนะ” หวังฟู่กุ้ยกังวล
“ไม่หรอก” เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “หลัวหลานพูดแล้วนี่ว่าสมาคมตระกูลหลี่ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องเล็กๆ พวกนี้หรอก”
ในสายตาของกลุ่มคนรวย หวังฟู่กุ้ย เริ่นเสี่ยวซู่ และคนอื่นๆ ในร้านนี้ก็แค่ผู้อพยพกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งมาถึงป้อมปราการ ถึงจะมีลู่หย่วนและหลัวหลานหนุนหลัง แต่ที่นี่เป็นเขตอิทธิพลของสมาคมตระกูลหลี่!
พวกเขาไม่รู้เสียแล้วว่าคนที่ล้างบางก่อนอรุณเมื่อคืนคือเถ้าแก้ร้านนี้นี่เอง
ตอนนี้เรื่องที่ก่อนอรุณถูกล้างบางทำให้เกิดความวุ่นวายในหมู่บุคลากรระดับสูงสุดของสมาคมตระกูลหลี่ การสำรวจภาคสนามทำให้รู้ว่าเมื่อคืนก่อนอรุณสู้กับคนเพียงสองคนเท่านั้น แถมหนึ่งในนั้นถึงกับสู้ก่อนอรุณแบบหนึ่งต่อสาม
ก่อนอรุณมีชื่อเสียงโด่งดังไม่น้อย แต่ยังไม่มีผู้มีพลังพิเศษคนไหนที่สามารถปราบพวกเขาด้วยตัวคนเดียวได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือยังไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
ตอนนี้พรายกระซิบหลี่เสินถานกำลังนั่งรับประทานบะหมี่อยู่ร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งกับซือหลีเหริน คนรอบๆ กำลังคุยกันเรื่องเมื่อคืน
กองดูแลความสงบเรียบร้อยไม่ได้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ข่าวจึงแพร่ไปอย่างรวดเร็วยิ่ง เมื่อก่อนสาธารณชนไม่ค่อยคุ้นชินกับผู้มีพลังพิเศษ ทว่าหลังคืนนั้นไป ช่องว่างก็ดูแคบขึ้นมาก
ตาลุงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ พวกเขากำลังดื่มสุราพลางพูดอย่างลึกลับ “พวกเขาไม่รู้เลยว่าใครเป็นผู้ลงมือ ไม่มีร่องรอยของฆาตกร”
“โหดร้ายเกินไปแล้ว มีคนตายตั้งเยอะแน่ะ” มีคนถอนหายใจ
“อย่าพูดเหมือนรู้ดีเลยน่า คนของบริษัทหัวจ่งก็ใช่ว่าจะเป็นคนดี” ตาลุงแค่นเสียง “เพื่อนฉันบอกว่าพวกมันเป็นคนจุดระเบิดก่อนหน้านี้”
หลี่เสินถามยิ้มๆ แล้วคุยกับเด็กหญิง “น่าจะเป็นฝีมือของเริ่นเสี่ยวซู่”
“รู้ได้ยังไงว่าเป็นเขา” ซือหลีเหรินกะพริบตาปริบๆ ถามอย่างสงสัย
“ผู้มีพลังพิเศษในป้อมปราการมีแค่นี้เอง และเขาก็เป็นคนเดียวที่ฉันไม่รู้ว่ามีพลังอะไรกันแน่” ตอนที่หลี่เสินถานยิ้ม เขาดูอบอุ่นน่าเข้าหามาก ใครจะไปคิดว่าเขาคือพรายกระซิบที่ทำให้สมาคมใหญ่ๆ รู้สึกประหวั่น เขาพูดต่อ “เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าเขาทรงพลังมาก”
“เป็นเพราะนายสะกดจิตเขาไม่ได้เหรอ” ซือหลีเหรินสงสัย
“ไม่ใช่ๆๆ ฉันยังไม่เคยลองสะกดจิตเขาเลย” หลี่เสินถานยิ้ม “เพราะสันชาตญาณของฉันบอกว่าถ้าฉันสะกดจิตเขา ฉันจะเป็นคนโดนสะกดจิตแทนน่ะสิ แต่ก็นะ แค่สันชาตญาณบอกเฉยๆ”
“ให้ฉันไปฆ่าเขาไหม” ซือหลีเหรินถาม น้ำเสียงใสซื่อของเธอนั้นไร้ร่องรอยความดีความชั่ว คำพูดฆ่าฟันน่ากลัวช่างต่างกับใบหน้าน้อยๆ น่ารักของเธอ
หลี่เสินถานส่ายหน้า “พวกเราจะฆ่าเขาทำไม เธอลืมแล้วเหรอว่าพวกเราเพิ่งเป็นเพื่อนกันนะ”
“อ้อใช่” ซือหลีเหรินพยักหน้า “พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้ว”
“แถมเธอน่าจะสู้เขาไม่ไหวด้วย” หลี่เสินถานถอนหายใจ
[1] สมาชิกครอบครัวโดยตรง (immediate family) หมายถึงญาติโดยตรงหรือใกล้ชิด อาทิคู่ครอง ผู้ปกครอง ปู่ย่าตายาย พี่น้อง บุตรและธิดา อีกคำคือสมาชิกของครอบครัวขยาย (extended family) ซึ่งอาจหมายถึงป้าน้าอา ญาติ หลาน ลูกพี่ลูกน้อง ลูกเขย เป็นต้น