รถบรรทุกทหารค่อยๆ ขับผ่านแดนรกร้างอันกว้างใหญ่ไปยังพื้นที่ทิวเขาแห่งหนึ่ง ที่นี่เขาแต่ละลูกต่างไม่สูงมากนัก
ตอนที่ทหารนั่งอยู่ท้ายรถกระบะ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ลอบจำตำแหน่งตัวเองไปด้วย ที่นี่น่าจะอยู่ห่างจากป้อมปราการ 108 หลายสิบกิโลเมตร
ตอนที่ขับผ่านโรงงานจำนวนหนึ่งข้างทางนั้น หลี่ชิงเจิ้งก็จะแนะนำสถานที่ต่างๆ ไปด้วย “โรงงานพวกนี้คือโรงกลั่นน้ำมันของสมาคมตระกูลหลี่ ส่วนค่ายของพวกเราจะอยู่ด้านหน้า ภารกิจประจำวันพวกเราก็คือสังเกตการณ์ว่ามีศัตรูเข้าใกล้ไหม ถ้ามี พวกเราก็ต้องใช้โทรศัพท์ดาวเทียมรายงานทันที”
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “รายงานเสร็จแล้วไงต่อ?”
คำถามนี้ทำเอาหลี่ชิงเจิ่นชะงักไป เบื้องบนไม่ได้พูดเรื่องว่าหลังจากรายงานให้ทำอะไรต่อ พวกเขาควรตั้งรับจนกว่ากำลังเสริมมาถึง หรือควรถอยหนีเลยดีล่ะ
ดูเหมือนว่าภารกิจพวกเขาคือการสังเกตการณ์และทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือนเฉยๆ
ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าการเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่นี่อาจเสี่ยงถึงชีวิตก็ได้
พวกเขาไม่ได้รับทั้งเครื่องแบบและอาวุธ ตลอดทั้งหน่วยมีทหารสามสิบนายกับปืนไรเฟิลอัตโนมัติสิบเอ็ดกระบอก และแม็กกระสุนอีกยี่สิบซอง
แต่หลี่ชิงเจิ้งดูไม่ได้กังวลอะไรมากนัก “คิดแบบนี้ดูสิ ตอนนี้ทหารทัพใหญ่เคลื่อนทัพไปยังป้อม 109 แล้ว ถ้ามีอันตรายอะไร พวกเขาคงจัดการแทนเรา พวกเราจะมีอะไรให้กังวลอีกล่ะ”
“แล้วถ้าสมาคมอื่นๆ คิดก่อสงครามล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“ไม่มีทางหรอก” หลี่ชิงเจิ้งโบกมือ “ยุคสมัยนี้จะมีสงครามได้ยังไง ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นสงครามมาก่อนเลย!”
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก ขนาดผู้อพยพยังเคยชินกับยุคสมัยแห่งความสงบสุขเลย ทุกคนย่อมคิดว่าสงครามเป็นเรื่องไกลตัวมาก ขนาดเริ่นเสี่ยวซู่เองก็ยังเคยคิดเช่นนั้น
แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่ามีเรื่องไม่ถูกต้องอยู่ ถ้าสมาคมตระกูลหลี่เป็นคนเปิดโจมตีสมาคมอื่นล่ะ ถ้าทัพหน้าของสมาคมตระกูลหลี่ปราบพวกตัวทดลองไม่ได้ล่ะ
ถ้าสงครามไม่ได้กำลังมาถึง สมาคมตระกูลหลี่คงไม่เคลื่อนทัพใหญ่ขนาดนี้หรอก แถมองค์กรต่างๆ ก็ล้วนส่งสายลับแฝงตัวไปในป้อมปราการอื่นๆ ถ้าสมาคมตระกูลหลี่เตรียมพร้อมจะก่อสงครามเช่นนี้ องค์กรอื่นๆ ก็คงไม่อยู่เฉย
มันเหมือนกับพวกเขาถูกเชือกเส้นเดียวกันมัดรั้งกันไว้ ถ้าเกิดมีคนดึงเชือกแรงเกินไปขึ้นมา เชือกของคนอื่นๆ ก็จะตึง และถ้าเชือกขาดเมื่อไร สงครามก็จะเกิดขึ้นเมื่อนั้น
“พวกเรามาถึงแล้ว!” หลี่ชิงเจิ้งตะโกนอย่างตื่นเต้น “ที่นี่จะเป็นค่ายทหารของพวกเรานับแต่นี้ไป!”
เริ่นเสี่ยวซู่กระโดดออกจากรถบรรทุก เมื่อหันสำรวจรอบๆ ก็ต้องตะลึง เขาเห็นเพียงบ้านหนึ่งชั้นเล็กๆ ติดภูเขาแถวหนึ่งบนเนิน อยู่กลางความเวิ้งว้างว่างเปล่า
ในป้อมสังเกตการณ์ไม่มีใครอยู่เลย ดูเหมือนว่ากองพันทหารเหล็กที่สองคงปล่อยป้อมนี้ให้พวกตนจัดการไปอย่างเต็มที่ ถึงว่าทำไมก่อนหน้าหลี่ชิงเจิ้งถึงพูดโอ้อวดขนาดนั้น
หลี่ชิ่งเจิ่นที่อยู่บนพื้นราบในค่ายชี้ไปบนยอดเขา “ทุกวันต้องมีห้าคนคอยเวียนเข้ากะเฝ้ายามที่หอสังเกตการณ์บนนั้น ไว้คอยตรวจสอบว่ามีศัตรูเข้ามาไหม ถ้าเกิดมีเรื่องไม่ชอบมาพากลก็รายงานให้เบื้องบนทราบทันที”
“แค่นั้นน่ะนะ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า
“ใช่ แค่นั้นแหละ” หลี่ชิงเจิ้งยิ้ม “จะมีเสบียงคอยส่งมาให้เราเป็นประจำ ดังนั้นเลยไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องห่วง ที่ต้องทำก็แค่คอยจับตาไปทางนั้น”
“แล้วทางนั้นจะมีใครมา” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“ฉันจะไปรู้ได้ไงเล่า” หลี่ชิงเจิ้งหัวเราะ “ไม่มีใครขึ้นไปบนเขา และก็ไม่มีใครออกมาจากเขาด้วย ดังนั้นพวกเราอยู่สบายหายห่วงเรื่องคนมาโจมตีได้เลย”
เริ่นเสี่ยวซู่ลองคำนวณตำแหน่งที่อยู่อย่างคร่าวๆ พวกเขาน่าจะประจำการณ์อยู่หนึ่งในป้อมสังเกตการณ์ที่อยู่ทางเหนือสุดในพื้นที่ภายใต้การควบคุมของสมาคมตระกูลหลี่ ทางเหนือนั้นมีองค์กรอะไรบ้างนะ สมาคมตระกูลชิ่ง? สมาคมตระกูลหยาง?
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “นายรู้หรือเปล่าว่าป้อม 88 อยู่ไหน”
หลี่ชิงเจิ้งแปลกใจ “ไม่รู้สิ”
ไม่เป็นไร เริ่นเสี่ยวซู่แค่ต้องถามคนอื่นทุกครั้งที่มีโอกาส ตอนนั้นไม่น่าลืมถามหยางเสียวจิ่นเลย…
หลังจากทุกคนขนของจากรถบรรทุกทหารลงมาแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ประมาณคร่าวๆ ว่าเสบียงที่พวกตนสามสิบคนมีนั้นน่าจะอยู่ได้อย่างมากแค่เจ็ดวัน เขาล่ะสงสัยนักว่าเสบียงเสริมจะมาตรงเวลาหรือเปล่า เห็นว่าสมาคมตระกูลหลี่กำลังวุ่นอยู่ที่แนวหน้าแบบนี้ ใครจะไปรู้ พวกเขาอาจจะลืมพวกตนไปแล้วก็ได้
พอหลี่ชิงเจิ้งเห็นสีหน้าของเริ่นเสี่ยวซู่ก็ยิ้ม “สหาย ฉันรู้นะว่านายคิดจะหาทางออกไปจากที่นี่ แต่ช่วงเวลาแบบนี้ ต่อให้นายหนีกลับเข้าเมืองน้อยไปได้ นายก็พาคนอื่นๆ หนีไม่ได้หรอก นอกเมืองน้อยมีค่ายทหารอยู่ทั่วไปหมด แถมพวกนายก็มีคนตั้งมาก นายจะหนีได้ยังไง นายคงจะถูกจับสอบปากคำก่อนที่จะได้เหยียบเท้าออกไปอีก”
เริ่นเสี่ยวซู่พบว่าแม้หลี่ชิงเจิ้งจะดูโง่งม แต่เขาก็อ่านสถานการณ์ออกเป็นอย่างดี เขามองออกทันทีว่าเริ่นเสี่ยวซู่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หลี่ชิงเจิ้งเสริม “ฉันแนะนำให้นายอยู่ที่นี่ไปก่อน ต่อไปถ้ามีโอกาส ฉันจะพยายามย้ายนายเข้าไปในเมืองน้อย นายจะได้เจอหน้าญาติสนิทมิตรสหายได้บ่อยหน่อย”
เริ่นเสี่ยวซู่เข้าใจทันทีว่าหลี่ชิงเจิ้งพยายามจะเรียกเงินเพิ่มเป็นนัยๆ แต่เขาก็ยังต้องเอ่ยขอบคุณไปอยู่ดี “ได้ งั้นฝากด้วยนะหัวหน้าหลี่”
“ฮ่าๆ ไม่ต้องเกรงใจไป” หลี่ชิงเจิ้งยิ้ม “อยู่ที่ป้อมนี้แบบสบายๆ ไป ถ้ามีศัตรูมาจริง ฉันจะไล่พวกมันไปด้วยวิชามวยฉันเอง ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก”
หลี่ชิงเจิ้งรู้เรื่องที่เริ่นเสี่ยวซู่กับกลุ่มเพื่อนเคยเป็นนักเรียนจากป้อมปราการ 109 แล้ว และรู้เรื่องที่เริ่นเสี่ยวซู่เป็นหัวหน้าห้องด้วย สำหรับเขา นักเรียนมาอยู่ในสถานที่แบบนี้จะกลัวก็ไม่แปลก ในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ เขาต้องพูดปลอบเสียหน่อย
นักเรียนคนอื่นๆ ไม่พูดอะไร เพียงขนเสบียงลงจากรถอย่างเดียว ตอนที่ได้ยินคำพูดของหลี่ชิงเจิ้งนั้น พวกเขาทำหน้าไม่ถูกเลยจริงๆ
ตอนนั้นเอง หลี่ชิงเจิ้งก็หัวเราะ “พวกนายไม่ต้องทำงานนี้ก็ได้ ปล่อยให้ชาวป้อมปราการคนอื่นทำไป พวกเขาดูถูกผู้อพยพนักไม่ใช่เหรอ ถึงเวลาให้พวกเขารู้แล้วว่าชีวิตผู้อพยพเป็นยังไง”
พวกนักเรียนหันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ เขาส่งยิ้มไปให้หลี่ชิงเจิ้งพร้อมกล่าวว่า “ทำงานด้วยกันเถอะ”
ถึงเขาไม่ชอบคนในป้อมปราการนัก แต่ก็ไม่มากพอจะสั่งผู้ลี้ภัยอีกเจ็ดคนไปทั่วหรอก
หลี่ชิงเจิ้งที่อยู่ด้านข้างยิ้ม “นักเรียนนี่ใจดีจังนะ น่าเสียดายจังที่ไม่ผ่านการทดสอบอัตราซิงโครไนซ์ ได้ยินว่าคนที่ผ่านการทดสอบจะกลายเป็นทหารชั้นยอดที่ต่อกรกับคู่ต่อสู้ได้นับร้อย”
เริ่นเสี่ยวซู่ยังสงสัยเรื่องหนึ่งคนสู้ร้อยอยู่ พูดตามตรง เขาเองก็มีวิถีทางของตนเอง เลยไม่อิจฉาคนที่ผ่านการทดสอบ ปัญหาเดียวคือสายตาของเฉินอู๋ตี๋ที่มองมาอย่างเห็นใจนั้น
จู่ๆ เริ่นเสี่ยวซู่ก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นราชาหมาป่าตัวมโหฬารยืนอยู่บนยอดเขา มันก้มมองมาอย่างเงียบงัน เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึง ไม่คิดเลยว่ามันยังตามเขามาอยู่
พอราชาหมาป่าเห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่พบมันแล้ว มันก็ไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย ผ่านไปพักหนึ่งมันก็หายเข้าไปในภูเขา หลี่ชิงเจิ้งมองตามสายตาของเริ่นเสี่ยวซู่ไปบนเขาแต่ไม่พบอะไร “มองอะไรอยู่น่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม “ชื่มชมทิวทัศน์”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหมาป่าหอน ทุกคนสะดุ้งเฮือก หลี่ชิงเจิ้งพูดอย่างวิตก “บนเขามีหมาป่าด้วยเหรอ!”
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่กลัวแม้แต่น้อย