ในความคิดของเริ่นเสี่ยวซู่ ทหารที่พร้อมจะสู้รบไม่ใช่แต่จะพึ่งความสามารถส่วนตนเพียงอย่างเดียว ยังต้องมีสันชาตญาณทักษะในการสู้รบด้วย
ถ้าคนธรรมดาได้รับพลังใหม่มา คนผู้นั้นอาจจะไม่รู้วิธีใช้งานหรือควบคุมมันเลยก็ได้
ต่อให้หลินชีกันทหารนายอื่นมีอาวุธพร้อมพรัก มีอาวุธระยะประชิดแบบพิเศษด้วยซ้ำ แต่พวกเขาจะใช้งานของพวกนั้นเป็นเหรอ
ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงคิดว่าขนาดเขายังคิดได้เลย สมาคมตระกูลหลี่จะคิดไม่ได้ได้อย่างไร
“พวกเขาต้องการข้อมูลการต่อสู้จริงกับรวบรวมข้อมูลของนาโนแมชชีนที่ใช้ระหว่างต่อสู้น่ะสิ” หูชัวไม่ปิดบังเริ่นเสี่ยวซู่ “ตั้งแต่วิจัยนาโนเทคโนโลยีสำเร็จผลจนใช้เซลล์ประสาทควบคุมนาโนแมชชีนได้ ทหารนาโนแมชชีนของสมาคมตระกูลหลี่ยังไม่ได้ทดสอบการต่อสู้จริงๆ เลย พวกเขาอยากรู้ว่าทหารนาโนแมชชีนนั้นมีประสิทธิภาพขนาดไหน”
“พวกเขาไม่กลัวเหรอไงว่าจะเสียหายหนักน่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย
“เสียหายอะไร” หูชัวหัวเราะ “ก็แค่มีคนตายสองสามคน จำนวนทหารนาโนแมชชีนที่ผ่านการทดสอบไม่ได้ต่ำอย่างที่เธอคิดหรอกนะ อย่าบอกนะว่าเธอไม่เห็นน่ะ นอกจากทหารมากประสบการณ์ที่เป็นผู้นำกลุ่มแล้ว คนที่เหลือเป็นผู้อพยพกันหมดเลย สำหรับสมาคม ทหารที่ใช้เงินทุ่มฝึกฝนมีค่าดั่งทอง ส่วนผู้อพยพก็แค่เครื่องมือ เธอคิดจริงๆ เหรอว่าพวกเขาจะมีคนที่มีอัตราซิงโครไนซ์สูงไม่พอน่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป หมายความว่าคนพวกนี้…ถูกส่งมาเพื่อไว้รวบรวมข้อมูลเท่านั้น! สมาคมตระกูลหลี่ช่างอำมหิตนัก!
“เดี๋ยวนะครับ อัตราซิงโครไนซ์แปดสิบเปอร์เซ็นต์มันสูงมากเลยไม่ใช่เหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เข้าใจเลย “ไอเจ้าอัตราซิงโครไนซ์มันคืออะไรกันแน่”
“อัตราซิงโครไนซ์คือตัววัดว่านายจะควบคุมนาโนแมชชีนอย่างสมบูรณ์ได้ขนาดไหน” หูชัวว่า “แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่แน่นอนหรอกนะ ถ้าผ่านการฝึกร่างกายกับฝึกปฏิกิริยาตอบสนอง อัตราซิงโครไนซ์ก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเอง แน่นอนว่าศักยภาพในการพัฒนาของทุกคนมีจำกัด ก็เหมือนบางคนเล่นกีฬาเก่งกว่าคนอื่นตามธรรมชาตินั่นแหละ พรสวรรค์เองก็เหมือนกัน”
หมายความว่าถึงจะมีอัตราซิงโครไนซ์ต่ำ ก็ยังสามารถควบคุมนาโนแมชชีนได้เหมือนกันสินะ ปัญหาเดียวคือจะควบคุมได้ดีขนาดไหน อย่างเช่นว่าคนสั่งให้นาโนแมชชีนแปรเปลี่ยนเป็นเกราะตอนนี้เลย ตัวนาโนแมชชีนอาจจะก่อรูปเป็นเกราะปีหน้าก็ได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นล่ะก็ จะให้นาโนแมชชีนก่อตัวเป็นเกราะทำไม ไม่เอาไปสร้างโลงเลยล่ะจบๆ อย่างไรผู้ใช้งานก็ได้ตายแน่นอนอยู่แล้ว
ทว่าต่อให้เริ่นเสี่ยวซู่มีอัตราซิงโครไนซ์ศูนย์เปอร์เซ็นต์ เขาก็สัมผัสได้ว่านาโนแมชชีนรับคำสั่งเขาอย่างเชื่อฟังมาก พวกมันจะดำเนินการตามที่เขาสั่งโดยไม่ขาดจังหวะแม้แต่น้อย
เขาถาม “แล้วมีอัตราซิงโครไนซ์ต่ำมากๆ หมายถึงอะไรเหรอครับ หมายความว่าผู้ใช้ง่ายเป็นมนุษย์ผักหรือยังไง”
หูชัวมองเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยสายตาเปี่ยมความหมาย แล้วว่า “มีกรณีพิเศษเหมือนกัน หลังจากกลายมาเป็นผู้มีพลังพิเศษแล้ว จิตสำนึกอิสระจะปฏิเสธนาโนแมชชีน ทำให้อัตราซิงโครไนซ์ต่ำ หรือก็คือคนผู้นั้นมีจิตสำนึกที่ทรงพลังมาก”
เริ่นเสี่ยวซู่แข็งค้างไป แต่ไม่นานนักก็บรรลุว่าหูชัวล้อเขาเล่น!
ถ้าสมาคมตระกูลหลี่ทราบผลวิจัยออกมาแบบนี้ เขากับเฉินอู๋ตี๋ที่มีอัตราซิงโครไนซ์อยู่ที่ศูนย์กับหนึ่งเปอร์เซ็นต์คงโดนทางสมาคมหมายหัวไปแล้ว!
เหอๆ หูชัวผู้นี้เจ้าเล่ห์จริงเชียว!
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ยังสับสนเรื่องที่สมาคมตระกูลหลี่ตัดสินใจส่งทหารใหม่มารับมือพวกหมาป่า “แต่นาโนแมชชีนก็น่าจะใช้เงินเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ แล้วก็น่าจะใช้เงินมากเลยด้วยนี่?”
“นาโนแมชชีนเอามารีไซเคิลได้” หูชัวพูดเสียงนิ่ง “ต่อให้ทหารตายไปแล้ว แต่นาโนแมชชีนไม่ได้ตายตามไปด้วยเสียหน่อย พอกองกำลังชั้นยอดของจริงมาถึง พวกเขาก็จะรวบรวมนาโนแมชชีนที่ตกไว้อยู่ทั่วแดนรกร้างเอง”
ซึ่งก็ฟังดูเข้าเค้ามาก ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จังไม่มีอะไรจะพูดอีก
แต่เขาไม่คิดว่าหูชัวพูดถูกต้องทั้งหมด อย่างน้อยก็…นาโนแมชชีนของทหารกลุ่มนี้คงไม่โดนสมาคมตระกูลหลี่เก็บไปหรอก
…
ภูเขาหิมะถูกหมอกขาวปกคลุม
หลินชีกับพวกทหารตอนนี้กำลังเดินอยู่ในแดนรกร้าง พร้อมกับใช้วิทยุคอยสื่อสารกับกองกำลังหลักที่อยู่ป้อมสังเกตการณ์ข้างเคียง การประสานงานเช่นนี้เหมือนเป็นการฝึกทางการทหารงานหนึ่ง
คนสำคัญที่ดูแลทหารกลุ่มนี้คือทหารที่คุยกับหูชัว ส่วนทหารที่เหลือก็เป็นอย่างที่หูชัวว่า เป็นทหารใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมกับกองกำลังของสมาคมตระกูลหลี่
พวกเขาคงนึกว่าเข้าร่วมกองทัพแล้วจะได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดมากเพราะตนเองเป็นทหารใหม่ ไหนจะต้องผ่านการฝึกทหารเพื่อเรียนวิธีควบคุมนาโนแมชชีนอีก ทว่าความจริงกลับไม่ใช่เช่นนั้นเลย หลังจากผ่านการฝึกแบบรวดรัด พวกเขาก็ถูกส่งมาทำภารกิจแรกเลย
และก็แน่นอนว่าไม่มีใครปฏิเสธภารกิจนี้ พวกเขาได้ยินมาว่าการฝึกทหารใหม่นั้นโหดมาก ดีสุดคือไม่ต้องเจอความทรมานแบบนั้น
ไม่มีใครรู้สึกสงสัยอะไรแม้แต่น้อย ความสุขของการได้ยกสถานะบดบังความสามารถในการตัดสินใจ ต่อให้มีข้อมูลอะไรไม่เข้าเค้า พวกเขาก็ปล่อยไปไม่สนจะคิดพิจารณา
หลินชีคิดว่าตนเองเป็นคนพิเศษเพียงเพราะผ่านเกณฑ์อัตราซิงโครไนซ์
“หัวหน้าโจวครับ ชายชราผู้นั้นคือใครกัน” หลินชีถาม
“อย่าถาม” หัวหน้าโจวว่า “อย่าไปยั่วยุเขา ตลอดทั้งกองทัพของสมาคมตระกูลหลี่ เขาเป็นคนที่ไม่ควรไปหาเรื่องมากที่สุด”
“พวกเราต้องทำอะไรต่อครับ” มีคำถาม
หัวหน้าโจวคิดเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ไปสำรวจข้างหน้า”
หนึ่งในนายทหารพลันก้าวออกนำหน้ากลุ่ม เหล็กไหลสีเงินยวงไหลออกจากผิวกาย จากนั้นก็ไหลลงบนพื้น
พริบตานั้นเหล็กไหลสีเงินก็กลายเป็นงูสีเงินขนาดจิ๋วห้าตัวคลานลึกเข้าไปในขุนเขา
หัวหน้าโจวถาม “ควบคุมได้ไกลขนาดไหน”
“ทดสอบครั้งล่าสุดวัดได้ 418 เมตรครับ” ลูกหน่วยตอบ
“ได้ แค่นั้นก็พอสำหรับงานพวกเราแล้ว” หัวหน้าโจวว่า “คอยระวังรอบๆ ตลอด อย่าให้ระยะเกินเขตควบคุม ประเด็นสำคัญคือห้ามประมาท ถ้านาโนแมชชีนพบอะไรไม่ชอบมาพากลให้รายงานฉันทันที”
“รับทราบ” ลูกหน่วยตอบ
หลินชีโพล่ง “แต่หัวหน้าครับ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่หมาป่าก่อการเสียหน่อย แถมพวกเรามีห้าหน่วยคอยสำรวจพร้อมกัน มันไม่น่ามีอันตรายหรือเปล่า”
หากเกิดการต่อสู้ขึ้น ต่อให้พวกหลินชีมีนาโนแมชชีน ก็ยากจะสู้ไหวอยู่ดีเพราะพวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้จริงมาก่อน
หัวหน้าโจวหันมามองเขา “ฟังคำสั่งของฉันแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง”
ทว่าตอนนั้นเองทหารนายหนึ่งที่กำลังควบคุมหุ่นยนต์งูจิ๋วสีเงินก็อุทาน “ไม่ดีแล้ว!”
หัวหน้าโจวตกใจ “เกิดอะไรขึ้น มีหมาป่า?”
“เปล่าครับ…คิดว่าไม่ใช่” ทหารชะงักไปพักหนึ่งก่อนพูดว่า “มีเงาโฉบเข้ามาจากข้างหน้าแล้วขโมยงูเงินผมไป”
หัวหน้าโจวนิ่งค้างไปพักหนึ่ง “ไม่ได้ทำอะไร แค่ฉกงูเงินของนายไป?”
“ใช่ครับ พอมันฉกไปแล้วก็หายไปเลย”
ทุกคนเริ่มสับสนงุนงง มันเกิดอะไรขึ้น!