เห็นพวกผู้หญิงนำฟืนไฟกลับที่ตัวเองแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็รำพึงรำพันว่าสตรีเพศเอาตัวรอดในสภาพล้อมเช่นนี้ลำบากจริงแท้
ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงกรนอยู่ข้างหู เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองก็เห็นเป็นเฉินอู๋ตี๋หลับคาอาหารไปแล้ว
เฉินอู๋ตี๋น่าจะเหนื่อยล้ามากแน่กับการใช้ตนคนเดียวปกป้องคนหลายสิบมาตลอดทาง
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าโลกนี้ช่างน่าขันนัก คนหลายพันที่นี่ มีเพียงเฉินอู๋ตี๋ที่สติไม่ดีและหญิงสาวนามเจียงอู๋เท่านั้นที่พร้อมจะทำตัวเป็นคนดี ส่วนพวกที่คิดว่าตัวเองฉลาดมีความสามารถ ก็คิดแต่จะช่วยเหลือตัวเอง แม้กระทั่งเริ่นเสี่ยวซู่เองก็มิใช่ข้อยกเว้น แต่กระนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ละอาย เขาไม่เคยคิดจะเป็นคนดีหรอก
“พี่ ทำไมพี่ไม่นอนสักหน่อยล่ะ” เหยียนลิ่วหยวนที่กำลังเติมฟืนอยู่หันมามองเริ่นเสี่ยวซู่ “ลุงฟู่กุ้ยกับผมเฝ้ากะแรกให้เอง”
“ใช่ๆ ตอนนี้ฉันมีปืนแล้ว” หวังฟู่กุ้ยยิ้ม เขาเก็บปืนไว้ใกล้ตัว ราวกับว่ามันก่อให้เกิดความมั่นคงประการหนึ่ง
เริ่นเสี่ยวซู่คิดตาม แล้วว่า “ก็ได้ งั้นฉันไปนอนก่อน ลิ่วหยวน สอนวิธีใช้ปืนให้เหล่าหวังด้วย”
หวังอี้เหิงโดนเฉินอู๋ตี๋ฟาดสีข้างตายไปแล้ว ไม่เพียงแต่กระดูกสันหลังแตกยับ อวัยวะภายในต่างๆ ก็ได้รับบาดเจ็บ อาการบาดเจ็บเช่นนี้ไม่มีใครรอดชีวิตได้หรอก
พอเริ่มเสี่ยวซู่ตื่นขึ้นมากลางดึก เขาก็เห็นเฉินอู๋ตี๋จ้องเขม็งมาที่เขา ไม่รู้ว่าเฉินอู๋ตี๋ตื่นขึ้นมาตอนไหนกัน
เหยียนลิ่วหยวนกับหวังฟู่กุ้ยยังไม่ได้นอน เพราะว่าต้องเข้ากะเฝ้าตอนกลางคืน หวังฟู่กุ้ยจับปืนแน่นพร้อมรับมือภัยภายนอก ส่วนเหยียนลิ่วหยวนตั้งท่าเฝ้าระวังเฉินอู๋ตี๋
ถึงทุกคนรู้ว่าปืนทำอะไรเฉินอู๋ตี๋ไม่ได้ แต่ก็ยังต้องเฝ้าระวังไว้ก่อนอยู่ดี
สำหรับเริ่นเสี่ยวซู่และคนอื่นๆ แล้ว ไม่ว่าเฉินอู๋ตี๋จะแสดงความจริงใจแค่ไหน แต่ทุกคนเพิ่งรู้จักกันเอง ถ้าเกิดเขาแค่แสดงได้เก่งมากเฉยๆ จะทำเช่นไร
แน่นอนว่าถึงพวกเขาจะรู้สึกว่าที่เฉินอู๋ตี๋เข้าหาเริ่นเสี่ยวซู่นั้นมีเหตุผลอื่นๆ แต่เฉินอู๋ตี๋ก็ดูไม่มีความคิดจะทำอะไร
ตอนนี้สมาคมตระกูลชิ่งน่าจะสนใจในตัวเริ่นเสี่ยวซู่ที่สุดแล้ว ไม่สิ พูดให้ชัดเจนกว่านี้ต้องบอกว่า สมาคมตระกูลชิ่งสนใจในตัวสูเสี่ยนฉู่มากที่สุด ดังนั้นสมาคมตระกูลชิ่งไม่น่าเป็นคนส่งเฉินอู๋ตี๋มา
“อาจารย์ ท่านตื่นแล้ว!” เฉินอู๋ตี๋ว่า
เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “นายหลับไปแป๊บเดียวเอง ไม่ง่วงเหรอ”
“ไม่ขอรับ” เฉินอู๋ตี๋ส่ายหน้า “ตั้งแต่ข้ารู้แจ้งว่าตนเป็นร่างอวตารของฉีเทียนต้าเซิ่ง ก็นอนหลับเพียงสามสี่ชั่วโมงต่อคืนได้สบายมาก ราวกับเป็นการนอนหลับทั้งคืนเหมือนแต่ก่อนเลย”
“ตามนั้น” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า เขาเองก็ไม่ต่างไปจากเฉินอู๋ตี๋ นอนแค่สามสี่ชั่วโมงต่อคืนก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา “ลิ่วหยวน เหล่าหวัง ไปนอนกันได้แล้วละ เดี๋ยวฉันเฝ้ากะต่อให้เอง”
“อาจารย์ ทำไมท่านไม่นอนอีกสักหน่อยเล่า” เฉินอู๋ตี๋พูด “ข้าจะเฝ้าระวังให้เอง!”
“ไม่จำเป็นหรอก” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหัว “นายอายุเท่าไร”
“หลายพันปีกระมัง?” เฉินอู๋ตี๋ไม่แน่ใจเหมือนกัน “ข้าไม่รู้ว่าในอดีตข้ามีอายุถึงเพียงไหน”
“ฉันพูดถึงชาตินี้!” เริ่นเสี่ยวซู่ตัดบท รู้สึกว่าจะพูดอะไรกับเฉินอู๋ตี๋ออกไปต้องคิดให้ดีก่อนเสียแล้ว
“อ้อ ข้าอายุยี่สิบสอง” เฉินอู๋ตี๋กล่าว
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกประหลาดพิกลที่จู่ๆ ก็มีลูกศิษย์อายุมากกว่าตนห้าปี เขาถาม “นายถูกพวกทหารกองกำลังส่วนตัวจับเข้าโรงพยาบาลจิตเวชเหรอ”
“เปล่า” เฉินอู๋ตี๋ส่ายหน้า แล้วว่า “ข้าอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชมาก่อนหน้านั้นแล้ว ข้าบอกพวกเขาว่าข้าเป็นฉีเทียนต้าเซิ่ง แต่พวกเขาหาเชื่อข้าไม่ ไม่นานมานี้ ไม่รู้ทำไมพวกเขาย้ายข้าไปที่โรงพยาบาลแห่งใหม่ พวกเขาดูดเลือดข้าไป แล้วก็ทำการทดลองบางอย่างกับร่างข้า”
“งั้นนายรู้จักจางเป่าเกินไหม” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“เจ้าคนที่เป่าฟองได้ใช่หรือไม่” เฉินอู๋ตี๋ตาทอประกาย “รู้จัก เขาอยู่วอร์ดข้างๆ ของข้า ยังมีผู้ป่วยอีกคนด้วย แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาไปไหนแล้ว”
จากคำพูด เริ่นเสี่ยวซู่ยืนยันได้แล้วว่าเฉินอู๋ตี๋มาจากโรงพยาบาลจิตเวชจริง แล้วก็อยู่ที่นั้นพร้อมกับจางเป่าเกินด้วย
เขานึกว่าจางเป่าเกินกับพวกผู้มีพลังพิเศษคนอื่นจะโดนผ่าทดลองทันทีหลังถูกส่งเข้าไปในป้อมปราการเสียอีก แต่ว่าแค่ดูดเลือดเฉยๆ เองเท่านั้นหรอกเหรอ ไม่สิ จากที่เฉินอู๋ตี๋ว่า เดิมทีมีผู้มีพลังพิเศษสามคนอยู่ถูกขังด้วยกัน แต่หนึ่งในนั้นหายไป
คนที่หายไป…คงตายไปแล้วสินะ!
“นายมีแผนว่ายังไงบ้างล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“ก็จะตามท่านอาจารย์ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่สวรรค์ประจิม” เฉินอู๋ตี๋พูดหน้าตาเฉย
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินแล้วก็เบ้หน้า เขาคิดพักหนึ่งแล้วว่า “ถ้าฉันไม่คิดจะไปอัญเชิญพระคัมภีร์ล่ะ”
เฉินอู๋ตี๋นิ่งไป ถ้าพวกเขาไม่ได้กำลังจะเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎก เช่นนั้นควรเขาทำอะไรต่อ ตลอดหลายปีมานี้ เขาครุ่นคิดแต่จะตามหาท่านอาจารย์เพื่อจะได้เดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกด้วยกันที่สวรรค์ประจิม ระหว่างทางเขาก็จะกำราบปราบปีศาจช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ แต่อาจารย์เขากลับไม่อยากไปสวรรค์ประจิมเสียอย่างนั้น!
เฉินอู๋ตี๋คิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะว่า “ไม่ได้ ยังไงท่านก็ต้องไป!”
เริ่นเสี่ยวซู่ “…”
หมายความว่ายังไงที่ว่าฉันต้องไปน่ะ ก่อนอื่นฉันต้องรู้ก่อนไหมล่ะว่าไอ้สวรรค์ประจิมนั่นมันอยู่ไหน ใช่ว่าจางจิ่งหลินเคยพูดถึงมันเสียที่ไหนเล่า!
เริ่นเสี่ยวซู่พลันถาม “นายรู้หรือเปล่าว่าสวรรค์ประจิมอยู่ไหน”
เฉินอู๋ตี๋นิ่งไปอีกครา “ไม่รู้”
โอ้ เช่นนั้นก็ง่ายแล้ว
ว่าตามตรง ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจแล้วว่าเฉินอู๋ตี๋ไม่เคยอ่านไซอิ๋วต้นฉบับ เขารู้เพียงแต่ที่เล่าๆ กันมาเท่านั้น ถึงได้มีความฝันเป็นผู้กล้าเช่นนี้ได้ คนที่เคยอ่านต้นฉบับมาต้องรู้แน่ว่าภาพลักษณ์ของซุนหงอคงไม่ได้ดีเด่อะไรขนาดนั้น
ดังนั้นแล้วเฉินอู๋ตี๋ไม่น่ารู้ว่าสวรรค์ประจิมอยู่ไหน แล้วก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันไม่มีจริง เขาจำได้เพียงว่าฉีเทียนต้าเซิ่งเป็นวีรบุรุษสุดแกร่ง และเขาต้องพาอาจารย์ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่สวรรค์ประจิม
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าที่เฉินอู๋ตี๋ไม่รู้ว่าซุนหงอคงเป็นเช่นไรในวรรณกรรมนั้น ถือเป็นเรื่องดีแล้ว บางครั้งโลกก็ต้องการฮีโร่แบบเขานี่แหละ
แม้แต่ตัวเริ่นเสี่ยวซู่เองยังชอบฉบับเรื่องเล่ามากกว่าเลย ฉบับนั้นซุนหงอคงขี่เมฆรุ้ง ใส่เกราะทอง เป็นเทพอมตะไร้ผู้เทียม
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองรอบๆ แล้วเห็นคนหลายพันนอนบนพื้นเย็นๆ และมีไม่กี่กองไฟเท่านั้น ท้องนภามืดสนิท ต้นเหมันตฤดู ลมพัดมายะเยือกขึ้น
หลังจากพวกผู้หลบหนีเจอหายนะครั้งใหญ่ และต้องเดินทางหลบหนีอย่างยากลำบากมาสองวัน พวกเขาก็ยังคงต้องทนหิวต่อไป พวกเขารู้สึกอ่อนล้าจนแทบจะสิ้นสติอยู่รอมร่อ พอลมหนาวพัดมาในคืนนี้ ต้องมีคนไม่น้อยแน่ที่ไม่อาจตื่นมาได้อีกครั้งในเช้าวันต่อไป
ไข้ ท้องเสีย หวัด หัวใจและปอดล้มเหลวเป็นอาการที่พบได้ทั่วไปในฤดูหนาว
ในแดนรกร้างนี้ นอกจากมนุษย์ต้องเจอกับสัตว์ป่าอย่างยากลำบากแล้ว พวกเขายังต้องหลบเลี่ยงโรคภัยทั้งหลายแหล่อีก
คนมากมายหนีเอาชีวิตรอด แต่เหลือรอดไปถึงป้อมปราการ 109 ได้ครึ่งหนึ่งก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว
ถ้าเจอตัวทดลองหรือหมาป่าระหว่างทางจำนวนคงลดลงไปอีก หรือจริงๆ แล้วพวกเขาอาจจะไม่เหลือรอดเลยสักคนก็ได้!