The Great Geneticist in Apocalypse – ตอนที่ 36 เอลลี่ลองพิษหัวใจขาวแล้วสิ

ตอนที่36 เอลลี่ลองพิษหัวใจขาวแล้วสิ
เบลซเดินออกจากห้องที่เขาอยู่ชั่วคราว ก่อนที่จะเดินไปหาเอลลี่ที่กำลังจัดของใส่กระเป๋าอยู่
“มีอะไรหรอ?” เอลลี่พูด
“คือว่า….เออเธอมีแผลที่แขนให้ไหม” เบลซถาม
“ไม่มีหรอกน่า” เอลลี่พูดขณะที่พยายามซ้อนแขนข้างที่เจ็บ
“ไม่ต้องหลอกเลยนะไม่เนียนหรอก” เบลซพูดขณะที่จับแขนข้างที่มีแผลของเอลลี่มาดู
“น่าเกลียดรึปล่าว?” เอลลี่พูดขณะทำหน้าจ๋อยๆกับแผลของตัวเอง พลางถามเบลซด้วยความคาดหวังว่าเขาจะไม่ซีเรียสกับรอยแผลของเธอ
“ใช่น่าเกลียดมากเลยหละ”
“อะไรนะ? ไอบ้าบ้าบ้าบ้าที่สุดเลย” เอลลี่ตอนนี่ทั้งโกรธทั้งอายจนหน้าแดงไม่หมดแล้วแถมเหมือนจะพยายามกลั้นน้ำตาเล็ดที่หางตาด้วย
“ขอโทษนะความจริงมันก็ไม่ได้น่าเกลียดหรอก นี่ฉันที่ของขวัญให้ด้วยหละ”
“จริงๆนะ?” เอลลี่ถามพลางกระพริบตาปริบๆ
“จริงสิ” เบลซพูดพลางคิดยังไงผู้หญิงก็รักสวยรักงามนี่นะ
“แล้วของขวัญอะไรอะ”
“นี้ไง” จากนั้นเบลซก็กรีดปลายนิ้วตัวเองนิดหน่อยก่อนที่จะเอาเลือดมาทาที่บริเวณแผลของเอลลี่
“อ๊ายย ไอบ้า นายอะไรของนาย เป็นบ้าจริงๆใช่มั้ย!?” เอลลี่พูดอย่างตกใจก่อนที่จะเอาน้ำจากขวดน้ำเช็ดเลือดออก
“เอ๋ แผลชั้น? แผลฉันหายแล้ว เย่!” เอลลี่พูดด้วยความดีใจก่อนที่จะตามมาด้วยสีหน้าสงสัยอย่างหนักหันมามองที่เบลซแล้วถามว่า “นายทำได้ยังไง?”
“เก็บไว้เป็นความลับหละ” เบลซพูดเป็นเสียงกระซิบก่อนที่จะจากไป
“เดี๋ยวสิ” เอลลี่คว้ามือของเบลซไว้ จับมือขึ้นมาดูแผลที่เบลซพึ่งกรีดนิ้วก่อนที่จะพูดด้วยสีหน้าอายๆว่า “มาให้ฉันทำแผลให้ก่อนสิ”
“แผลแค่นึดหน่อยไม่จำเป็นหรอก” เบลซคิดที่จะพูดแต่ว่าเขาคิดว่าเอลลี่น่าจะอารมณ์มากกว่าถ้าได้ทำแผลให้เขา เบลซเลยยิ้มตอบว่า “ได้สิ”
“อื่อ” เอลลี่พยักหน้าก่อนที่ใช้มือนุ่มนึ่มบรรจงล้างแผลแล้วก็ทายาฆ่าเชื้อและพันแผลให้ ก่อนที่จะบอกเบลซว่า “เสร็จแล้วหละ”
“ขอบใจนะ ไปเตรียมตัวเธอ” เบลซพูดก่อนที่จะกลับเขาไปในห้อง
“ใช่ได้จริงๆด้วย!” เบลซรู้สึกดีใจที่เขามีความสามารถรักษาแล้ว ในยุคนี้การรักษาค่อนข้างถูกจำกัดด้วยอะไรหลายๆอย่าง และการต่อสู้ก็เป็นธรรมดาที่จะมีการบาดเจ็บ ถ้าเขามีทักษะนี้ก็จะช่วยในการเอาตัวรอดได้เยอะ
“ถึงแม้ว่าจะใช้เลือดในการรักษาคนอื่นก็เถอะอย่างน้อยก็รักษาตัวเองได้ แล้วก็ถ้าไม่ใช้มากจนเกินไปก็ไม่เป็นไร” เบลซคิดเพราะถ้าเขาจะใช้พิษหัวใจขาวจำรักษาคนอื่นเป็นที่จะต้องเสียเลือดของเขาเองบางส่วนไปถ้านึดๆหน่อยๆและไม่บ่อยก็ไม่เป็นไรแต่ถ้ามากๆจะเป็นเขาที่ร่างกายย่ำแย่หรือถึงตายจากอาการขาดเลือดเอง
“เอาหละได้เวลาดูดซับ” เบลซคิดพลางเอาถุงที่เก็บคริสตัลพลังธาตุออกมา
เบลซหยิบคริสตัลธาตุไฟหนึ่งอันและคริสตัลธาตุน้ำ2อันที่เหลืออยู่ในถุงแน่นอนว่าทั้งหมดเป็นคริสตัลพลังธาตุที่ไร้สัญลักษณ์
“ดูดซับ” เบลซกล่าวขณะที่กำคริสตัลทั้งสามไว้
“ท่านดูดซับคริสตัลเพลิง ได้ค่าวิวัฒนาการ+4”
“ท่านดูดซับคริสตัลวารี ได้ค่าวิวัฒนาการ+7”
“ท่านดูดซับคริสตัลวารี ได้ค่าวิวัฒนาการ+6”
“อีกนึดเดียว” เบลซลืมตาขึ้นมาก่อนที่จะดูสถานะตอนนี้ค่าวิวัฒนาการของเขาพุ่งขึ้นจาก(25/100)เป็น(42/100)แล้ว ดูดซับอีกแค่หนึ่งถึงสองคริสตัลเขาก็จะเป็นสิ่งมีชีวิตสีเขียวอ่อนแล้ว
หลังจากถึงเวลาที่นัดกันไว้ทุกคนก็มารวมกันอยู่ที่หน้าห้อง
“เอาหละไปละนะฝากด้วยหละ” เบลซพูดแล้ว เบลซ เรย์ลิน เอมิเลียกับเหมียนเหมียนก็ออกไปข้างนอกส่วนเอลลี่ เจ้าดาบน้อย ชิน และจางมู่ก็ คอยคุ้มกันที่หอพักหญิง
 
 
เมื่อเบลซและพวกออกจากหอพักหญิงพักหนึ่งภายใต้การนำทางของเอมิเลียหนูกลายพันธ์ 4 ตัวใกล้ๆ บริเวณนั้นวิ่งเข้ามาหาพวกเขา
เรย์ลินถือมีดเลาะกระดูกสีทมิฬเย็นเหยียบที่อยู่ในมือเขาล่องหน(บิดเบือนแสงรอบตัวเอง) รีบวิ่งไปข้างหน้าเหมือนภูติผี และแทงดาบใส่หัวพวกมันทันทีตัดหัวของมัน สาดเลือดเหม็นไปทุกที่
“ฟันได้ดี!”
เบลซชม แต่เขาจะไม่เข้าไปช่วยเพราะเขาอยากให้เพื่อนเก็บระดับมากกว่าแล้วพวกระดับต่ำพวกนี้ก็แทบจะไม่มีผลต่อการเลื่อนระดับของเขาอีกแล้ว
เหมียนเหมียนและและเรย์ลิน รวมพลังกันฆ่าหนูกลายพันธ์ 4 ตัวอย่างรวดเร็ว แล้วมุ่งหน้าไปยังทิศทางของ สำนักงานทั่วไปและห้องวิชาการ
เห็นพวกเบลซโผล่ออกมา กลุ่มของหนูกลายพันธ์เริ่มที่จะย้ายไปยังทิศทางของเขาไล่ตามหลังเขาไป
การเข้ามาโจมตีของหนูกลายพันธ์เริ่มจะมากขึ้นและเริ่มรวมกันอยู่ด้านหลังของเขา
ความหนาแน่นนี้มันดูน่ากลัวมาก เบลซไม่กล้าที่จะอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานาน แม้ช่วงเวลานี้เขาจะต้องช่วยโจมตีเพื่อไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว ฆ่าหนูกลายพันธ์ที่อยู่บนเส้นทางของพวกเขาอย่างกับว่าบิดาเค้าเป็นคนสร้างทางเส้นนี้ เค้าไม่ยอมให้หนูกลายพันธ์ตัวไหน ขวางทางเค้าแม้แต่ตัวเดียวเค้ารีบจนไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่จะหยิบคริสตัลที่ตกลงจาก การฆ่าพวกมันแต่ก็ยังดีที่มีเถาโลหิตเพิ่มขึ้นมากมาช่วยเก็บ ถ้าเขาเคลื่อนที่ช้าเค้าอาจจะโดนจู่โจมทะลวงด้านหลังได้ แม้เบลซจะแข็งแกร่งขึ้นมากแต่เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บจากพวกมันได้เล็กน้อยกับจำนวนที่เยอะขนาดนี้และเถาโลหิตก็ไม่สามารถปกป้องเขาได้ทั้งตัว แค่คิดเค้าก็เสียวไปถึงสันหลังแล้ว
ซักพักในที่สุดพวกเขาก็เปิดทางออกไปได้ เบลซถอนหายใจออกด้วยความโล่งอกและยังคงรีบวิ่งไปในทิศทางของอาคารในมหาลัยพร้อมกับเอมิเลีย เรย์ลินและเหมียนเหมียน
ทั้งสามคนกับหนึ่งตัวเคลียร์เส้นทางได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องโดยไม่สามารถหยุดพักได้มุ่งหน้าทะลวงไปข้างหน้าอย่างเดียว
สมาชิกหลักของมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เป็น นักศึกษาในบริเวณใกล้เคียงของสํานักงาน ทั่วไปมีหนูกลายพันธ์ไม่กี่ตัวเท่านั้น
ตอนนั้นเองมีหนูขนาดใหญ่ขนสีเทาตัวหนึ่งขวางทางขึ้นบันไดพวกเขาเอาไว้
มันเป็นสัตว์อสูรธาตุลม หนูเงาวายุ
“ไฟเออร์บอล” เอมิเลียหันฝ่ามือไปทางหนูเงาวายุ เปลวเพลิงถูกจุดขึ้นที่ฝ่ามือก่อนที่จะรวมตัวกันเป็นลูกบอลกลมๆแล้วพุ่งไปทางหนูเงาวายุอย่างรวดเร็ว
“บรึมมมมม จี๊ดดดดด”  หนูเงาวายุร้องอย่างโอดโอยทันทีที่ไฟเออร์บอลปะทะกับร่างของมันก็เกิดระเบิดขึ้นอวัยวะบางส่วนกระเด็นกระดอนกับร่างของมันที่ถูกไฟเผาจนเกรียม
“อย่าใช้เยอะหละวันนึ่งเธอใช้มันได้ไม่กี่ครั้งหรอก” เบลซเตือนก่อนที่จะให้เถาโลหิตเก็บคริสตัลธาตุลมเข้าไป
“อื่อ” เอมิเลียพยักหน้า
เบลซเข้าไปในตึกมีเพียง 3 ตัว พุ่งไปหาเขา
เบลซกวัดแกว่งง้าวของเขาอยู่ในมือ ฟาดไปบนหัวส่งพวกมันบินออกไป
เรย์ลินพุ่งใส่อย่างรวดเร็วดังเช่นยิงลูกศร พุ่งไปข้างหน้าด้วยมีดเลาะกระดูกตัดหลอดลมได้อย่างง่ายดาย
เบลซวิ่งไปพร้อมกับเพื่อนๆพุ่งไปข้างหน้า
“ช่วยด้วย! ช่วยเราด้วย!”
หลังจากเบลซผ่านสำนักงานธุรการมหาลัยมามีเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากสำนักงานการสวัสดิการ
เบลซและพรรคพวกพุ่งไปอย่างรวดเร็วมุ่งหน้าไปยังสำนักงานการสวัสดิการเขามองในสำนักงานมีคนทั้งหมด 5 คน เป็นชาย 4 คนและหญิง 1 คน

The Great Geneticist in Apocalypse

The Great Geneticist in Apocalypse

The Great Geneticist in Apocalypse เบลซ แร็คน่าร์ (Blaze Ragnar) เป็นหนึ่งในชายหนุ่มที่ฉลาดมากในโลกยุคปี3xxx เขาเป็นคนที่หลงใหลในโลกยุคโบราณตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ยันยุคเหล็ก ในชีวิตของเขามีความฝันอยากจะไปสัมผัสยุคเหล่านั้นด้วยตเอง แต่ด้วยวิทยาการปัจจุบันและด้วยความที่เขาเป็นหนึ่งในคนที่อัจฉริยะที่สุดในโลกเขารู้ได้ในทันทีว่าต่อให้เขารวบรวมอัจฉริยะระดับโลกมาทั้งหมดก็ไม่สามารถคิดค้นวิธีการย้อนเวลากลับไปหรือหามิติอื่นที่ยังอยู่ในยุคโบราณได้ก่อนที่เขาจะตาย แต่ด้วยความฝันของเขา อย่างน้อยๆเขาก็อยากจะลองที่จะขี่ไดโนเสาร์ เสือเขียวดาบ และก็ แมมมอธดูซักครั้ง เขาเลยตั้งหน้าตั้งตา เป็นนักบรรพชีวิตวิทยาเพื่อสร้างไดโนเสาร์ที่สูญพันธ์ไปแล้วขึ้นมาในยุคปัจจุบัน ซึ่งด้วยสมองระดับเขามันคงเป็นไปได้ใน 5-10 ปีแต่ในขณะที่เขากำลังหาตัวอย่างยีนในหน้าผาแห่งหนึ่งแต่เขากลับเผลอหยิบชิพประหลาดขึ้นมาหนะสิ แต่ว่ามันจะเป็นอย่างงั้นจริงๆรึปล่าวนะ? และแล้วการเข้าสู่ยุคมืดก็เริ่มขึ้น “พวกมนุษย์ปุถุชนตัวเล็กๆทั้งหลาย ข้าคือ อิกดราซิล! บัดนี้โลกได้เข้าสู่ยุคแห่งพลังธาตุและวิวัฒนาการแล้ว จงต่อสู้! การต่อสู้ที่ ยากลำบากจะกลายเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์สำหรับพวกเจ้า จงเอาตัวรอดและวิวัฒนาการตัวเอง มีเพียงความแข็งแกร่งที่จะสามารถนำพาชีวิตพวกเจ้าให้อยู่รอด หากไม่แข็งแกร่งพอพวกเจ้าก็จงเป็นเหยื่อ ให้กับโลกที่โหดร้ายใบนี้ซะเถอะ!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset