The King of War – ตอนที่ 23 จับจ้องกันทั้งเมือง

บทที่ 23 จับจ้องกันทั้งเมือง

นาทีนี้สายตาของทุก ๆ คนก็อยู่บนร่างของฉินซีพร้อม ๆ กัน

“พี่สาว เป็นเขา! เป็นเขาจริง ๆ ด้วย!”

ฉินยีมองดูผู้หญิงที่ถูกลำแสงทั้งหมดแผ่คลุม ตื่นเต้นดีใจจนร้องขึ้นมา ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา สองตามองหาเงาของหยางเฉิน

ตอนนี้ทุกคนในตระกูลฉินมีสีหน้าไร้ความรู้สึกกันทั้งหมด

“เป็นไปไม่ได้! เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!” ฉินเฟยมีสีหน้าเหลือเชื่อ

นายท่านฉินจ้องตาโต “หรือว่าทั้งหมดนี้จะเป็นไอ้สวะนั่นทำ? นี่มันจะเป็นได้อย่างไร?”

ตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่คนของตระกูลฉิน คนอื่นก็ล้วนตกตะลึง

ฉินซีเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเจียงโจว มีชื่อเสียงขจรขจายมาตั้งนานแล้ว ห้าปีก่อนเรื่องที่ฉินซีแต่งงานกับหยางเฉินก็เคยเป็นเรื่องตลกที่คนเอามาล้อกันทั่วทั้งเจียงโจว

เมื่อกี้ตอนที่ได้ยินพิธีกรพูดเรื่องที่สอง ทุกคนก็รู้สึกว่าเรื่องนี้คุ้นหูเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งถึงตอนนี้ทุกคนต่างรู้ความจริง

ในตอนที่ทุกคนตกตะลึงจนถึงขีดสุด ลำแสงก็เคลื่อนย้ายในฉับพลัน ไปรวมตัวกันอยู่ที่บนตัวของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง และย้ายไปบนร่างของผู้หญิงอีกคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนไปห้าหกคนติดต่อกันจึงจะหยุดนิ่ง

“เมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องล้อเล่นเล็ก ๆ ให้กับทุกคน เนื่องจากคุณสามีท่านนี้ไม่อยากเปิดเผยฐานะ ขอทุกท่านโปรดอภัย! ขอบคุณการมาของทุกท่านครับ!” ทันใดนั้นพิธีกรก็พูดไปยิ้มไปอย่างมีท่าทีติดตลก

“ฉันบอกแล้ว จะเป็นไอ้สวะนั่นได้อย่างไร?”

ทุกคนในตระกูลฉินดูเหมือนจะผ่อนลมหายใจออกมาคำหนึ่ง

คนอื่น ๆ กลับไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนกับตระกูลฉิน คนมากมายรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถึงอย่างไรสิ่งที่พิธีกรพูดมาก็เหมือนกับเรื่องเมื่อห้าปีก่อนอย่างสมบูรณ์

เมื่อครู่ตอนที่ลำแสงทั้งหมดส่องมาที่บนตัวของเธอ ฉินซีก็เกิดความรู้สึกราวกับเป็นภาพมายาขึ้นมาจริง ๆ ทั้งหมดของค่ำคืนนี้ล้วนเป็นการเตรียมการของหยางเฉิน

ตอนนี้งานเลี้ยงกลางคืนจบลง เธอก็ยังไม่ได้พบหยางเฉิน ในใจรู้สึกอ้างว้างขึ้นมาฉับพลัน

“ฉันไปก่อนนะ!” เธอพูดกับคนในครอบครัวแล้วก็ลุกขึ้นจากไป

เธอเพิ่งจะออกมาจากโรงแรมก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินขึ้นมาข้างหน้า “ขอโทษค่ะ คุณคือคุณหนูฉินซีใช่ไหมคะ?”

“ใช่ค่ะ ขอโทษค่ะ คุณคือ?” ฉินซีไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มอย่างมืออาชีพ “เถ้าแก่ของพวกเราอยากจะคุยเรื่องอนาคตของซานเหอกรุ๊ปกับคุณค่ะ ไม่ทราบว่าคุณหนูฉินสนใจไหมคะ?”

ฉินซียินดีขึ้นมาในฉับพลัน ถึงแม้ว่าบริษัทจะถูกตระกูลฉินเอาไปใช้หนี้แล้ว แต่อย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อของเธอ ต่อให้ไม่มีโอกาสได้รับมันอีก แต่ถ้าหากว่าสามารถอยู่ในซานเหอกรุ๊ปต่อไปได้ เธอก็ยินดี

คืนนี้มีตระกูลร่ำรวยมากมายยินดีจะร่วมงานกับซานเหอกรุ๊ป ฉินซีกลับไม่รู้สึกเป็นทุกข์ เป็นแบบนี้ดีกว่าถูกตระกูลฉินครอบครองเป็นไหน ๆ

ฉินซีตามผู้หญิงคนนั้นขึ้นลิฟต์ไป จนกระทั่งถึงชั้นบนสุดลิฟต์จึงหยุดลง

ในเวลาเดียวกัน ภายในโถงงานเลี้ยงมีคนคนหนึ่งถามขึ้นมาฉับพลัน “พิธีกร คุณพูดไปแค่สองเรื่องเอง ไม่ใช่ว่ายังมีเรื่องที่สามหรอกเหรอ?”

พิธีกรที่ยังไม่ได้เดินลงจากเวทียิ้มอย่างลึกลับ “เรื่องที่สาม คุณสามีคนนั้นกำลังจะขอแต่งงานกับคนที่ตัวเองรักอย่างสุดซึ้งอยู่ที่ชั้นบนสุดของโรงแรมสตาร์ไลท์ ชดเชยอดีตเมื่อปีนั้น จากนี้ไปก็เชิญพวกเราทุกคนไปด้านนอกด้วยกัน เป็นประจักษ์พยานนาทีแห่งความสุขนี้!”

โรงแรมสตาร์ไลท์เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดของเจียงโจว สาเหตุที่ใช้ชื่อว่าสตาร์ไลท์ มีสองเหตุผล เหตุผลที่หนึ่งคือชั้นบนสุดทั้งชั้นของโรงแรมสตาร์ไลท์ใช้กระจกเป็นโครงสร้างทั้งหมด ทุกครั้งที่ความมืดยามค่ำคืนย่างกรายมาถึง ชั้นบนสุดทั้งชั้นราวกับเป็นดวงดาวสุกสกาวหนึ่งดวง

เหตุผลที่สอง เพดานทั้งหมดของชั้นบนสุดเป็นกระจกสองชั้น ออกแบบเป็นกล้องส่องทางไกล มองจากชั้นบนสุด ก็เหมือนกับได้ยืนอยู่หน้ากล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน

ภายใต้การนำของพิธีกร ทุก ๆ คนก็มาถึงด้านนอกของโรงแรม เงยหน้าขึ้นมองไปยังชั้นบนสุด

เพียงแต่ตัวตึกสูงเกินไป พวกเขาทำได้เพียงมองเห็นชั้นบนสุดเป็นเหมือนกับดวงดาวสุกสกาว แต่กลับมองภาพด้านในได้ไม่ชัด

“คุณน้าขา คุณพ่อบอกว่าวันนี้จะออกไปเที่ยวกับคุณแม่ พวกเขาไม่พาหนูไปด้วยค่ะ” เสี้ยวเสี้ยวกระดกปากเล็ก ๆ ขึ้น คลอเคลียอยู่ในอ้อมอกของฉินยี สีหน้าน้อยอกน้อยใจ

“เจ้าเด็กอกตัญญูนี่ นึกไม่ถึงว่าจะยังติดต่อกับไอ้สวะนั่นอีก!” โจวยู่ชุ่ยมีสีหน้าโมโห

“แม่คะ ไม่แน่ว่าข้างบนนั่นอาจจะเป็นพี่สาวกับพี่เขยนะคะ!” ฉินยีชี้ไปที่ชั้นบนสุดแล้วพูด

ตอนนี้เองที่ข้างกายก็มีเสียงหัวเราะเยียบเย็นส่งมา “ไอ้สวะนั่น กลัวว่าแค่ดอกไม้ดอกเดียวก็จะซื้อไม่ได้ล่ะมั้ง?”

จากนั้นก็มีคนพูดถากถางอีก “การมองดูงานครบรอบที่ฟุ่มเฟือยของคนอื่น เกรงว่าจะทำให้พี่สาวของเธอแอบอิจฉาอยู่ในมุมซอกหลืบน่ะสิ!”

คนตระกูลฉินกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา

“อย่างไรพวกเราก็เป็นแขกผู้มีเกียรติแถวหน้าสุด ยังไงก็ดีกว่าพวกหมาเฝ้าประตูที่นั่งอยู่ท้ายสุดล่ะนะ” ฉินยีค่อนข้างมุ่งมั่น

“แกว่าใครเป็นหมาเฝ้าประตูนะ?” ฉินเฟยระเบิดโมโหทันที ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ยกมือขึ้นมาจะตบฉินยี

โจวยู่ชุ่ยปกป้องฉินยีไว้ข้างหลัง “แกลองกล้าทำอะไรลูกสาวฉันดูสิ? เธอเป็นถึงคนที่กำลังจะแต่งเข้าตระกูลซูที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งเลยนะ”

“อย่ามาโม้เลย ไม่มีตระกูลฉิน พวกแกนับเป็นอะไรไม่ได้ทั้งนั้นแหละ” ฉินเฟยสีหน้าจองหอง

ในตอนนี้เอง พวกผู้ชายวัยรุ่นที่ก่อนหน้านี้มารับฉินยีก็ปรากฏตัวทันที พูดด้วยท่าทีเคารพนบนอบว่า “คุณหนูฉินครับ พิธีการยังไม่จบ ท่านประธานซูกลัวว่าพวกคุณจะเหนื่อย เลยเหมาร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามไว้ให้โดยเฉพาะ สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของที่นี่ได้ครับ”

ฉินยีกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ โจวยู่ชุ่ยก็แย่งพูดขึ้นก่อน “ครอบครัวที่จะดองกันคิดได้รอบคอบจริง ๆ ถ้างั้นก็เอาตามนี้แล้วกันนะ”

ว่าแล้วยังมองนายท่านฉินอย่างหยอกล้อ แล้วจากไปท่ามกลางสายตาอิจฉาของทุกคน

และในตอนนี้เอง ฉินซีเพิ่งจะถึงชั้นบนสุด ประตูลิฟต์เปิดออก ก็ถูกฉากด้านหน้าทำให้ตะลึงงัน

พื้นที่กว้างอะไรอย่างนี้ นึกไม่ถึงว่านอกจากรอบด้านและโดมแล้วทุกอย่างล้วนแต่มีกระจกเป็นองค์ประกอบ มองออกไปยังสามารถมองเห็นทัศนียภาพยามค่ำคืนของทั้งเจียงโจว แต่สิ่งที่ทำให้เธอชอบมากที่สุดก็คือแค่เงยหน้าขึ้นก็สามารถมองเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า ราวกับว่าแค่ยกมือขึ้นมาก็จะสามารถสัมผัสดวงดาวที่ระยิบระยับนั้นได้

ในตอนนี้ บนพื้นปูได้ด้วยกลีบดอกกุหลาบหนา ๆ หนึ่งชั้น ด้านหน้าของบานหน้าต่างที่อยู่ตรงหน้าของเธอมีเงาร่างหนึ่งที่สวมเครื่องแบบทหารยืนอยู่ เขาในเวลานี้ยืนเอามือไพล่หลังเหม่อมองทัศนียภาพยามค่ำคืนของเจียงโจว

เงาร่างนี้ ทำให้ฉินซีมีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างแรงกล้าในฉับพลัน

ส่วนสูง รูปร่าง ท่ายืนล้วนเหมือนกับคนคนนั้นไม่มีผิด สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก็คือเครื่องแต่งกาย

เดิมทีวันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของเธอกับหยางเฉิน เรื่องที่สองที่พิธีกรพูดเหมือนกับเรื่องของพวกเขาทุกประการ หรือว่า…

ลมหายใจของฉินซีถี่กระชั้นขึ้นมาเป็นอย่างมากในทันที

ในตอนนี้เอง เงาที่ยืนเอามือไพล่หลังนั่นหมุนตัวกลับมาในที่สุด

เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนั่น ฉินซีก็มองอย่างใจลอยอย่างถึงที่สุด

นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเขาจริง ๆ!

เขาในตอนนี้สวมชุดเครื่องแบบทหารสีเขียว บนศีรษะมีหมวกตราประจำชาติ เท้าสวมรองเท้าคอมแบท บนหน้าอกห้อยเครื่องราชอิสริยาภรณ์ส่องแสงสีทองแวววาวอยู่เต็ม เขาเดินเข้ามาทีละก้าว ๆ จนมาถึงด้านหน้าของเธอ

“เป็นนายจริง ๆ!” สองตาของฉินซีแดงก่ำ น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย

หยางเฉินพยักหน้า สีหน้าจริงจัง “ห้าปีมานี้ เป็นเพราะฉัน เธอถึงได้รับความไม่เป็นธรรมมามากมายเหลือเกิน แบกรับข่าวลือมามากเหลือเกิน ตอนนี้ฉันขอให้สัญญาด้วยเกียรติของเครื่องแบบทหารนี้ จากวันนี้ไปฉันจะไม่ให้เธอได้รับความเจ็บปวดอีกแม้แต่น้อย!”

“ตุบ!”

สิ้นเสียง หยางเฉินคุกเข่าลงข้างหนึ่งบนพื้นอย่างแข็งแรง ในมือปรากฏแหวนเพชรที่ส่องแสงสว่างวาบสีชมพูหนึ่งวงออกมา ก็คือแหวนดวงดาวชมพูมูลค่าห้าร้อยล้านที่ฉินซีเพิ่งจะเห็นเมื่อครู่ในห้องโถงที่จัดงานเลี้ยง

“ฉินซี ฉันรักเธอ เธอยินดีจะแต่งงานกับฉันไหม?” หยางเฉินเอ่ยถามอย่างเต็มไปด้วยความจริงใจ

ในตอนนี้เอง เสียงดนตรีรื่นหูก็ดังขึ้น เปิดมาจากเฮลิคอปเตอร์หลายลำที่บินวนเวียนอยู่รอบโรงแรมสตาร์ไลท์ ทันใดนั้นกลีบดอกกุหลาบก็โปรยปรายอยู่เต็มท้องฟ้า

ลอยลงมาจากโดมราวกับน้ำตกดอกกุหลาบ กลีบดอกกุหลาบไหลลงมาปกคลุมทั้งตึกของโรงแรมในชั่วพริบตา

เสียงพลุดังขึ้นมากะทันหัน วินาทีต่อมา ดอกไม้ไฟหลากหลายสีสันผลิบานอยู่เต็มท้องฟ้าต่อเนื่องยาวนาน

ฉินซีมองผู้ชายที่คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าไร้จิตวิญญาณ แต่บนใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาตั้งนานแล้ว

The King of War

The King of War

ห้าปีก่อน หยางเฉินเพื่อให้ตัวเองคู่ควรกับฉินซี เขาจากไปโดยไม่ร่ำลา ห้าปีต่อมา เขาพกความสามารถอันน่าทึ่ง กลับมาอย่างรุ่งโรจน์ เพียงแต่ว่าพอมาถึง กลับพบว่าตนมีลูกสาวเพิ่มขึ้นมาอีกคน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset