ทิศเหนือของเมืองตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างหนัก ก่อนที่พวกเขาจะหนีออกไปนั้น หวังฟู่กุ้ย เริ่นเสี่ยวซู่ได้กระโดดขึ้นมาดูบนหลังคาแล้วมองไปทางเหนือ แล้วพวกเขาจะต้องตะลึงไปที่ได้เห็นฝูงแมลงมหาศาลราวเมฆทมิฬไหลกรูเข้ามาในเมือง
ภาพนี้ราวกับว่าเมืองจมลงในขวดหมึกอย่างไรอย่างนั้น เมืองอันมีสีสันสดใสถูกฝูงแมลงกลืนกินไป
ที่ไกลๆ ยังมีสัตว์ป่าวิ่งมาอีก เริ่นเสี่ยวซู่ไม่พบเห็นฝูงหมาป่าหรือตัวทดลอง แมลงหน้าคนน่าจะเป็นคลื่นสิ่งมีชีวิตคลื่นแรกที่มาถึงเมือง คาดว่าอีกไม่นานนัก ภัยร้ายที่อันตรายมากยิ่งกว่าก็จะมาถึง
เหล่าผู้อพยพโร่หนีไปทางประตูป้อมปราการ กรีดร้องอ้อนวอนอยู่นอกกำแพงขอความช่วยเหลือจากคนในป้อมปราการ
“เปิดประตูเร็ว!”
“ได้โปรดเปิดประตูช่วยพวกเราด้วย พวกนายไม่เห็นแมลงพวกนั้นเหรอ!”
“ขอร้องละ ให้ลูกฉันเข้าไปเถอะนะ!”
เหล่าผู้อพยพนอกกำแพงต่างคุกเข่าอ้อนวอน แต่ทหารกองกำลังส่วนตัวบนกำแพงเมืองเพียงยิงปืนไรเฟิลอัตโนมัติไปยังฝูงคลื่นแมลงเท่านั้น ไม่มีความคิดจะเปิดประตูให้ผู้อพยพเข้าไปแม้แต่น้อย
อีกทั้งกระสุนปืนที่ยิงออกก็ไม่ต่างไปจากใช้น้ำถังหนึ่งสาดดับไฟป่า
เห็นพวกแมลงใกล้จะมาถึงประตูที่ปิดสนิทอยู่แล้ว เหล่าผู้อพยพบางคนก็เริ่มด่ากราด ทว่าก่อนที่จะสบถได้มากความ ก็ต้องพยายามหลบลี้หนีออกไปอย่างเร็วรี่ ไม่อย่างนั้นคงได้ประชันหน้ากับแมลงหน้าคนแล้ว!
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ฝากความหวังไว้กับคนอื่นอยู่แล้ว สิ่งแรกที่ทำไม่ใช่ไปวอนให้ให้ป้อมปราการเปิดออกแต่รีบหลบหนีไปทันทีต่างหาก
ผู้อื่นจะอยู่จะตายไม่ใช่เรื่องของเขา ที่สำคัญที่สุดคือการดูแลพวกเหยียนลิ่วหยวน
ตอนแรกเริ่นเสี่ยวซู่นึกว่าหวังฟู่กุ้ยจะขนของไปรุงรัง แต่ว่าหวังต้าหลงและหวังฟู่กุ้ยมีแค่กระเป๋าสะพายหลังคนละใบเท่านั้น ถึงหวังต้าหลงจะดูโง่งมอยู่บ้าง แต่เขาก็แรงเยอะไม่น้อยเลย สามารถแบกของได้สบายไม่ลำบากแม้แต่นิด
เริ่นเสี่ยวซู่ถึงกับคิดไปวูบหนึ่งเลยว่าหวังต้าหลงน่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษผู้หนึ่ง เริ่นเสี่ยวซู่ไปเปิดกระเป๋าสะพายหลังของหวังต้าหลงดู ก่อนจะพบว่าเป็นแต่พวกฮาร์ดแทก[1]เต็มไปหมด ส่วนกระเป๋าของหวังฟู่กุ้ยมีแต่ยา
บรรดายาต่างๆ ถูกนำออกมาจากบรรจุภัณฑ์และเก็บใส่ขวดพลาสติกอย่างดี เช่นนี้จะพกพาไปมาสะดวกมากขึ้น
ระหว่างกำลังหนีไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เริ่นเสี่ยวซู่เกิดความสงสัย จึงถามหวังฟู่กุ้ยว่า “นึกว่าลุงจะพกทองหรืออะไรเทือกๆ นั้นไปซะอีก”
“ก็อยากอยู่ แต่ฉันขนไม่ไหวหรอก ถ้าแรงหมดก็มีแต่ตาย” หวังฟู่กุ้ยว่าด้วยสีหน้าขมขื่น “ก็ฉันพกเงินมาพอสมควร แต่ว่าเป็นเงินสกุลของสมาคมตระกูลชิ่ง พอไปถึงป้อมปราการ 109 ต้องแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินตระกูลหลี่อีก มูลค่าคงหายไปครึ่งหนึ่งเลยละ”
หวังฟู่กุ้ยวิ่งไปหอบไป เขาไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ จึงเป็นผู้ที่ลำบากที่สุดระหว่างการหลบหนี
เริ่นเสี่ยวซู่มองเขาตาขวาง “ลุงเลิกบ่นกระปอดกระแปดเถอะ ยาที่ลุงพกมาด้วยก็มีค่าไม่ใช่น้อยนี่ ยาแก้อักเสบที่ลุงเอามาเป็นพันเม็ด มันเม็ดละสองร้อยหยวนเลยนะ”
ไหนยังจะมีของอื่นๆ อีก ตอนนี้กำลังหลบหนีกันอยู่ เงินถือว่าไร้ค่าถ้าเทียบกับยารักษา
จางจิ่งหลินเคยพูดว่าทองเป็นเงินสกุลแข็ง[2] แต่เขาไม่ได้พูดถึงอีกอย่างที่เป็นเงินสกุลแข็งเช่นกัน นั่นก็คือยารักษาโรค
ว่าตามตรง การตัดสินใจของหวังฟู่กุ้ยรอบนี้ฉลาดที่สุดแล้ว
…
ใช่ว่าผู้อพยพทุกคนจะโง่งมออกไปร้องอ้อนวอนอยู่หน้ากำแพงป้อมเสียหมด บางคนก็ทราบดีว่าเหล่าผู้มีอำนาจในป้อมปราการไม่เห็นหัวพวกตนหรอก จึงหนีออกไปยังแดนรกร้างทันที
ตอนที่พวกเริ่นเสี่ยวซู่ออกจากเมืองไปนั้น เขายังได้ยินเสียงกรีดร้องของเหล่าผู้อพยพและเสียงปืนยิงจากเหนือยอดกำแพงอยู่ไม่สร่าง และไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นลั่นออกมา เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมอง ก็จะเห็นว่าทหารกองกำลังส่วนตัวนั้นกำลังโยนระเบิดลงมาจากเหนือยอดกำแพงป้อมปราการ!
ที่ใต้กำแพงยังมีคนอยู่ไม่น้อยเลยนะ!
คนที่เฉลียวใจกว่าหน่อยก็วิ่งหนีไปทางแดนรกร้างอย่างบ้าคลั่ง บางคนสะดุดล้มก็รีบยันตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครกล้านอนนิ่งอยู่กับพื้นแม้แต่เสี้ยววินาที
ไม่ได้มีแต่เริ่นเสี่ยวซู่และพรรคพวกที่กำลังหนีลงตะวันตกเฉียงใต้ ยังมีคนอีกหลายร้อยที่กำลังหลบหนีเช่นกัน
เหยียนลิ่วหยวนและเสี่ยวอวี้วิ่งได้ไม่เร็วนัก เริ่นเสี่ยวซู่จึงจำเป็นต้องวิ่งเป็นหมู่คณะกับคนไม่กี่ร้อยที่เหลือ
ยังดีที่เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนแบกสัมภาระให้พวกเขา เหยียนลิ่วหยวนและเสี่ยวอวี้จึงไม่ลำบากมากนัก
หลังจากวิ่งได้สักพัก ทุกคนก็เริ่มชะลอฝีเท้าลงเพราะสังเกตเห็นว่าแมลงหน้าคนไม่ได้ตามมา ทุกคนต่างเหนื่อยหอบกันหมด ยกเว้นไว้แต่เริ่นเสี่ยวซู่
มีคนหันไปมอง และเห็นว่าเมืองนั้นราวกับเป็นนรกภูมิขุมหนึ่งไปแล้ว กระท่อมของพวกเขาตกอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น
“บ้านพวกเราไม่เหลือแล้ว” มีคนพึมพำ
มีคนที่เพิ่งสูญเสียครอบครัวไปไม่อาจรับไหวอีกต่อไป จึงร้องไห้โฮออกมา ก่อนหน้าเริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่ามีคนที่ทิ้งลูกน้อยเด็กของตนเพื่อจะวิ่งหนีได้เร็วขึ้นแม้แต่เพียงนิดก็ยังดีด้วย
แต่ก็มีคนที่ปกป้องลูกของตนสุดชีวิตจนสุดท้ายก็ถูกฝูงแมลงหน้าคนกัดกลืนลงไป เปลือกหลังของตัวแมลงราวใสชัดขึ้น เสียงขากรรไกรกัดเลือดเนื้อเหยื่อเป็นฝันร้ายสลักจิตที่ผู้คนไม่น้อยไม่อาจลืมเลือนได้
ตอนนี้กลุ่มที่ออกจากเมืองมาแต่เนิ่นๆ ดูจะมาถึงเขตที่พอมีความปลอดภัยอยู่บ้าง แมลงหน้าคนดูจะสนใจในป้อมปราการมากกว่า เลยไม่สนใจจะล่าพวกผู้อพยพที่หนีเข้าแดนรกร้างก่อนหน้านี้
เริ่นเสี่ยวซู่พลันมีความรู้สึกว่าป้อมปราการนั้นจะเป็นตัวล่อความสนใจชั้นดีแทนเหล่าผู้อพยพที่กำลังหลบหนีอยู่ อย่างไรเสียพวกสัตว์ป่าและแมลงหน้าคนก็คงมุ่งไปยังสถานที่ที่มี ‘อาหาร’ อยู่เป็นหลัก
พอถึงตอนนั้น กองกำลังของสมาคมตระกูลชิ่งคงออกมาร่วมรบ หลังใช้ปืนและอาวุธหนักของพวกเขาแล้ว น่าจะไม่มีปัญหาอะไรกับการกดดันไล่พวกสัตว์ป่าสัตว์ประหลาดออกไป
ถ้าไม่ใช่ว่าเขาต้องหลบหน้าสมาคมตระกูลชิ่งละก็ เริ่นเสี่ยวซู่คงรอในแดนรกร้างจนกว่าสมาคมตระกูลชิ่งกวาดล้างพวกสัตว์ประหลาดได้หมดสิ้น จากนั้นค่อยพาเหยียนลิ่วหยวนและเสี่ยวอวี้กลับเมือง
แต่ตอนนี้เขาต้องหลบหนีออกจากเขตภายใต้การควบคุมของสมาคมตระกูลชิ่ง
ทันใดนั้นเอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็ขมวดคิ้ววูบ สายตาเหลือบมองออกไป ทุกคนก็สัมผัสได้เช่นกัน “มีแผ่นดินไหวอีกรอบ!”
คลื่นแผ่นดินไหวนี้หนักหนากว่ารอบที่แล้วอีก คนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวล้วนล้มลงกับพื้น!
“เฮ้ย อะไรวะนั่น!” มีคนชี้ไปทางทิศเหนือ
พวกเขาเห็นเส้นสีดำขนาดยักษ์สายหนึ่งจากทางเขาจิ้งซานพุ่งลงมาทางใต้ จากนั้นก็แทงลงเข้าไปในป้อมปราการราวกับมีดด้ามหนึ่ง!
กำแพงแพงป้อมปราการล้อมเมืองอันสูงตระหง่านเกิดเสียงดังดั่งภูเขาน้ำแข็งถล่ม กำแพงอันแข็งแกร่งพลันมีรอยแตกร้าวจากล่างขึ้นบน
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นภาพฉากนี้ก็ตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก รอยแยกนี้ไม่ได้ก่อตัวเป็นหุบเหว หากแต่แบ่งกำแพงออกเป็นครึ่งวงกลมสองวง พื้นดินทางตะวันตกพลันยกตัวสูงขึ้นกว่าสิบเมตร!
ราวกับว่ามีคนดึงพื้นราบขึ้นมาเป็นบันไดขั้นหนึ่ง!
แผ่นธรณีสัณฐานสองแผ่นบดขยี้ใส่กัน ทำลายแบ่งกำแพงออกเป็นสองส่วนในชั่วพริบตา!
กำแพงป้อมปราการพังทลายลงแล้ว!
……………
[1] ฮาร์ดแทก (Hardtack) หมายถึงขนมปังแข็ง (Cracker/Biscuit) ที่เป็นเสบียงของทหาร ใช้เป็นเสบียงสำรองในกิจกรรมทางการทหาร อย่างเช่นการรบหรือการเดินเรือ
[2] สกุลเงินแข็ง (Hard Currency) หมายถึงกลุ่มสกุลเงินที่มีความเสถียรสูง อาทิดอลลาร์สหรัฐ ยูโร, เยน, ปอนด์