The Great Geneticist in Apocalypse – ตอนที่ 57 เจอรังแมงปองคริสตัลแล้วสิ

ตอนที่57 เจอรังแมงปองคริสตัลแล้วสิ
หลังจากกอดกันพักนึงเบลซกับเอลลี่ค่อยๆผละออกจากกันทั้งสองความจริงแก้มแดงระเรื่อแต่ว่าด้วยแสงสลัวๆของง้าวประกายเพลิงเลยทําให้ดูไม่ออก แต่ที่แน่ๆคือสีหน้าและอารมณ์ของทั้งคู่ดีขึ้นอย่างมากความตึงเครียดที่สะสมมาจากทั้งการกดดัน การเอาชีวิตรอดและการฆ่าถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกที่อบอุ่น ถึงจะไม่รู้ตัว แต่ว่าเมื่อไม่มีความเครียดและความกดดันคอยกดทับ ประสิทธิภาพและศักยภาพของทั้งคู่กลับมาเต็มประสิทธิภาพและเผลอๆจะดีขึ้นมากด้วย
 
“งั้นเรามาเริ่มลองทักษะใหม่ก่อนนะ” เบลซพูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้งก่อนจะใช้ทดลองทักษะภูตเงาเพลิง
 
หลังจากทดลองหลายๆแบบทําให้สามารถจํากัดความสามารถของทักษะนี้ได้
 
อย่างแรก ทักษะนี้จะบิดเบือนแสงรอบๆได้ก็ต่อเมื่ออยู่ไม่เคลื่อนที่หรืออยู่กับที่เท่านั้น หมายความว่า สามารถขยับตัว(เคลื่อนไหว)ได้ แต่ว่าถ้าเท้าขยับเช่น ย่อง เดิน วิ่ง หรือกระโดดไปที่อื่น(เคลื่อนที่) จะยกเลิกการหายตัวทันที
สองคือความแรงในการโจมตี ระหว่างที่หายตัวถ้าเกิดใช้ธาตุไฟ โจมตีจะตีแรงขึ้นมากแต่ว่าจะยกเลิกการหายตัวและหลังจากโจมตีแล้วจะมีช่วงชะงักของทักษะไม่สามารถใช้ภูติเงาเพลิงได้ราวๆห้าวินาที
 
สามมันแค่หายตัวเฉยๆไม่สามารถเก็บเสียงเช่นเวลาพูดไอจามหรือหายใจแรงๆได้
 
“เราไปกันต่อเถอะ” เบลซพูดคว้าจับมือเอลลี่ข้างที่ไม่ถือดาบ
 
เอลลี่เดินตามด้วยหน้าแดงระเรื่อเธอรู้สึกอายนิดๆ แต่ก็เต็มไปด้วยความดีใจและก็ไม่ลดความระวังตัวต่อสภาพรอบๆลง
“ตรงนั้นมีทางโค้ง” เบลซกระซิบหลังจากเข้ามาลึกประมาณ 25 เมตรเห็นจะได้ เบลซเจอทางโค้งของถ้ํา
“ให้ฉันไปดูเองละกัน” เบลซพูดก่อนจะย่องเข้าไปชิดกับผนังถ้ํา และใช้ทักษะภูตเงาเพลิงทันที่แน่นอนว่าเขาก็หายตัวและชะเง้อมองไปที่อีกมุมทางโค้ง
เบลซเห็นแมงปองคริสตัล8ตัวมีสองตัวที่เด่นออกมาตัวนึง มันเป็นสีฟ้าอ่อนเหมือนตัวอื่นๆที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ แต่ว่ามันตัวใหญ่กว่าราวๆ2-3เท่ามันมีเหล็กในสีแดงใสเย็นยะเยือก ที่ใครเห็นก็ต้องกลัวไม่รู้ว่าเบลซรู้สึกไปเองรึปล่าว แต่ว่าเขารู้สึกได้ถึงไอเย็นที่ปะทะกับใบหน้าของเขา
 
อีกตัวนึงก็มีลักษณะเหมือนกันตัวแรกแต่ว่าตัวเล็กกว่าเบลซยนมือออกไปก่อนจะคิดในใจว่า “ประเมิน”
 
“แมงปองคริสตัลเหมันต์ น้ําแข็ง (ขาว)ระดับ14”
“นางพญาแมงปองคริสตัลเหมันต์(เขียวอ่อน)ระดับ11ทักษะ
“เจอของโหดเข้าแล้วสิ รอบๆฐานนี้จะมีระดับสีเขียวอ่อนเยอะไปไหมเนี่ย แต่ว่าช่วยไม่ได้มันอุตส่าห์มาหลบอยู่ในถ้ําปกติ คงออกมาแค่ตอนกลางคืน แต่เป็นเราเองที่ดันเข้ามา” เบลซอดไม่ได้ที่จะคิดว่าตัวเองทั้งโชคดีและงานเข้าในเวลาเดียวกัน
 
เบลซขยันตัวเองกลับมาที่เดิมก่อนจะยกเลิกทักษะภูติเพลิงแล้วกระซิบบอกเอลลี่
 
“ออกไปกันก่อนกลับฐานแล้วเรามาวางแผนกัน”เบลซกระซิบ
เอลลี่พยักหน้าก่อนที่ทั้งสองคนจะค่อยๆออกจากถ้ํา
 
หลังจากออกมาแล้วทั้งคู่ก็สํารวจรอบๆก็เจอกับบลูเบอรี่พุ่มเตี้ยสามสี่ต้น แน่นอนว่าเบลซใช้เถาโลหิตเซาะดินให้ร่วนๆก่อนจะดีงมันขึ้นมาทั้งรากและเก็บเข้าไปในช่องเก็บของ
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่เจออะไรอีก เมื่อดวงอาทิตย์ใกล้ตรงหัว(เที่ยง) แล้วเบลซก็กลับมาตรงจุดที่นัดกับเรย์ลินและเซลินไหม
 
หลังจากรอได้พักนึงเรย์ลินกับเซลินก็มาถึง
 
“ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?” เรย์ลินถาม
 
“นั้นทางนั้นเป็นยังไงบ้าง” เซลินถามเอลลี่เหมือนกัน แต่ดูเหมือนเธอจะถามคนละความหมายกับเรย์ลิน
เอลลี่เอียงอายเล็กน้อยแต่ไม่พูดอะไรสวนเบลซก็ตอบไปเรียบๆถึงจริงจัง “รายละเอียดมันเยอะไปคุยในฐานดีกว่า”
“อืม” เรย์ลินพยักหน้าก่อนจะขี่สเกียโดยมีเซลินนั่งซ้อนอยู่ข้างหลังกลับฐาน
 
“โย่วกลับมาแล้วหรอ เป็นยังไงบ้าง” ชินโบกมือพลางตะโกน
“กินข้าวกลางวันกันเถอะ!” เมิ่งหยิ่งหยิงพูดพลางยกหม้อขนาดใหญ่ไปยังห้องอาหารชั่วคราว
 
สิ่งแรกที่เบลซเห็นหลังจากกลับมาคือพื้นที่ราวๆรัศมี50เมตรโดยมีแกนกลางฐานเป็นจุดศูนย์กลางมีกําแพงหนามศิลารอบประมาณ1ใน3แล้วส่วนอิฟฟราและอิโนะก็หาหัวมันฝรั่งได้นิดหน่อยในอาณาเขตบาเรียซึ่งได้เอาไปให้เมิ่งหยิ่งหยิงปลูกไปแล้ว
 
ส่วนเอมิเลียที่มีเนียนโหย่วโหย่วและอี้หนานคอยช่วย ก็ได้นับของที่เก็บมาจากร้านสะดวกซื้อและของอื่นๆใส่กระดาษแล้วยื่นให้เบลซคร่าวๆ หลังจากอ่านแล้วเบลซก็คืนเอมิเลียไป
 
“เอาหละก่อนอื่นเรามากินกันก่อน” ทุกคนไปรวมกันที่ห้องอาหารชั่วคราว ข้าวกลางวันมื้อนี้เป็นบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปง่ายๆที่มีสาหร่ายซึ่งมาจากสาหร่ายอบแห้ง และไส้กรอก
หลังจากกินกันเสร็จแล้วก็เริ่มเล่าสิ่งที่ได้เจอในการสํารวจฝั่งของเรย์ลินไม่เจออะไรพิเศษ เจอแค่สัตว์อสูรธรรมดาไม่กี่ตัวและธาตุน้ําหนึ่งชิ้นซึ่งเบลซก็ให้เรย์ดินดูดซับไปเลย
ส่วนทางฝั่งเบลซเองก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับถ้ําที่ได้เข้าไปเจอรังของแมงปองคริสตัล
 
“แสดงว่าพวกเราต้องไปช่วยกันจัดการมันใช้มั้ย?” จางมู่ถามด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ดูเหมือนเขาจะได้รับทักษะจากโฮมุนครูส นักธนูได้สําเร็จและอยากลองเต็มแก่แล้ว
“ใช่ เพราะว่ามันอยู่ใกล้ฐานของพวกเรามากไป และถ้าทิ้งเอาไว้มันจะกลายเป็นหายนะของเราในภายหลัง” เบลซตอบพวกสัตว์อสูรมันวิวัฒนาการไวอยู่แล้ว และถ้ารวมเป็นกลุ่มใหญ่ๆอยู่ใกล้ฐานนี่มันเป็นหายนะในอนาคตแน่ๆ แค่คิดว่าตอนเวลาพักบาเรียแล้วมีฝูงสัตว์อสูรอยู่ใกล้ๆก็สยองแล้ว
 
“งั้นเราจะไปจัดการมันเมื่อไหร่” ชินถาม
“พวกนายวันนี้ทํางานมากทั้งวันละ พึ่งจะมากินข้าวกันไปพักอีกหน่อยอีกซัก3ชั่วโมงค่อยมาเจอกันที่นี่”
“โอเค” เพื่อนๆตอบก่อนจะแยกย้ายกันไปนอนพักเอาแรงส่วนคนที่ไม่ได้ไปสู้ก็ยังทํางานอยู่อย่างเช่นรินและเมิ่งหยิ่งหยิ่งที่เอาต้นบลูเบอรี่พุ่มเตี้ยที่เบลซได้มาไปปลูกและใส่พลังธาตุพืชเข้าไปถ้าหากไม่ได้พลังธาตุพืชกระตุ้นตอนที่ปลูก ต้นไม้จะไม่สามารถสร้างพลังชีวิตได้ค่อยๆแห้งและตายไป หลังจากให้พลังธาตุพืชกระตุ้นแล้วต้นไม้ก็จะอยู่ได้ด้วยตัวเองเหมือนต้นไม้ปกติในยุคนี้
เบลซก็เดินไปที่บ้านพักชายเขาเข้าไปในห้องน้ําล้างตัวให้สบายและนอนอย่างผ่อนคลายเพื่อพักผ่อนให้ได้มากที่สุด
3 ชั่วโมงผ่านไป
 
“ตื่นได้แล้วเพื่อน” ชินปลุก
 
“นี้ผ่านไปสามชั่วโมงแล้วหรอไวจริงๆ” เบลซบิดขี้เกียจก่อนจะออกไปที่ห้องทานอาหารชั่วคราว
 
ในห้องทุกคนมากันครบแล้วได้แก่ เบลซ เรย์ลิน ชิน จางมู่เอลลี่เอมิเลียเซลินและเมิ่งหยิ่งหยิ่ง
“เอาหละมาแผนกันดีกว่า” เบลซพูดแล้วเริ่มอธิบายแผนที่ละ
หลังจากที่ทุกคนเข้าใจแล้วก็ออกเดินทางไปยังถ้ําที่เป็นรังของแมงปองคริสตัล
 
หลังจากเดินมาพักนึงก็ถึงปากถ้ําเบลซและเพื่อนๆเริ่มทําตามแผนที่วางไว้
“เอาหละยังไงทุกคนก็รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ จางมู่ เอมิเลียตามฉันมา”เบลซพูดก่อนที่จะเข้าไปในถ้ําพร้อมกับจางมู่และเอมิเลีย
 

The Great Geneticist in Apocalypse

The Great Geneticist in Apocalypse

The Great Geneticist in Apocalypse เบลซ แร็คน่าร์ (Blaze Ragnar) เป็นหนึ่งในชายหนุ่มที่ฉลาดมากในโลกยุคปี3xxx เขาเป็นคนที่หลงใหลในโลกยุคโบราณตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ยันยุคเหล็ก ในชีวิตของเขามีความฝันอยากจะไปสัมผัสยุคเหล่านั้นด้วยตเอง แต่ด้วยวิทยาการปัจจุบันและด้วยความที่เขาเป็นหนึ่งในคนที่อัจฉริยะที่สุดในโลกเขารู้ได้ในทันทีว่าต่อให้เขารวบรวมอัจฉริยะระดับโลกมาทั้งหมดก็ไม่สามารถคิดค้นวิธีการย้อนเวลากลับไปหรือหามิติอื่นที่ยังอยู่ในยุคโบราณได้ก่อนที่เขาจะตาย แต่ด้วยความฝันของเขา อย่างน้อยๆเขาก็อยากจะลองที่จะขี่ไดโนเสาร์ เสือเขียวดาบ และก็ แมมมอธดูซักครั้ง เขาเลยตั้งหน้าตั้งตา เป็นนักบรรพชีวิตวิทยาเพื่อสร้างไดโนเสาร์ที่สูญพันธ์ไปแล้วขึ้นมาในยุคปัจจุบัน ซึ่งด้วยสมองระดับเขามันคงเป็นไปได้ใน 5-10 ปีแต่ในขณะที่เขากำลังหาตัวอย่างยีนในหน้าผาแห่งหนึ่งแต่เขากลับเผลอหยิบชิพประหลาดขึ้นมาหนะสิ แต่ว่ามันจะเป็นอย่างงั้นจริงๆรึปล่าวนะ? และแล้วการเข้าสู่ยุคมืดก็เริ่มขึ้น “พวกมนุษย์ปุถุชนตัวเล็กๆทั้งหลาย ข้าคือ อิกดราซิล! บัดนี้โลกได้เข้าสู่ยุคแห่งพลังธาตุและวิวัฒนาการแล้ว จงต่อสู้! การต่อสู้ที่ ยากลำบากจะกลายเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์สำหรับพวกเจ้า จงเอาตัวรอดและวิวัฒนาการตัวเอง มีเพียงความแข็งแกร่งที่จะสามารถนำพาชีวิตพวกเจ้าให้อยู่รอด หากไม่แข็งแกร่งพอพวกเจ้าก็จงเป็นเหยื่อ ให้กับโลกที่โหดร้ายใบนี้ซะเถอะ!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset