สองพี่น้องฉินซีกับฉินยีเอาแต่เฝ้าอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน น้ำตาของทั้งคู่นั้นร้องจนแห้งเหือดไปนานแล้ว ตอนนี้ต่างก็ดวงตาแดงก่ำ สีหน้าร้อนรน
สิ่งที่ทำให้หยางเฉินแปลกใจคือ โจวยู่ชุ่ยที่ไม่ค่อยชอบหน้าฉินต้าหย่งเท่าไหร่นัก กลับมีสีหน้าที่ดูกังวล
และสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ โจวยู่ชุ่ยนั้นกลัวว่าฉินต้าหย่งจะถูกช่วยชีวิตไว้ได้ ฉินต้าหย่งนั้นเกิดเรื่องตอนห้าโมงเย็นของวันนั้น จนเจ็ดโมงเช้าของอีกวันถึงถูกเข็นออกจากห้องฉุกเฉิน
“พ่อคะ!”
พอเห็นฉินต้าหย่งที่มีเครื่องมือมากมายเสียบอยู่ตามตัว สองพี่น้องก็ร้องไห้ออกมาทันที
โชคดี ที่เขายังมีชีวิตอยู่
แต่สีหน้าของโจวยู่ชุ่ยนั้นกลับทำหน้าไม่ถูกด้วยความร้อนรน
“คุณหมอคะ พ่อของฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”
ฉินซีจับมือของหมอไว้ แล้วถามไปด้วยความตื่นเต้น
“ตอนนี้เข้าพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่สมองก็ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก บางทีชีวิตของเขาต่อจากนี้ อาจจะเป็นแบบนี้ไปตลอดก็ได้ครับ!” หมอพูดออกมาด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด
สำหรับคนที่เป็นหมอแล้ว การต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ในใจของพวกเขานั้นต้องรู้สึกแย่เป็นอย่างมาก
“หมายความว่ายังไงคะ?”
ฉินซีทำหน้าค่อนข้างช็อก น้ำตาของเธอทะลักออกมาราวกับน้ำป่าที่ไหลเชี่ยว จนมันเต็มหน้าไปหมด
ฉินยีเองก็ไม่ต่างกัน
ส่วนโจวยู่ชุ่ยที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ เธอจึงตะคอกออกไปเสียงดังว่า “คุณพูดให้มันชัดเจนหน่อยได้มั้ย ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“อาการของคนไข้นั้นสาหัสมาก นอกจากพวกการตอบสนองของระบบประสาทบางอย่างกับระบบการเผาผลาญการย่อยสลายและการขับถ่ายแล้ว การตอบสนองต่อการรับรู้ของเขาก็ได้สูญเสียไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว โดยเขานั้นไม่สามารถช่วยเหลืออะไรตัวเองได้เลยครับ”
หมอนั้นได้ใช้ความเข้าใจของหมออธิบายไปก่อนรอบหนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อว่า “พูดง่ายๆ ก็คือ เจ้าชายนิทราครับ! หลังจากนี้คนไข้จะสามารถฟื้นได้รึเปล่านั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเขาเองแล้วครับ”
ตุบ!
คำพูดเหล่านี้ของหมอ เป็นเหมือนกับฟ้าผ่า ที่ดังขึ้นในหัวของฉินซีและฉินยี น้ำตาของสองพี่น้องนั้นเอ่อล้นออกมาทันที
หยางเฉินเองก็อึ้งไปเหมือนกัน ดวงตาที่แดงก่ำจ้องมองไปยังใบหน้าที่คุ้นเคยนั่น ในใจเกิดความเจ็บปวดที่ไม่สามารถพูดออกมาได้
สำหรับคนที่ไม่เคยได้รับความรักจากพ่อมาตั้งแต่เด็กอย่างหยางเฉินนั้น ฉินต้าหย่งนั้นก็คือพ่อของเขา
ตอนนี้ หมอกลับบอกว่า ฉินต้าหย่งได้กลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้ว
ฉินซีนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่า สองตาเหลือกขึ้นข้างบน แล้วหมดสติไป
“พี่คะ!”
ฉินยีร้องไห้ตะโกนออกมา แล้วรีบเข้าไปประคองฉินซีเอาไว้
ตอนที่ฉินซีฟื้นขึ้นมานั้น มันก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
เพียงแต่หลังจากที่เธอตื่นขึ้นมา ก็ไม่ยอมพูดอะไรเลย เอาแต่นอนเงียบอยู่บนเตียง จ้องมองไปยังเพดานด้วยใบหน้าที่ล่องลอย
ฉินยีนั่งอยู่ตรงข้ามเตียงขอฉินต้าหย่ง ไม่พูดไม่จา เครื่องสำอางบนหน้านั้นได้เลอะจากน้ำตาไปนานแล้ว
โจวยู่ชุ่ยเองก็กำลังร้องไห้ไม่ยอมหยุด “ต่อไปจะให้ฉันอยู่ยังไง? ต้าหย่ง คุณรีบฟื้นขึ้นมาได้มั้ย?”
ทั่วทั้งห้องนั้น ตกอยู่ในบรรยากาศที่แสนเจ็บปวด
หยางเฉินเดินออกจากห้อง แล้วกดโทรออกไป
ไม่นาน น้ำเสียงที่หยอกล้อก็ดังขึ้น “พี่เฉิน มีเรื่องอะไรจะรบกวนฉันอีกแล้วใช่มั้ยค่ะ?”
“พี่อ้าย ตอนเย็นของเมื่อวานพ่อตาของผมถูกรถชนครับ เพิ่งถูกเอาตัวออกมาจากห้องฉุกเฉิน หมอบอกว่า จากการวินิจฉัยเบื้องต้น เขาได้กลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้วครับ”
หยางเฉินไม่มีอารมณ์ล้อเล่น เขาพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
พอได้ยินแบบนั้น อ้ายหลินก็รีบเก็บอารมณ์ขันเข้าไปทันที แล้วพูดไปว่า “ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ระหว่างภารกิจการช่วยเหลือทางการแพทย์ระหว่างประเทศ ตอนนี้จึงยังกลับไปไม่ได้ คุณช่วยบอกอาการของคนไข้ให้ฉันอย่างละเอียดที”
“พี่อ้าย รบกวนพี่หน่อยนะครับ!” น้ำเสียงของหยางเฉินนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยการขอร้องอย่างจริงใจ
ในความทรงจำของอ้ายหลิงนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่หยางเฉินขอร้องคนอื่นเลย เธอต้องเข้าใจอยู่แล้วว่ามันหมายถึงอะไร เธอจึงรีบพูดไปว่า “พี่เฉิน พี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ต่อให้พ่อตาของคุณกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้วจริงๆ มันก็ใช่ว่าจะหมดหวังไปเลยซะหน่อย”
ถึงแม้อ้ายหลินจะมีอายุมากกว่าหยางเฉินหลายปี แต่ด้วยฐานะของหยางเฉิน อ้ายหลินจึงเรียกเขาว่าพี่เฉินมาโดยตลอด
หยางเฉินพยักหน้าเบาๆ “ขอบคุณครับพี่อ้าย ผมจะไปขอรายงานสรุปผลการตรวจกับหมอเดี๋ยวนี้เลย แล้วจะส่งให้พี่ทางเมลนะครับ”
“ตกลง!”
หลังจากที่วางสาย หยางเฉินก็รีบไปขอรายงานสรุปผลการตรวจทันที จากนั้นก็ส่งมันให้อ้ายหลิน
การที่ตอนนั้นอ้ายหลินได้ถูกส่งไปที่ชายแดนเหนือ รับหน้าที่รักษาให้เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสนามรบ นั้นก็เพียงพอที่จะการันตีได้แล้วว่าฝีมือในการรักษาของเธอนั้นมีมากแค่ไหน
หลังจากที่หยางเฉินส่งรายงานสรุปผลการตรวจให้อ้ายหลินแล้ว ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เขาก็ได้รับสายจากอ้ายหลิน “พี่เฉินคะ รายงานสรุปผลการตรวจนั้นฉันได้อ่านดูแล้ว ถ้าอธิบายอย่างละเอียดคุณก็คงไม่เข้าใจ พูดง่ายๆ ก็คือสถานการณ์ของเขาไม่ถือว่าหนักหนามาก มีหวังอย่างมากที่เขาจะมีโอกาสพื้นขึ้นมาได้ค่ะ”
“ดีมากๆ เลยครับ!”
เมื่อได้รับข่าวดีนี้ หยางเฉินก็ตะโกนออกมาด้วยความดีใจ พอเห็นคนที่ผ่านไปผ่านมากำลังมองมาที่เขา เขาจึงเก็บอาการเอาไว้
อ้ายหลินพูดไปยิ้มไปว่า “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ในอีกหนึ่งอาทิตย์ ภารกิจของฉันก็จะเสร็จสิ้น พอกลับประเทศ ฉันจะไปที่เมืองเจียงโจวทันทีเลย และถือโอกาสไปดูโรคโลหิตมีสารของปัสสาวะและทำให้เกิดภาวะเป็นพิษขึ้นได้ที่คุณพูดไว้คราวก่อน”
พอได้ยินคำพูดของอ้ายหลิน ในที่สุดหยางเฉินก็รู้สึกโล่งอกได้สักที
ความมั่นใจที่เขามีต่อฝีมือในการรักษาของอ้ายหลินนั้นเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ต่อให้เป็นในจิ่วโจว คนที่มีฝีมือทางการแพทย์เหนือไปกว่าเธอนั้น หยางเฉินยังไม่เคยเจอมาก่อนเลย
เพียงแต่ว่า ตอนนี้อาการของฉินต้าหย่งนั้นหนักสาหัสมาก ก่อนที่จะได้รับการวินิจฉัยจากอ้ายหลิน หยางเฉินก็ยังไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับฉินซีและฉินยี
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปสามวันแล้ว
สัญญาณชีพต่างๆ ของฉินต้าหย่งนั้นค่อนข้างคงที่ แค่เขายังคงนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่เหมือนเดิมเท่านั้น
สามวันมานี้ ฉินซีกับฉินยีได้ผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้าฉินต้าหย่งที่โรงพยาบาล เอาแต่พูดคุยกับฉินต้าหย่งเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต
ในวันนี้ หลังจากที่ฉินซีเพิ่งเปลี่ยนตัวกับฉินยี โจวยู่ชุ่ยก็ได้พูดขึ้นว่า “นี่เสี่ยวซี เมื่อเช้าฉันก็คุยกับเสี่ยวยีไปแล้ว ว่างานของพวกแกก็ยุ่งมาก ทุกวันยังต้องใช้เวลาอีกครึ่งวันในการเฝ้าพ่อของพวกแก มันคงกระทบกับงานน่าดูเลย”
“สภาพของพ่อแกตอนนี้ ไม่มีใครรู้ ว่าเขายังจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้อีกมั้ย พวกแกจะเอาแต่ทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้จริงมั้ย?”
“หลังจากนี้ พวกแกก็กลับไปทำงานอย่างสบายใจเถอะ ทางพ่อของแกยังมีฉันอยู่ พอพวกแกเลิกงานแล้ว ค่อยเปลี่ยนกันมาเยี่ยมพ่อแกทุกวันก็ได้ อีกอย่างที่บ้านยังมีเสี้ยวเสี้ยวต้องให้ดูแลอีกคนนะ”
โจวยู่ชุ่ยจับมือของฉินซีไว้ พูดด้วยน้ำเสียงที่แสนอบอุ่น พูดไปพูดมา น้ำตาก็ได้เอ่อล้นออกมาเต็มหน้า
หลายวันมานี้ โจวยู่ชุ่ยเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เอาแต่เฝ้าอยู่ที่ข้างเตียงของฉินต้าหย่ง เป็นห่วงเป็นใยฉินซีและฉินยีมาก ราวกับเป็นแม่ที่แสนดีคนหนึ่ง
“แม่คะ ขอบคุณมากเลยนะคะ! ขอบคุณที่แม่ยอมคิดเพื่อพวกเราได้มากขนาดนี้” ฉินซีพูดพร้อมกับร้องไห้ ด้วยความรู้สึกที่ซาบซึ้งอยู่เต็มอก
โจวยู่ชุ่ยยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้ฉินซี แล้วพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินว่า “เด็กโง่ แกเป็นลูกของฉัน การที่ฉันทำแบบนี้มันก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว จะมาพูดขอบคุณฉันทำไม?”
“แม่คะ!”
ฉินซีไม่อาจอดกลั้นความเจ็บปวดที่อยู่ในใจได้อีกแล้ว เธอกอดโจวยู่ชุ่ยแล้วร้องไห้ฟูมฟายออกมา
หลายวันที่ผ่านมา หัวใจของเธอนั้นต้องบอบช้ำอย่างมาก ตอนนี้การที่โจวยู่ชุ่ยพูดมาแบบนั้น มันก็ทำให้เธอรู้สึกว่าอยากจะระบายความทุกข์ทั้งหมดที่พบเจอในหลายวันนี้ออกมาให้หมด
แต่ว่า สิ่งที่เธอมองไม่เห็นก็คือ ดวงตาของโจวยู่ชุ่ยที่กำลังกอดเธออยู่นั้นเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
ภายใต้การเกลี้ยกล่อมที่ “หวังดี” ของโจวยู่ชุ่ย ในที่สุดฉินซีและฉินยีก็ยอมใจอ่อน จนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ทุกวันหลังจากที่เลิกงานแล้ว ทั้งคู่ก็ผลัดเปลี่ยนกันมาที่โรงพยาบาล ส่วนอีกคนก็คอยดูแลเสี้ยวเสี้ยวอยู่ที่บ้าน
ส่วนหยางเฉินนั้น ก็เอาแต่สืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉินต้าหย่งอยู่ทุกวัน
กวนเจิ้งซานได้ตรวจสอบเรื่องของคนก่อเหตุได้อย่างละเอียดยิบแล้ว แต่ก็ไม่เจอเบาะแสอะไรเลย
ดูเหมือนมันจะเป็นแค่อุบัติเหตุจริงๆ
ในวันที่ห้าหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับฉินต้าหย่ง หยางเฉินก็ได้รับสายที่โทรมาจากกวนเจิ้งซาน “คุณหยางครับเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อตาของคุณ มีเบาะแสแล้วครับ!”
“ผมตามหาภรรยาของหูฉาวเจอแล้วครับ!”
หูฉาวก็คือคนร้ายที่ขับรถ วันที่เกิดเรื่อง กวนเจิ้งซานก็สืบหาข้อมูลทุกอย่างของหูฉาวได้แล้ว แต่ภรรยาของหูฉาวก็ได้หายตัวไปในวันนั้นทันที
“คุณมารับผมที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ปตอนนี้เลย!” หยางเฉินพูด
“คุณหยางครับ ผมไปเอาตัวภรรยาของหูฉาวมาเลยจะดีกว่านะครับ” กวนเจิ้งซานบอก
“เรื่องนี้ ผมต้องการจัดการด้วยตนเอง!” หยางเฉินพูดโดยไม่ยอมให้ใครเข้ามาแทรกแซง
กวนเจิ้งซานไม่กล้าเกลี้ยกล่อมอะไรอีก และรีบพูดไปว่า “ครับ ผมจะไปรับคุณตอนนี้เลยครับ!”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง เมอร์เซเดส เบนซ์ จี คลาสคันดำก็ได้มาจอดอยู่ที่หน้าเยี่ยนเฉินกรุ๊ป
กวนเจิ้งซานมารับหยางเฉินถึงหน้าประตูด้วยตนเอง รถพุ่งตรงไปยังสถานที่ที่ชื่อว่าหมู่บ้านถู่เหลียงในเขตของเมืองเจียงโจว