the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 172 กฎแห่งแดนรกร้าง!

และก็เป็นอย่างที่หลัวหลานเดาไว้ คนที่ตามรังควานเรื่องยาดำของเริ่นเสี่ยวซู่นั้นไม่ยอมรามือง่ายๆ เพียงเพราะลู่หย่วนยื่นมือลงมา

ข่าวฤทธิ์ยาดำกระจายไปทั่วป้อมปราการ ฉับพลันแต่ละวันมีคนมากมายหลั่งไหลเข้ามาถามเรื่องยาที่ร้าน ถ้าเป็นแค่เรื่องฤทธิ์ยาแต่เดิมของยาดำ พวกเขาคงไม่เป็นอะไรหรอกเพราะผู้คนคงไม่คลั่งเรื่องยาดำแบบนี้ ทว่าข่าวลือว่ายาดำมีฤทธิ์มหัศจรรย์ที่ช่วยรักษาภาวะมีบุตรยากได้นั้นเข้าหูคนโดยทั่วแล้ว

ถึงหวังฟู่กุ้ยจะไม่เคยยอมรับว่ายาดำมีฤทธิ์แบบนั้น แต่คนที่มาหาก็ล้วนถามถึงเรื่องนี้

ไม่รู้ว่าเป็นผลกระทบหลังจากการเกิดภัยพิบัติหรือเปล่า แต่ในปัจจุบันนี้มนุษย์เกิดภาวะมีบุตรยากมากขึ้นเรื่อยๆ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ยาดำเป็นที่ต้องการในตลาด

หากแค่ป้อมปราการเดียว ขนาดตลาดยังถือว่าเล็กนัก ทว่าบริษัทจำหน่ายยาขนาดกลางไม่น้อยในป้อมปราการนี้มีช่องทางที่จะส่งยาไปยังป้อมปราการอื่น หรืออย่างต่ำที่สุดก็สามารถส่งไปยังป้อมปราการภายใต้การควบคุมสกุลหลี่ได้อย่างไม่มีปัญหา

ถ้าพวกเขาได้ครอบครองสูตรยาดำ บริษัทยาของพวกเขาก็เหมือนได้รับต้นเงินต้นทองที่ผลิตเงินมาไม่ขาดสาย

ใครเล่าจะรังเกียจที่ตนมีเงินมาก

เริ่นเสี่ยวซู่ไปโรงเรียนแต่เช้า ทำการเข้าสอบต่อ ขณะเดียวกันหวังฟู่กุ้ยที่เห็นว่าไหนๆ ก็ยังไม่ถึงเวลาต้องขายยาดำชุดของสัปดาห์นี้ เขาเลยออกไปดูที่ตลาดจักรยาน ในเมื่อเริ่นเสี่ยวซู่สั่งให้หาซื้อจักรยาน เขาจึงลองออกมาดูเสียหน่อย

เถ้าแก่สั่งลงมาแล้ว ผู้ดูแลร้านอย่างเขาก็ต้องทำตามสิ

เสี่ยวอวี้บอกให้เฉินอู๋ตี๋ดูแลร้านให้ดีแล้วออกไปจ่ายตลาด เธอคิดว่าเย็นนี้จะทำซุปซี่โครงหมูให้เริ่นเสี่ยวซู่กับคนอื่นๆ กิน อย่างไรสมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่ก็อยู่ในวัยเจริญเติบโต เธออยากทำของที่มีสารอาหารดีๆ บ้าง

แต่ในตอนเช้าวันนั้น คนในชุดเครื่องแบบสีแดงจำนวนหนึ่งก็มาที่ร้าน พอพวกเขาเดินเข้ามา ก็เห็นเฉินอู๋ตี๋นั่งขัดสมาธิอยู่ “ใครคือหวังฟู่กุ้ย”

เฉินอู๋ตี๋กวาดตามอง “มาหาเขาทำไม”

“พวกเรามาจากกองกฎหมายของป้อมปราการ ฉันชื่อเฉินปั๋วฮั่น มีคนฟ้องร้องว่าหวังฟู่กุ้ยดำเนินธุรกิจอย่างไม่เป็นธรรม พวกเรามายื่นหมายศาล” ชายในชุดแดงกล่าว

เฉินอู๋ตี๋นิ่งไป “ดำเนินธุรกิจไม่เป็นธรรมหมายความเช่นไร”

“เดี๋ยวขึ้นศาลที่กองกฎหมายก็รู้เอง” เฉินปั๋วฮั่นดูเฉินอู๋ตี๋แล้วเอ่ย “นายไม่ใช่หวังฟู่กุ้ยสินะ นายเซ็นชื่อแทนเขาก็ได้ หมายศาลนี้สามารถให้ครอบครัวโดยตรง[1]เซ็นแทน นายเป็นครอบครัวโดยตรงของเขาใช่ไหม”

“ใช่แล้ว” เฉินอู๋ตี๋ตอบ

“อ้อ งั้นเซ็นเลย” เฉินอู๋ตี๋ยื่นปากกาให้เฉินอู๋ตี๋ก่อนจะถามว่า “นายมีความสัมพันธ์อะไรกับจำเลย”

เฉินอู๋ตี๋ “ข้าเป็นศิษย์พี่ของเขา”

เฉินปั๋วฮั่น “???”

เขารีบดึงหมายศาลกลับมา “ศิษย์พี่จะนับว่าเป็นครอบครัวโดยตรงได้ยังไง นายหาเรื่องพวกเราอยู่สินะ”

เฉินอู๋ตี๋ได้ยินแบบนั้นก็ไม่พอใจ “หาเรื่องอะไรของพวกเจ้า อาจารย์ของข้าและพวกเราสามพี่น้องไม่ต่างกับครอบครัวเดียวกัน ข้าจะไม่ใช่ครอบครัวโดยตรงได้อย่างไร”

เฉินปั๋วฮั่นจากกองกฎหมายพูดไม่ออกไปพักใหญ่ จากนั้นเขาก็อธิบาย “ความหมายของครอบครัวโดยตรงไม่ใช่อย่างที่นายพูดมา หวังต้าหลงเป็นครอบครัวโดยตรงของหวังฟู่กุ้ย แต่นายไม่ใช่”

เฉินอู๋ตี๋คิดพักหนึ่งแต่กลับสับสนยิ่งกว่าเดิม “มันแตกต่างกันเช่นไรหรือ หวังต้าหลงเป็นศิษย์น้องสามของพวกเรา เช่นนั้นถ้าศิษย์น้องสามเป็นครอบครัวโดยตรงของเขา เหตุใดข้าจึงไม่ใช่เล่า ข้าที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่สมควรเป็นครอบครัวโดยตรงของเขาเช่นกันสิ”

เฉินปั๋วฮั่นไม่รู้แล้วว่าจะตอบรับอย่างไร แม่*พูดบ้าพูดบออะไรอยู่วะเนี่ย!

เฉินปั๋วฮั่นโดนเฉินอู๋ตี่ทำเอาหัวร้อนหันหลังออกจากร้านไปทันที เขารู้สึกตัวว่าตัวเองคุยกับเฉินอู๋ตี๋ไม่ไหวแล้ว

ตอนเย็นพอเริ่นเสี่ยวซู่กลับมา เขาได้ยินเรื่องแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น ทันใดนั้นเขาก็ได้รู้ว่าตัวเองไม่เหมาะกับป้อมปราการอันรุ่งเรืองนี้เลย

ตอนมาถึงป้อมปราการ คนบนรถรางต่างถอยหนีหลังรู้ว่าพวกเขาเป็นผู้อพยพ

ตอนเริ่มเข้าเรียน พวกพ่อแม่ของนักเรียนต่างอยากให้เขาย้ายโรงเรียนหลังจากรู้ว่าพวกเขาเป็นผู้อพยพ

ตอนนี้ร้านของพวกเขาเพิ่งมีชื่อเสียง คนในป้อมปราการต่างอยากใช้กฎหมายในป้อมปราการมาบังคับให้เขาส่งสูตรยาดำออกมา ถ้าพวกเขาไม่ส่งยาสูตรออกไป พวกเขาก็จะขังทุกคน ทำให้ครอบครัวแตกสาแหรกขาด

เริ่นเสี่ยวซู่อยากใช้ชีวิตในป้อมปราการมาตลอด ทว่าตอนนี้เขามีความคิดอยากออกไปจากป้อมปราการเหมือนเหยียนลิ่วหยวนแล้ว

ยิ่งอยู่ในป้อมปราการนานไป ก็ยิ่งรู้สึกสบายใจกับการใช้ชีวิตอยู่ในแดนรกร้างมากกว่า

บางครั้งเริ่นเสี่ยวซู่ก็สงสัย ฉันจะสร้างบ้านที่เป็นของฉันจริงๆ ได้หรือเปล่านะ

ยังไม่ได้หรอก เขายังไม่มีพลังเช่นนั้น

แต่เริ่นเสี่ยวซู่เป็นผู้ไม่เคยหนีปัญหา กฎเกณฑ์ในป้อมปราการอันใดเขาไม่รู้ จึงได้แต่ใช้กฎตัวเองแก้ไขปัญหาแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่พูดกับหวังฟู่กุ้ย “ถ้าพวกเขามายื่นหมายศาลอีกก็รับไว้เลย จากนั้นก็ไปกองกฎหมายแล้วหาว่าใครกันแน่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ที่เหลือฉันจัดการเอง”

“คงไม่เกิดเรื่องนะ” หวังฟู่กุ้ยกังวล

“ไม่หรอก” เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “หลัวหลานพูดแล้วนี่ว่าสมาคมตระกูลหลี่ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องเล็กๆ พวกนี้หรอก”

ในสายตาของกลุ่มคนรวย หวังฟู่กุ้ย เริ่นเสี่ยวซู่ และคนอื่นๆ ในร้านนี้ก็แค่ผู้อพยพกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งมาถึงป้อมปราการ ถึงจะมีลู่หย่วนและหลัวหลานหนุนหลัง แต่ที่นี่เป็นเขตอิทธิพลของสมาคมตระกูลหลี่!

พวกเขาไม่รู้เสียแล้วว่าคนที่ล้างบางก่อนอรุณเมื่อคืนคือเถ้าแก้ร้านนี้นี่เอง

ตอนนี้เรื่องที่ก่อนอรุณถูกล้างบางทำให้เกิดความวุ่นวายในหมู่บุคลากรระดับสูงสุดของสมาคมตระกูลหลี่ การสำรวจภาคสนามทำให้รู้ว่าเมื่อคืนก่อนอรุณสู้กับคนเพียงสองคนเท่านั้น แถมหนึ่งในนั้นถึงกับสู้ก่อนอรุณแบบหนึ่งต่อสาม

ก่อนอรุณมีชื่อเสียงโด่งดังไม่น้อย แต่ยังไม่มีผู้มีพลังพิเศษคนไหนที่สามารถปราบพวกเขาด้วยตัวคนเดียวได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือยังไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร

ตอนนี้พรายกระซิบหลี่เสินถานกำลังนั่งรับประทานบะหมี่อยู่ร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งกับซือหลีเหริน คนรอบๆ กำลังคุยกันเรื่องเมื่อคืน

กองดูแลความสงบเรียบร้อยไม่ได้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ข่าวจึงแพร่ไปอย่างรวดเร็วยิ่ง เมื่อก่อนสาธารณชนไม่ค่อยคุ้นชินกับผู้มีพลังพิเศษ ทว่าหลังคืนนั้นไป ช่องว่างก็ดูแคบขึ้นมาก

ตาลุงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ พวกเขากำลังดื่มสุราพลางพูดอย่างลึกลับ “พวกเขาไม่รู้เลยว่าใครเป็นผู้ลงมือ ไม่มีร่องรอยของฆาตกร”

“โหดร้ายเกินไปแล้ว มีคนตายตั้งเยอะแน่ะ” มีคนถอนหายใจ

“อย่าพูดเหมือนรู้ดีเลยน่า คนของบริษัทหัวจ่งก็ใช่ว่าจะเป็นคนดี” ตาลุงแค่นเสียง “เพื่อนฉันบอกว่าพวกมันเป็นคนจุดระเบิดก่อนหน้านี้”

หลี่เสินถามยิ้มๆ แล้วคุยกับเด็กหญิง “น่าจะเป็นฝีมือของเริ่นเสี่ยวซู่”

“รู้ได้ยังไงว่าเป็นเขา” ซือหลีเหรินกะพริบตาปริบๆ ถามอย่างสงสัย

“ผู้มีพลังพิเศษในป้อมปราการมีแค่นี้เอง และเขาก็เป็นคนเดียวที่ฉันไม่รู้ว่ามีพลังอะไรกันแน่” ตอนที่หลี่เสินถานยิ้ม เขาดูอบอุ่นน่าเข้าหามาก ใครจะไปคิดว่าเขาคือพรายกระซิบที่ทำให้สมาคมใหญ่ๆ รู้สึกประหวั่น เขาพูดต่อ “เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าเขาทรงพลังมาก”

“เป็นเพราะนายสะกดจิตเขาไม่ได้เหรอ” ซือหลีเหรินสงสัย

“ไม่ใช่ๆๆ ฉันยังไม่เคยลองสะกดจิตเขาเลย” หลี่เสินถานยิ้ม “เพราะสันชาตญาณของฉันบอกว่าถ้าฉันสะกดจิตเขา ฉันจะเป็นคนโดนสะกดจิตแทนน่ะสิ แต่ก็นะ แค่สันชาตญาณบอกเฉยๆ”

“ให้ฉันไปฆ่าเขาไหม” ซือหลีเหรินถาม น้ำเสียงใสซื่อของเธอนั้นไร้ร่องรอยความดีความชั่ว คำพูดฆ่าฟันน่ากลัวช่างต่างกับใบหน้าน้อยๆ น่ารักของเธอ

หลี่เสินถานส่ายหน้า “พวกเราจะฆ่าเขาทำไม เธอลืมแล้วเหรอว่าพวกเราเพิ่งเป็นเพื่อนกันนะ”

“อ้อใช่” ซือหลีเหรินพยักหน้า “พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้ว”

“แถมเธอน่าจะสู้เขาไม่ไหวด้วย” หลี่เสินถานถอนหายใจ

[1] สมาชิกครอบครัวโดยตรง (immediate family) หมายถึงญาติโดยตรงหรือใกล้ชิด อาทิคู่ครอง ผู้ปกครอง ปู่ย่าตายาย พี่น้อง บุตรและธิดา อีกคำคือสมาชิกของครอบครัวขยาย (extended family) ซึ่งอาจหมายถึงป้าน้าอา ญาติ หลาน ลูกพี่ลูกน้อง ลูกเขย เป็นต้น

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset