ไปล้อมตึกข้างเคียง ตอนนี้อาจจะไม่ทันแล้วก็ได้
แต่ที่สู่หมานไม่เข้าใจเลยก็คือ ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่กระโดดข้ามตึกได้จริงๆ แสดงว่าเขาต้องมีพละกำลังและความเร็วมากขนาดไหนกัน
สู่หมานสั่งทหารในหน่วย “พวกนายไล่ตามขึ้นไปข้างบน!”
จากนั้นตัวเขาก็หันหลังกลับวิ่งลงบันได และมุ่งไปทางตึกด้านข้าง สู่หมานมั่นใจว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่รอโดนจับอยู่บนหลังคาแน่ อย่างไรเจ้าเด็กนั่นก็กระโจนข้ามตึกทันทีแน่นอน!
หลังจากเขาวิ่งออกมาจากห้างอยู่พักหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นเริ่นเสี่ยวซู่กำลังลอยอยู่บนอากาศ ความเร็วในการกระโดดบนอากาศนั้นรวดเร็วยิ่ง ร่างกายเขากางออกจนสุด ก่อนร่อนลงมาหลังคาตึกฝั่งตรงข้ามอย่างแผ่วเบา! ตอนนี้สู่หมานนึกว่าตนเองเพิ่งเห็นนกบินทะยานไป
สู่หมานสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ วิ่งไปที่ตึกข้างเคียง ระหว่างนั้นก็กล่าวผ่านช่องสื่อสารด้วย “เป้าหมายเริ่นเสี่ยวซู่จำเป็นต้องประเมินระดับพลังใหม่! ย้ำ! ต้องประเมินระดับพลังของเป้าหมายใหม่!”
เด็กหนุ่มผู้นี้อยู่ห่างจากที่พวกเขาคิดเป็นโยชน์! นี่ย่อมไม่ใช่พละกำลังที่ตัวอันตรายระดับ F ทั่วไปควรมีแล้ว!
สู่หมานรีบเข้าในตึก และวิ่งอย่างบ้าคลั่งขึ้นบันไดไปยังหลังคา แต่ตอนนั้นเองจู่ๆ ทุกคนในเมืองร้างก็ได้ยินเสียงดังสนั่น เสียงนี้สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วอาณาบริเวณ ราวกับเสียงระฆังมรณาอย่างไรอย่างนั้น
สู่หมานยืนนิ่งในตึกรามอันมืดมิด สายตาสาดส่องไปทั่วอย่างงุนงง นั่นมันเสียงอะไรกัน แต่เหมือนจะดังมาจากใกล้ๆ เลย!
…
ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่กระโจนอยู่กลางอากาศระหว่างทางไปตึกข้างเคียงนั้น เขาก็เห็นว่าที่ซากตึกสูงเสียดฟ้าห่างออกไปไกล มีคนผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่บนนั้น
เดิมทีเขาคิดจะไปที่ตึกสูงระฟ้าทรุดโทรม แต่ว่ามันไกลเกินไป
ตอนนี้พอเขาร่อนลงมาถึงหลังคาของอีกตึกแล้ว เขาก็ยืดตัวขึ้นแล้วมองไปทางรอยแตกของตึกสูงเสียดฟ้านั่น ร่องรอยพังทลายและเหล็กเส้นในคอนกรีตอันบิดเบี้ยว ทำให้ตึกสูงนี้ราวกับหนวดของปีศาจกำลังแทงทะลวงชั้นฟ้าไป
บนซากตึก เป็นเด็กผู้หญิงใส่หมวก เธอดึงปืนสไนเปอร์ขนาดมโหฬารออกมาจากความว่างเปล่า จากนั้นเธอก็หยั่งเท้าลงบนเศษซากกำแพงที่พังทลายลง สองมือยกปืนขนาดมหึมาขึ้นมา โดยใช้ขาเป็นตัวช่วยค้ำ
ใส่กระสุน เล็งเป้า!
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้ว่าหยางเสียวจิ่นเสกปืนสไนเปอร์มาได้อย่างไร เขามองไปยังทิศที่หยางเสียวจิ่นเล็งอยู่ ก่อนจะเห็นเป็นชิ่งเจิ่นในชุดสูทขาวผู้กำลังยืนอยู่ใต้แสงไฟสปอตไลต์!
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่อยู่กลางระหว่างหยางเสียวจิ่นและชิ่งเจิ่น เขาเลยพอเห็นที่อยู่ของชิ่งเจิ่นคร่าวๆ ได้
คือ…ที่หยางเสียวจิ่นมาไม่ใช่อะไร ไม่ได้มาเยี่ยมญาติ ไม่ได้มาหาความลับแห่งเขาจิ้งซาน จุดประสงค์ของเธอคือการมาสังหารชายหนุ่มในชุดสูทขาวผู้นั้นตั้งแต่ต้น!
เริ่นเสี่ยวซู่เคยลองพิจารณาอย่างจริงจังมาก่อนแล้ว และอนุมานได้ว่าหยางเสียวจิ่นต้องมีองค์กรสักแห่งหนุนหลังอยู่ แถมองค์กรนี้ย่อมต้องมีหน่วยข่าวกรองของตัวเองด้วย ไม่อย่างนั้นหยางเสียวจิ่นจะรู้ได้อย่างไรว่าชิ่งเจิ่นอยู่ที่ไหน และรู้ว่าเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่
ณ แดนหลังเขาแห่งเขาจิ้งซาน ในที่สุดเด็กสาวสวมหมวกก็เผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของตน ทั้งพร้อมจะลงมือลอบสังหารครั้งยิ่งใหญ่แล้ว!
ทักษะการใช้ปืนระดับสูงของเริ่นเสี่ยวซู่ทำให้เขาคิดอะไรได้ เขามองไปยังทิศที่ชายในชุดสูทขาวอยู่ จะยิงเป้าหมายระยะไกลให้โดนมีปัจจัยต่างๆ มากมาย ด้วยระยะทางของหยางเสียวจิ่นและชายในชุดสูทขาวห่างจนต้องนำปัจจัยด้านการหมุนของโลกมาคำนวนด้วย แต่นี่แม้กระทั่งจุดช่วยชี้เป้าก็ไม่มี เธอจะยิงออกไปได้อย่างไร
ตอนนี้ลั่วซินอวี่ที่อยู่ไม่ไกลจากชายในชุดสูทขาวนักกำลังก้มหน้าลง เส้นผมยาวของเธอปรกหน้า และถูกลมเอื่อยโชยพัดปลิว เมื่อสายลมสลายตัว เส้นผมของลั่วซินอวี่ก็หยุดพลิ้วไหวไปด้วย เริ่นเสี่ยวซู่พลันรู้แจ้งทันทีว่าถึงเวลาแล้ว!
ตอนนี้ลั่วซินอวี่ปลดห่วงรัดมือเธอไปแล้ว จากนั้นเธอก็ดึงมีดสีดำออกมาจากผมหนา และแทงใส่ผู้คุ้มกันที่อยู่ข้างชิ่งเจิ่น ทว่าผู้คุ้มกันมิได้ล่าถอย มือเขาพลันปรากฏแสดงสว่างพวยพุ่งออกมาและแปรกลายเป็นวัตถุลักษณะคล้ายพัด จากนั้นก็เล็งมันไปที่ลั่วซินอวี่พร้อมจิตสังหาร
หลิวปู้ที่อยู่ข้างๆ ตะลึงไป เขาไม่คิดเลยว่าจู่ๆ ลั่วซินอวี่ก็ทำตัวเหมือนไม่ใช่ตัวเธอเองแบบปุบปับเช่นนี้ ลั่วซินอวี่ผู้อ่อนแอบอบบางหายไปไหนกัน! มีคนปลอมตัวเป็นเธออย่างนั้นหรอกเหรอ!
มีดในมือของลั่วซินอวี่นั้นราวกับศิลปวัตถุ ทว่าเมื่ออยู่ในมือแน่งน้อยของเธอ มีดนี้ราวเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจมหาศาล
ทหารโดยรอบเห็นสถานการณ์แล้ว ก็ยกปืนชี้ไปที่ลั่วซินอวี่ทันที ถ้าไม่ใช่ว่าผู้คุ้มกันของชิ่งเจิ่นรับมือเธอได้อยู่ละก็ ป่านนี้พวกเขาคงสาดกระสุนไปทางลั่วซินอวี่กันไม่ให้เธอลอบสังหารชิ่งเจิ่นได้แล้ว!
แต่ลั่วซินอวี่ไม่ได้คิดจะลงมือฆ่าใครจริง ดูเหมือนที่ลงมือก็เพื่อจะเปิดช่องให้หยางเสียวจิ่น ไม่ว่าจะเป็นผู้คุ้มกันของชิ่งเจิ่นหรือพวกทหาร ก็ไม่มีใครทันคาดคิดหรอกว่าการลอบสังหารที่แท้จริงนั้น จะมาจากตึกสูงระฟ้าไกลออกไป
ลั่วซินอวี่เพียงจู่โจมแบบผิวเผิน ก่อนจะทะยานร่างหนี เกือบชั่วลัดนิ้วนั้น เธอก็ก้าวเข้าไปในเงาอันมืดมิดในตัวอาคารข้างหลังเธอ ก่อนร่างเธอจะหายวับไป ราวกับว่าในเงานั้นมีประตูบานหนึ่งเปิดออกให้เธอข้ามผ่านมิติเวลาไป!
เป็นพลังของลั่วซินอวี่เอง แม้กระทั่งเริ่นเสี่ยวซู่เองก็อาจไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำว่ายังมีผู้มีพลังพิเศษอีกคนซ่อนอยู่ในกลุ่ม แถมยังเป็นคนที่แสดงเก่งที่สุดอีกต่างหาก
สถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกรับไม่ได้อย่างยิ่ง ทันใดนั้นชิ่งเจิ่นก็หันขวับไปทางยอดตึกสูงระฟ้า ที่ขมับพลันรู้สึกเจ็บปวด!
เสียงยิงดังสนั่นกึกก้อง ไฟที่พวยพุ่งออกจากปากกระบอกปืนสไนเปอร์ราวกับมังกรเพลิงกลางรัตติกาล ที่พลันพร้อมทะยานกระหายในโลหิต!
ผู้คุ้มกันเห็นไฟจากบอกกระบอกปืนผ่านหางตา ทันใดนั้นก็เลิกตามลั่วซินอวี่แล้วกระโจนกลับมาข้างชิ่งเจิ่นทันที
หน้าที่ของผู้คุ้มกันคือการคุ้มกันมากกว่าจะไล่ล่าสังหารศัตรู ผู้คุ้มกันคำราม “สไนเปอร์!”
ระยะห่างของหยางเสียวจิ่นและชิ่งเจิ่นทำให้ผู้คุ้มกันตอบโต้ได้ทันการณ์ กระสุนแล่นฉิวเร็วก็จริง แต่ก็เฉพาะในการเผชิญหน้าเท่านั้น พอมีระยะทางที่มากขึ้น กระสุนนี้ยังต้องทะลวงผ่านอากาศอันหนาหนักยามค่ำคืนด้วยเสียก่อน!
ผู้คุ้มกันกระโจนมาหน้าชิ่งเจิ่นเพื่อปกป้องเขา พัดแสงในมือตั้งไว้กลางอก เขาอาจจะลองผลักชิ่งเจิ่นออกไปก็ได้ แต่ว่าชิ่งเจิ่นเป็นเพียงคนธรรมดา การทำเช่นนั้นอาจจะไม่ทันการณ์
เวลาราวหยุดนิ่งไป
กระสุนสไนเปอร์ยาวเท่ามือคนฉีกอากาศธาตุออก พลังงานจากการหมุนตัวเองของกระสุนทำให้อากาศบิดเบี้ยว แล่นทะลวงผ่านนภารัตติกาล!
แสงไฟสปอตไลต์ส่องไปยังบริเวณที่ชิ่งเจิ่นอยู่ประหนึ่งเวที และกระสุนข้ามผ่านระยะทางพันเมตร ทะลวงผ่านเส้นแสงเหล่านั้นไปยังเวที
เกิดเสียงกระแทกดังปัง กระสุนหมุนควงกระแทกใส่พัดแสงอย่างแรง จนพัดขาวกระจ่างนั้นค่อยๆ ทลายไปทีละนิดๆ
ผู้คุ้นกันรู้สึกราวว่าตนเองสามารถเห็นลวดลายบนกระสุนสีเงินขนาดยาวเท่าฝ่ามือนี้ได้ด้วยซ้ำไป
จากนั้นกระสุนก็พุ่งเข้ากล้ามเนื้อแลทะลุผ่านหัวใจ จากนั้นก็ทะลวงออกไปจากร่างเขาจนเกิดเป็นดอกไม้โลหิตผลิบานออก กระสุนข้ามผ่านระยะทางกว่าหนึ่งกิโลเมตรทะลุพลังและร่างของผู้มีพลังพิเศษผู้นี้ไป เขาหล่นตุบลงกับพื้นในฉับพลัน
พัดขาวคู่นั้นแข็งแกร่งมาก ทว่าก็ยังไม่มากพอที่จะช่วยให้เขารอดพ้นจากความตาย
โลหิตสาดซัดเปรอะเปื้อนชุดสูทขาวของชิ่งเจิ่นจนกลายเป็นสีแดงชาด จุดแต้มโลหิตบนเสื้อผ้าราวกับดอกท้อผลิบานในป่าช่วงเหมันตฤดู
“น่าเสียดาย” ชิ่งเจิ่นว่า พลางถอนหายใจ คนรอบข้างเขาไม่ทราบว่าเขาต้องการสื่อถึงอะไรกันแน่ เขากำลังสื่อถึงผู้คุ้มกันที่เป็นผู้มีพลังพิเศษต้องตายจากไป หรือกำลังพูดถึงชุดสูทสีขาวของตัวเขาเองอยู่?