เสียงหมาป่าหอนทำเอาทหารเกณฑ์ที่ป้อมสังเกตการณ์หวั่นผวา ทหารนายหนึ่งถาม “หัวหน้า พวกเราเอาไงดี ไม่ต้องเผ่นแล้วเหรอ!”
หลี่ชิงเจิ้งตัดสินใจเองไม่ได้ “ถ้าหนีตอนนี้พวกเราได้กลายเป็นทหารหนีทัพเอาน่ะสิ”
“แต่ก็ยังดีกว่าโดนหมาป่าคาบไปกินนะ” ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งว่า “คุณยังไม่เคยเห็นขนาดของพวกมันสินะ พวกเราเคยเจอพวกมันตอนหนี ตัวมันใหญ่กว่าวัวอีก!”
“ถามจริง?” หลี่ชิงเจิ้งไม่ได้เห็นหมาป่ามานานแล้ว พอได้ยินว่าหมาป่ามันตัวใหญ่ขนาดไหน เขาก็อดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้ แต่เขาเป็นหัวหน้าหน่วย เขาต้องคอยปลอบขวัญทุกคน “ไม่ต้องกลัวไป ฉันไม่ได้เรียนแค่วิชาหมัดมวยมาเฉยๆ พวกเรายังมีปืนอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ”
พอเหล่าผู้ลี้ภัยได้ยินคำว่า ‘ปืน’ พวกเขาก็นึกได้ทันทีว่าตอนที่หนีจากป้อมปราการ 109 กันนั้น พวกเริ่นเสี่ยวซู่มีปืนกับตัวด้วย แถมตอนนั้นกลุ่มของพวกเขายังน่าเกรงขามมากเลยด้วย
แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันพูดอะไร ก็เห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่ส่งสายตาพร้อมรอยยิ้มมีเล่ห์นัยมา ผู้ลี้ภัยรู้ได้ในพลันว่าถ้าตนปากสว่าง คงได้หนีไปไหนไม่พ้น! จึงได้แต่เงียบปากกันไว้
ได้แต่เก็บคำพูดลงท้องไป
แถมหลี่ชิงเจิ้งยังไม่ชอบที่พวกเขาเคยเป็นชาวป้อมปราการมาก่อน จึงไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพวกเขาจะไปเตือน
ไม่รู้ทำไม พอผู้หลบหนีรู้ว่าพวกตนอยู่ป้อมสังเกตการณ์เดียวกับกลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่แล้วความกลัวก็มลายสิ้น
สุดท้ายจึงเหลือเพียงหลี่ชิงเจิ้งกับทหารชุดเดิมของเขาที่ยังหวาดหวั่นไม่หาย
หลี่ชิงเจิ้งกับคนของเขาจับปืนเตรียมพร้อมตลอดเวลา ทว่าก็ไม่มีหมาป่าตัวไหนโผล่มา เขาค่อยๆ รู้สึกวางใจขึ้นเรื่อย “ทำความสะอาดที่นี่ให้เสร็จก่อนแล้วกัน ฉันว่าพวกมันคงกลัวเราด้วยแหละ เพราะเรามีทั้งปืนมีทั้งคนมาก คงไม่กล้าเข้าใกล้หรอก”
ดูเหมือนว่าป้อมสังเกตการณ์นี้จะถูกทิ้งร้างไปนานมากแล้ว หม้อและกระทะด้านในมีฝุ่นเกาะหนาเขรอะ กว่าจะทำความสะอาดสถานที่ให้อยู่อาศัยได้คงต้องลงแรงไม่น้อย
ผู้ลี้ภัยทำงานอย่างเหม่อลอย การปฏิบัติของหลี่ชิงเจิ้งที่มีต่อพวกเขาทำให้พวกเขารู้สึกตัวเองต่ำต้อยยิ่งกว่าผู้อพยพ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองอยู่ในชนชั้นที่ต่ำที่สุดของมนุษย์
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีใจคิดจะสงสารแม้แต่นิด แต่ก็ไม่คิดจะขับไล่ไสส่งพวกเขาออกไปเช่นกัน ผู้ลี้ภัยรู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนดุร้ายมาก ใจย่อมคิดจะตีสนิทเป็นธรรมดา ทว่าเพราะหลี่ชิงเจิ้งไม่ชอบหน้าพวกเขา ผู้ลี้ภัยจึงต้องหาผู้สนับสนุนคนอื่น
ในป้อมสังเกตการณ์เล็กจ้อยนี้ ทุกคนต่างมีความคิดเป็นของตนเอง มีเพียงพวกนักเรียนที่ทำงานอย่างขะมักเขม้น ลงไม้ลงมืออย่างมีประสิทธิภาพ
หลี่ชิงเจิ่นยังรู้สึกไม่วางใจอยู่บ้างกับเสียงหอนของหมาป่า ใจพิจารณาว่าสมควรโทรขอกำลังเสริมจากศูนย์บัญชาการดีไหม และสุดท้ายเขาก็โทรไป ทว่านอกจากโดนเหยียดหยามและปฎิเสธจะส่งกำลังเสริมมาช่วยแล้ว คนปลายสายยังบอกด้วยว่าอย่าคิดจะรายงานข้อมูลศัตรูปลอมๆ ไม่อย่างนั้นจะจับเขาขึ้นศาลทหาร
พอหลีชิงเจิ้งเห็นพวกเริ่นเสี่ยวซู่ยังคงทำความสะอาดกับพวกนักเรียนอย่างหน้าตาเฉยก็ถามว่า “พวกนายไม่กลัวเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วตอบ “อ้อ กลัวสิ กลัวมาก”
พวกนักเรียนพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ๆ พวกเรากลัวมาก”
หลี่ชิงเจิ้งคิดว่าพวกเริ่นเสี่ยวซู่คงพยายามทำให้จิตใจของตนเองสงบลง ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่เคยลอบบอกพวกนักเรียนตอนกำลังหนีแล้วว่าพวกหมาป่าจะไม่โจมตีพวกตน ถึงพวกนักเรียนจะไม่รู้ว่าทำไมเริ่นเสี่ยวซู่พูดเช่นนั้น แต่คำพูดของเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ผิดเลย
ในเมื่อเริ่นเสี่ยวซู่ไม่กลัว พวกเขาจะกลัวไปทำไมล่ะ
เริ่นเสี่ยวซู่ถามหลี่ชิงเจิ้ง “ทำไมหัวหน้าหน่วยถึงมาเป็นทหารล่ะ”
“แหงแหละ เพราะเงินไง!” หลี่ชิงเจิ้งว่า “ถ้าฉันรวย ฉันจะมาเป็นทหารในแดนรกร้างแบบนี้ทำไม นายเคยได้ยินไหม เห็นว่าบริษัทหัวจ่งเสนอราคาซื้อเลือดของผู้มีพลังพิเศษด้วย เลือดแค่หยดเดียวก็ได้เงินเป็นล้านหยวนแล้ว! ถ้าฉันเป็นผู้มีพลังพิเศษนะ ฉันจะขายเลือดให้บริษัทหังจ่งจนล้มละลายเลยล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พอเป็นผู้มีพลังพิเศษแล้ว ถ้ามีสติดีใครจะกล้าเสี่ยงไปขายเลือดแลกเงินกัน
หลังจากทำความสะอาดสถานที่เรียบร้อย ทุกคนก็จ้องหน้ากันด้วยด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี แต่จะว่าไป ป้อมสังเกตการณ์ห่างไกลขนาดนี้ก็เป็นเช่นนี้แหละ ชีวิตประจำวันหนีความเบื่อหน่ายไม่พ้น
ตอนนี้เองหลี่ชิงเจิ้งก็ถอนหายใจออกมา “พูดตามตรง นักเรียนในป้อมอย่างพวกนายต้องมาเป็นยามที่นี่นี้โคตรน่าเสียดายเลย ความรู้มีในหัวแต่ไม่มีที่ให้ออกมาใช้ พวกนายเรียนมาเป็นสิบปีเพื่อ…ไม่ได้อะไรเลย”
เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ เจียงอู๋เคยบอกกับเขาว่าเธอหวังให้ในอนาคตพวกนักเรียนจะเรียนสูงๆ ขึ้นไป เด็กพวกนี้เป็นต้นกล้าชั้นดีที่ตั้งใจเรียนมากและฉลาดมากด้วย
เขามองไปที่นักเรียนทั้งแปดคนแล้วโพล่งว่า “ฉันพกหนังสือเรียนมาด้วย หลังจากวันนี้ไปถ้ามีเวลาก็เรียนด้วยตนเองไปก่อน เดี๋ยวถ้ามีโอกาสฉันจะหาหนังสือเรียนชั้นสูงจากในเมืองน้อยมาให้ ต่อให้พวกเราจะอยู่ในที่แบบนี้ ก็ไม่อาจทิ้งการเรียนได้”
พวกนักเรียนตะลึง “พวกเราต้องอ่านหนังสือเองที่นี่?”
ตอนนี้พวกเขาสนใจจะเรียนรู้วิชาการล่า การปกป้องตัวเอง และปกป้องผู้อื่นมากกว่าการศึกษาวิชาความรู้ในโรงเรียนต่อ
หลังจากได้เผชิญความโหดร้ายของโลกใบนี้ ความตั้งใจศึกษาเล่าเรียนของพวกนักเรียนก็สั่นคลอน บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าเรียนไปก็ใช้อะไรไม่ได้
เริ่นเสี่ยวซู่อธิบายอย่างใจเย็นว่า “ฉันเป็นหัวหน้าห้องของพวกนาย ตอนก่อนนู้นกรรมการนักเรียนบอกว่าหน้าที่ของหัวหน้าคือกวดขันเพื่อนๆ ให้ตั้งใจเรียน”
พวกนักเรียนหาอะไรมาแย้งไม่ได้เลย เริ่นเสี่ยวซู่พูดต่อ “ชีวิตคนเราน่ะ วันหนึ่งมิตรสหายอาจจะทรยศเรา คนรักอาจจะทรยศเรา แต่คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีไม่เคยทรยศเรา!”
พวกนักเรียน “???”
ตรรกะบ้าบออะไรเนี่ย!
เริ่นเสี่ยวซู่กระซิบให้สัญญา “ตั้งใจเรียนแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันพาขึ้นเขาไปสอนยิงปืน!”
พวกนักเรียนยิ้มกว้างทันที
มองพวกนักเรียนแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าตอนนี้สมาคมตระกูลหยางน่าจะทำการวิจัยเรื่องนาโนแมชชีนอยู่ ถ้าใช้การแล้วไม่มีผลข้างเคียงอะไร ให้พวกนักเรียนมีนาโนแมชชีนไว้ป้องกันตัวก็เป็นความคิดที่ไม่เลว
เริ่นเสี่ยวซู่สวมเสื้อเพิ่มและออกไปสำรวจข้างนอก เขาเห็นแพะตัวหนึ่งนอนอยู่นอกประตูบ้านหลังหนึ่งในป้อม นอกจากนี้ยังเห็นชัดว่าบนชั้นหิมะหนานอกบ้านนั้นมีรอยเท้าหมาป่าอยู่
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองรอบๆ อย่างรวดเร็วและเห็นราชาหมาป่ายืนอยู่บนยอดเขาอีกครั้ง พอมันเห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่มองมา ก็กลับหลังหันหายตัวไปในแดนรกร้าง ราวกับว่ายืนตรงนั้นเป็นการทักทายเขาเฉยๆ
แพะตัวใหญ่เท่าวัวเลี้ยง กว่าคนในป้อมสังเกตการณ์จะกินหมดคงใช้เวลาหลายวันทีเดียว
ต่อให้สมัยนี้สัตว์เลี้ยงเพื่อกสิกรรมมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่พวกมันก็ไม่เปลี่ยนมากเท่ากับสัตว์ในป่า แพะที่หมาป่าล่ามาคงมาจากบนภูเขาแน่
ระหว่างที่เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิดอยู่นั้น หลี่ชิงเจิ้งก็หัวเราะตัวโยน “หลังจากฉันขึ้นเขามา ไม่คิดเลยว่าหมาป่าจะมาส่งบรรณาการก้มหัวให้ถึงที่ ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกฉันว่าหัวหน้าหน่วยแล้ว ให้เรียกฉันว่าจ้าวหมาป่าแทน!”
เริ่นเสี่ยวซู่ตากระตุก เจ้านี่ยกสถานะตัวเก่งจริง
เฉินอู๋ตี๋ที่อยู่ด้านข้างนั้นกำลังคิดว่าจะจัดการหลี่ชิงเจิ้งดีไหม เพราะอย่างไรฉายา ‘จ้าวหมาป่า’ ก็ฟังอย่างกับเป็นชื่อของปีศาจ