ทั้งที่ซูซานรู้ว่ารถแลนด์โรเวอร์คันนี้พุ่งมายังตนเอง ทว่ากลับไม่มีแรงหลบหนีแม้แต่น้อย
ในชั่วพริบตานี้ ในหัวสมองของหล่อนปรากฏความคิดที่เสียใจนับไม่ถ้วนขึ้นมา หล่อนยังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่มีลูก ยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ยังมีเรื่องราวมากมายที่ยังไม่ได้ทำ
ความฝันของหล่อนสลายไปหมด แม้กระทั่งยังรู้สึกถึงกำลังแรงของแลนด์โรเวอร์ที่คำรามเข้ามา และคิดว่าตนเองต้องโดนชนตายแน่ๆ ทว่าแขนที่มีกำลังมากคู่หนึ่งโอบหล่อนเข้าในอ้อมกอดที่อบอุ่นโดยฉับพลัน
หลังจากนั้นหล่อนรู้สึกว่าข้อเท้าทั้งสองอยู่ห่างพื้นขึ้นมากะทันหัน เหมือนบินขึ้นมาอย่างนั้น ข้างหูมีลมแรงพัดหวืดผ่านไป
หล่อนลืมตาขึ้น มองเห็นใบหน้าที่คมชัดใบหนึ่งอยู่ใกล้กับหล่อนเอามากๆ ใบหน้าที่เดิมทีหล่อนมองอย่างไรก็ไม่พอใจอย่างมาก เวลานี้กลับมีแรงดึงดูดมากขนาดนั้น เวลานี้หล่อนมองจนหลงใหลแล้ว
เพียงแต่เพิ่งพาหล่อนมาถึงตำแหน่งปลอดภัย หยางเฉินก็ปล่อยหล่อนออก ไม่มองหล่อนสักนิด ดวงตาทั้งคู่จ้องรถแลนด์โรเวอร์ที่คำรามออกไปอยู่
“ซานซาน เธอไม่เป็นอะไรนะ?”
ฉินซีพุ่งเข้ามา ตรวจสอบซูซานว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ด้วยหน้าตาตื่นตระหนก
หัวใจของซูซานเต้นรัวตุบๆ หล่อนพยายามควบคุมความประหม่าภายในใจเอาไว้ และยังทำหน้าตาฝืนยิ้มออกมา “ฉันไม่เป็นไร!”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนเจอเรื่องแบบนี้ รถคันเมื่อสักครู่นั้น มองก็รู้ว่ามุ่งเอาชีวิตของหล่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นการลอบสังหาร
หยางเฉินไม่ได้ตามแลนด์โรเวอร์คันนั้นไป เนื่องจากฉินซียังคงอยู่ที่นี่ เขาไม่มีทางรับประกันได้ว่าด้านหลังยังมีคนอยากลอบฆ่าซูซานอยู่หรือเปล่า อย่างนั้นฉินซีอาจจะมีอันตราย
ซูซานเข้มแข็งกว่าที่หยางเฉินจินตนาการเอาไว้มาก ไม่นานก็สงบนิ่งลงมาได้ รีบหยิบมือถือขึ้นมาจากนั้นต่อสายไปหมายเลขหนึ่ง “พ่อคะ เมื่อกี้หนูโดนลอบฆ่า อยู่ที่หน้าประตูบ้านค่ะ รถแลนด์โรเวอร์คันหนึ่ง ป้ายทะเบียนเจียงA53J11 มาจากตะวันออกตรงไปทางตะวันตกแล้วค่ะ”
คำพูดของหล่อนสั้นกระชับได้ใจความมาก แต่กลับสามารถเปิดเผยข้อความสำคัญทั้งหมดให้ซูเฉิงอู่รู้หมด
ซูซานในวินาทีนี้ เหมือนเป็นคนละคนกัน ไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอคนนั้นอีกต่อไป แต่ทว่าเหมือนหญิงแกร่งที่สุขุมคนหนึ่ง
หยางเฉินหรี่ตามองหล่อน ผู้หญิงคนนี้ ไม่ได้อ่อนแอเหมือนที่มองเห็นภายนอกแบบนั้น
“เสี่ยวซี ฉันไม่รบกวนเธอแล้ว เอาไว้วันหลังพวกเราเจอกันอีกนะ!”
ซูซานบอกลาทันใด ฉินซีพยักหน้าให้ พูดด้วยสีหน้ากังวล “ต่อไปให้คุณอาซูหาบอดี้การ์ดมาให้เธอสักคนเถอะ!”
ซูซานพยักหน้านิดหน่อย สายตาตกบนตัวของหยางเฉินอีกครั้ง “ขอบคุณมากนะที่ช่วยชีวิตฉัน ฉันติดหนี้บุญคุณแล้ว!”
พูดจบ ไม่รอให้หยางเฉินตอบกลับ หล่อนก็หมุนตัวจากไป
“พวกเราก็ไปกันเถอะ!”
ฉินซีมองตามซูซานเข้าไปในประตูใหญ่ของตระกูลซูด้วยความเป็นห่วง จากนั้นถึงหมุนตัวขึ้นรถมา
เกิดเรื่องแบบเมื่อสักครู่นี้ อารมณ์ของฉินซีหนักหน่วงอยู่บ้าง ในใจมีแต่ความกังวลต่อซูซานเต็มที่
“เสี่ยวซี ซูซานอยู่ที่เมืองนอกมาตลอดเลยเหรอ?”
ระหว่างทางที่กลับมา หยางเฉินถามขึ้นทันใด
ฉินซีถึงได้เอ่ยปากบอก “หลังจากเรียนจบมอปลาย หล่อนก็ไปเรียนต่อที่เมืองนอกเลย เพิ่งกลับเมืองเจียงโจวมาเมื่อเดือนที่แล้ว
“ตอนมอปลายความสัมพันธ์ของพวกเราดีมาก ตอนนั้นหล่อนธรรมดามาก ชีวิตความเป็นอยู่ของหล่อนติดดินเอามากๆ เลย เดิมทีไม่เหมือนคนในตระกูลร่ำรวย”
“ต่อมาหลังจากที่หล่อนไปเมืองนอก โดยพื้นฐานพวกเราจะติดต่อกันเดือนละครั้ง หล่อนจะเล่าชีวิตที่เมืองนอกของหล่อนให้ฉันฟัง ฉันก็จะเล่าชีวิตของตัวเองให้หล่อนฟังเหมือนกัน”
“เพราะแบบนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรานับวันจึงยิ่งดีขึ้น จนกระทั่งหนึ่งเดือนก่อน หลังหล่อนกลับมาถึงเจียงโจว ฉันถึงรู้ว่าหล่อนเป็นคนของตระกูลซู”
เป็นความสัมพันธ์ของเพื่อนรักที่ไม่ได้อกสั่นขวัญแขวนอะไร ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องของเพื่อนสาวที่ธรรมดามาก
ทั้งที่ซูซานเป็นลูกสาวของตระกูลใหญ่ ช่วงมัธยมปลายสามปีกลับเป็นเหมือนเด็กสาวครอบครัวธรรมดาคนหนึ่ง พูดได้ว่าซูเฉิงอู่ปกป้องหล่อนได้ดีมาก
ไม่ให้หล่อนเปิดเผยตัว เพื่อปกป้องหล่อนเอาไว้
หยางเฉินกลับไม่ใช่สงสัยอะไรซูซาน เพียงแค่เรื่องแบบนั้นที่ประสบเจอมาเมื่อสักครู่ ผู้หญิงทั่วไปคงตกใจร้องไห้ไปตั้งนานแล้ว ถึงแม้ว่าหล่อนจะกลัว แต่กลับเก็บซ่อนความหวาดกลัวไว้เป็นอย่างดี
ยังมีที่หล่อนบอกเรื่องราวกับซูเฉิงอู่ในวินาทีแรกด้วย ไม่มีสับสนสักนิด ผู้หญิงแบบนี้ คงจะไม่ธรรมดาเหมือนภายนอกเป็นแน่
แต่สิ่งที่หยางเฉินสามารถมั่นใจได้คือซูซานไม่มีเจตนาร้ายต่อฉินซีแม้แต่น้อย
พูดคุยกันมาเรื่อยๆ อารมณ์ของฉินซีก็ค่อยๆ มั่นคง ทันใดนั้นเธอถามว่า “จริงด้วย ฉันอยากถามคุณมาตลอด เมื่อกี้ที่เมืองคิง แต่ละรอบ ไพ่ของคุณล้วนมากว่าหลิวข่ายอยู่แต้มหนึ่ง คุณทำได้อย่างไรกัน?”
หยางเฉินขับรถไปพลางยิ้มบอกไปพลาง “ถ้าผมบอกว่าเป็นดวง คุณเชื่อหรือเปล่า?”
“หา?”
ฉินซีตะลึง จากนั้นส่ายหน้าอย่างว่องไวมาก “นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? สี่รอบติดต่อกันเลยนะ สามรอบแรกไพ่ของคุณคือ456 ไพ่ของเขาคือ345 รอบที่สี่ของเขาคือไพ่แจ็ค ส่วนของคุณคือไพ่คิง เป็นไปได้อย่างไรที่จะบังเอิญขนาดนี้?”
หยางเฉินหัวเราะแล้ว “ไพ่นั้นเป็นพวกเขาแจกหมด ต่อให้ผมอยากโกง ก็ไม่มีทางหรอก! ไม่แน่อาจเป็นคนของเขาทำผิดเองก็ได้ เอาไพ่ที่ควรเป็นของหลิวข่ายมาแจกให้ผมแทน”
ฉินซีคิดดูแล้ว เหมือนว่ามีความเป็นไปได้แบบนี้ มีเพียงคำอธิบายอันนี้ถึงสมเหตุสมผล
“ฉันว่าแล้วเชียว! คุณไม่ได้แตะต้องไพ่ ไพ่ที่เปิดออกมาจะบังเอิญสี่รอบติดกันขนาดนั้นได้อย่างไร ที่แท้เป็นพวกเขาเข้าใจผิดนี่เอง” ฉินซียิ้มพูดขึ้น
พูดมาถึงเรื่องของเมืองคิง ทันใดนั้นหล่อนนึกถึงฉินต้าหย่ง ถามว่า “คุณคิดจะจัดการพ่อฉันอย่างไร?”
“พูดตามตรงนะ ตอนที่เขาตอบรับว่าจะเอาคุณวางเดิมพัน ผมมีความคิดอยากฆ่าเขาจริงๆ”
หยางเฉินพูดด้วยสีหน้านิ่งสงบ “แต่ตอนที่เขาแพ้คุณให้กับผม ผมจะพาคุณไป เขาขอให้ผมปล่อยคุณไป ผมรู้สึกว่าเขาน่าสงสารมาก แต่คนที่น่าสงสารก็มีจุดที่น่าเกลียดอยู่ด้วย และเขาก็แค่ติดพนัน”
“ตั้งแต่วันนี้ไป เขาจะสูญเสียคุณ สูญเสียครอบครัว สูญเสียทุกอย่าง! ทั้งเมืองเจียงโจว จะไม่มีสถานที่อาศัยให้เขาอยู่รอดอีก ต่อให้เขาอยากหาสักงานหนึ่ง ก็ไม่มีใครต้องการเขา”
“ช่วงเวลาหนึ่งต่อไปนี้ เขาจะได้ลิ้มรสชีวิตสารพัดรูปแบบ มีชีวิตยากลำบากขั้นต่ำสุด บางทีเขาอาจจะรับความลำบากพวกนี้ไม่ได้ แล้วเลือกที่จะตายไป แต่คุณวางใจได้ ผมจะส่งคนไปตามเขาไว้ ต่อให้อยากได้แค่ไหน เขาก็ทำไม่ได้”
“และทุกอย่างนี้เป็นภาพความจริงหลังจากคนติดพนันเดินมาถึงสภาพอับจน มีเพียงวิธีแบบนี้เท่านั้น เขาถึงจะสามารถกลับเนื้อกลับตัวได้”
“เขาอาจจะไปหาคุณ ไปหาเสี่ยวยีที่ซานเหอกรุ๊ป แต่พวกคุณจำเป็นต้องแข็งใจไม่เจอ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่ทำมาจะพังหมด”
ระหว่างที่พูด หยางเฉินขับรถกลับมาถึงยอดเมฆาแล้ว
ฉินซีมองทางหยางเฉินด้วยหน้าตาตกใจ เหมือนเพิ่งรู้จักหยางเฉินเป็นครั้งแรก
ผ่านไปนานพอสมควร เธอถึงพูดแบบตาแดงๆ “ฉันรู้ มีเพียงแบบนี้ ถึงจะสามารถทำให้เขาเปลี่ยนแปลงได้โดยสิ้นเชิง ฉันจะบอกเสี่ยวยีให้หมด ถ้าพ่อมาหาหล่อน ก็เจอไม่ได้”
ในขณะเดียวกัน ตระกูลซู
ซูซานแช่ตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำที่อุ่น หลับดวงตาลงเล็กน้อย ในหัวสมองกลับเป็นฉากที่หยางเฉินช่วยชีวิตตนเองไว้
“พรึ่บ!”
ผ่านไปสักพัก หล่อนเดินออกมาจากในอ่างอาบน้ำ ยืนอยู่หน้ากระจกแต่งตัวบานใหญ่ ชื่นชมเรือนร่างที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ตินั้นของตนเองอยู่ ทันใดนั้นหัวเราะอย่างมั่นใจ “เสี่ยวซี ผู้ชายของเธอ ฉันไม่ปล่อยไปแน่!”