นาทีที่เจ้าหน้าที่ปรากฏตัว ทุกคนก็อึ้งกันหมด
โดยเฉพาะตอนที่พวกเขาพูดว่าผู้บริหารระดับสูงบางคนของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปต้องเข้ารับการสอบสวนนั้น เหล่าคนที่อยู่ด้านหลังหยูเหวินหวูตัวสั่นกันอย่างอดไม่ได้
หยูเหวินหวูก็ขมวดคิ้วเป็นปม ใบหน้าไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใดๆนั้นก็ปรากฏความกลัดกลุ้มในที่สุด
โดยเฉพาะลั่วปิง ที่ตอนนี้ทึ่งไปเล็กน้อย
เขาแค่ตบตาเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาสอบสวนเรื่องนี้จริงๆ
หรือว่า หยางเฉินเป็นคนทำ?
คิดมาถึงตรงนี้ ลั่วปิงหันไปมองหยางเฉินตามสัญชาตญาณ ก็เห็นหยางเฉินนั่งไถโทรศัพท์อยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ
แสงเยือกเย็นเปล่งประกายอยู่ในสายตาของหยูเหวินหวู เขากวาดสายตาผ่านหยางเฉินโดยไม่ให้ใครรู้ตัว
เจ้าหน้าที่ที่เป็นหัวหน้าอ่านไปสิบกว่าชื่อถึงเป็นอันสิ้นสุด ที่ทุกคนตะลึงคือคนที่มีชื่อล้วนเป็นผู้บริหารระดับสูงที่ไม่มาเข้าร่วมการประชุม
และก็คือเหล่าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังหยูเหวินหวูในตอนนี้
“บัญชีธนาคารของพวกคุณถูกอายัติหมดแล้วคับ และทรัพย์สินในนามของพวกคุณไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือรถล้วนถูกศาลสั่งให้ยึดมาหมดแล้ว”
“ตอนนี้พวกคุณต้องมากับพวกเรา เข้ารับการสืบสวน!”
เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกล่าวอย่างเย็นชา ไม่มีอารมณ์ใดๆแสดงอยู่บนใบหน้า
ผู้บริหารระดับสูงเหล่านั้นที่มีชื่อหน้าซีดกันหมด อ่อนแรงไปทั้งตัว
จากนั้น ก็มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในเครื่องแบบอีกกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามาในห้องประชุม และนำตัวเหล่าผู้บริหารระดับสูงไปทั้งหมด
“ขออนุญาตนะครับ!”
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ หัวหน้าของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็พยักหน้าเล็กน้อยใส่ทิศทางที่ลั่วปิงอยู่พร้อมกล่าว สายตาแฝงไว้ด้วยความเคารพนับถือ
พูดจบเขาก็พาคนของเขาออกไปทันที
ลั่วปิงมีสีหน้ามึนงง เมื่อกี้หัวหน้าของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทักทายตัวเองหรอ?
แต่ ต่อให้ทักทายตัวเองแล้วทำไมสายตาของเขาถึงแฝงความเคารพนับถือไว้ด้วยล่ะ?
ทันใดนั้น ลั่วปิงก็คิดอะไรขึ้นได้ เขามีสีหน้าทึ่งขึ้นมาทันที
เขาไม่รู้จักหัวหน้าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องคนเมื่อกี้เลยสักนิด และด้วยฐานะของตัวเอง หัวหน้าของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ไม่จำเป็นต้องทักทายเขาด้วย
มีเพียงความเป็นไปได้เดียว หัวหน้าของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทักทายหยางเฉินที่อยู่ข้างๆเขา ความนอบน้อมที่แสดงออกมาก็เป็นเพราะหยางเฉิน
คิดมาถึงตรงนี้ ลั่วปิงก็ยิ่งทึ่งเข้าไปใหญ่
ชั่วขณะหนึ่ง ห้องประชุมขนาดใหญ่นี้กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
ด้านหลังของหยูเหวินหวูไม่เหลือใคร สีหน้าของเขาย่ำแย่อย่างมาก
เดิมทีเขาวางแผนว่าจะพาคนมาข่มหยางเฉิน แต่คิดไม่ถึงว่านอกจากจะไม่ด้ข่มแล้ว ยังเสียคนของตัวเองไปทั้งหมด
ผู้บริหารระดับสูงพวกนั้นนิสัยเป็นยังไงเขารู้ดียิ่งกว่าใคร ถูกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนำตัวไปครั้งนี้เกรงว่าจะโดนความผิดแล้วจริงๆ ไม่มีหวังที่จะได้ออกมาอีกแล้ว
หรือก็คือ กรุ๊ปเยี่ยนเฉินหลังจากนี้จะหลุดออกจากการควบคุมของเขาโดยสิ้นเชิงใช่มั้ย?
คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็หงุดหงิดสุดๆ แต่ในฐานะทายาทผู้สืบทอดของตระกูลอวี๋เหวิน เวลาแบบนี้จะต้องใจเย็น
เมื่อคนเราอยู่ในอารมณ์โกรธ ก็มักจะทำผิดพลาด
หยูเหวินหวูพูดประโยคนี้ในใจซ้ำๆ
“ประธานลั่ว ไว้เจอกัน!”
หยูเหวินหวูจ้องลั่วปิงและพูดด้วยรอยยิ้ม
พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไป
พอรู้ว่าหยูเหวินหวูไปแล้ว ลั่วปิงถึงรู้สึกปลดเปลื้องภาระหนักอึ้งได้ แต่ความกดดันที่หยูเหวินหวูมีต่อเขานั้นไม่ลดลงเลยสักนิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคที่เขาพูดก่อนไปว่า “ไว้เจอกัน” เป็นการบอกเขาอย่างชัดเจนว่าเรื่องนี้ไม่จบแค่นี้แน่
“เลิกประชุม!”
ลั่วปิงประกาศเลิกประชุมทันที
หลังจากที่พาหยางเฉินกลับไปยังห้องทำงานผู้จัดการใหญ่แล้ว ลั่วปิงนั่งตุ้บลงบนเก้าอี้ทำงาน หอบหายใจยกใหญ่
นาทีที่หยูเหวินหวูปรากฏตัว เขาก็แสร้งทำเป็นเยือกเย็นไปเท่านั้น บัดนี้กลับมาถึงห้องทำงาน เขาถึงสบายใจได้จริงๆ
พักใหญ่กว่าเขาจะได้สติ และมองหยางเฉินอย่างรู้สึกผิดพร้อมเอ่ย “ท่านประธานครับ ทำให้คุณต้องผิดหวังแล้ว”
หยางเฉินส่ายหัว ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “นายทนต่อแรงกดดันของหยูเหวินหวูได้และปะทะซึ่งๆหน้า เท่านี้ก็เกินความคาดหมายของฉันแล้ว อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องออกหน้า ฉันพอใจมากแล้ว”
ลั่วปิงยิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าไม่ใช่เพราะท่านประธานเตรียมการไว้แล้ว ผมกลัวว่าผมคงไม่สามารถต่อกรกับหยูเหวินหวูได้จริงๆ”
หยางเฉินยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เป็นที่ชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องพวกนั้นเป็นกองกำลังเสริมที่เขาเตรียมไว้
ก่อนหน้านี้ตอนที่บีบให้ซ่งซวี่หยาง รองผู้จัดการใหญ่ของกรุ๊ปออกไป หยางเฉินก็สั่งให้หม่าชาวไปจับตาดูไว้แล้ว
ซ่งซวี่หยางในฐานะรองผู้จัดการใหญ่ของกรุ๊ป เขาต่างหากที่เป็นบุคคลที่ติดต่อโดยตรงกับตระกูลอวี๋เหวิน และแลกเปลี่ยนผลประโยชน์
หลักฐานที่อยู่ในมือของเขาพอที่จะรวบผู้บริหารระดับสูงของกรุ๊ปที่เป็นพรรคพวกของหยูเหวินหวูให้หมด
ภายใต้การข่มขู่ของหม่าชาว ซ่งซวี่หยางต้านทานอะไรไม่ได้เลยสักนิด เขาตามหม่าชาวไปมอบตัวแต่โดยดี และมอบหลักฐานของการกระทำความผิดของผู้บริหารระดับสูงเหล่านั้นให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จากนั้นจึงมีภาพเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ที่มาจับตัวคนในห้องประชุม
ขณะเดียวกัน รถเบนท์ลีย์สีดำหน้าประตูเยี่ยนเฉินกรุ๊ปคันหนึ่งขับออกไปช้าๆ
ด้านหลังรถเบนท์ลีย์ มีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ ใบหน้าบิดเบี้ยวสุดๆ
“ไอ้ชั่ว! บังอาจส่งคนของฉันเข้าคุกทั้งหมด นายเป็นคนแรกที่กล้า น้องชายแสนดีของฉัน!”
หยูเหวินหวูพูดอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สายตาฉายแววอาฆาต
“คุณชายปิง ให้ผมลงมือมั้ยครับ?”
ขณะนั้น บอดี้การ์ดร่างกำยำคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนที่นั่งข้างคนขับกล่าวขึ้นเสียงเข้ม
หยูเหวินหวูเหลือบมองเขา สีหน้าค่อยๆกลับสู่ปกติ เขาจ้องบอดี้การ์ดพลางเอ่ย “เหยถ่า นายน่าจะรู้นะว่าการลงมือต้องแลกมาด้วยอะไร”
เมื่อได้ฟัง เหยถ่าก็พูดด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก “คุณชายปิงวางใจได้ครับ ผมรู้ดีว่าการลงมือต้องแลกด้วยอะไร ไม่ว่ายังไงในกายเขาก็มีสายเลือดของตระกูลอวี๋เหวินไหลเวียนอยู่ หากจะลงมือต้องกำจัดได้ในคราเดียว ไม่อย่างนั้นหากเรื่องนี้ถูกเปิดโปง จะทำให้คุณชายปิงต้องซวยไปด้วย”
“ในเมื่อนายรู้ ยังยืนกรานจะลงมืออยู่หรือไม่?” หยูเหวินหวูเอ่ยปากถาม
เซลล์ทั้งร่างของเหยถ่าพร้อมรบ เขาพูดด้วยสายตาแน่วแน่ “ยืนกรานแน่นอนครับ!”
“ดี ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นายก็เป็นคนลงมือแล้วกัน” สีหน้าของหยูเหวินหวูเริ่มโหดเหี้ยมขึ้น
“ผมสาบานว่าจะรับใช้คุณชายปิงด้วยชีวิต!”
เสียงดังก้องประหนึ่งฟ้าผ่าของเหยถ่าพลันดังขึ้น
ในฐานะทายาทตระกูลอวี๋เหวิน บอดี้การ์ดเคียงกายของเขาจะมีกำลังน่ากลัวขนาดไหนกัน
ไม่ใช่ว่าหยูเหวินหวูไม่อยากลงมือกับหยางเฉิน แต่หากเรื่องนี้ถูกเปิดโปงขึ้นมาจะเกิดผลลัพธ์อันร้ายแรง
อีกด้าน หยางเฉินออกจากเยี่ยนเฉินกรุ๊ปแล้ว
บัดนี้อุปสรรคในเยี่ยนเฉินกรุ๊ปถูกกำจัดออกไปอย่างหมดจดแล้ว แม้ว่าตอนนี้การก้าวหน้าจะชะงักงันลง แต่ชื่อเสียงของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปโด่งดังอยู่แล้ว และมีอัจฉริยะทางธุรกิจอย่างลั่วปิงอยู่ เชื่อว่าใช้เวลาไม่นานเยี่ยนเฉินกรุ๊ปก็กลับสู่จุดสูงสุดได้
หกโมงเย็น หยางเฉินได้รับโทรศัพท์จากหานเฟยเฟย นัดเขาออกมากินข้าวด้วยกัน
“พี่หยางคะ หนูมีข่าวดีจะบอก หนูสมัครงานสำเร็จแล้วค่ะ หลังจากนี้ก็ได้เป็นพนักงานของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปแล้ว!”
พอเห็นหยางเฉิน หานเฟยเฟยก็พูดอย่างตื่นเต้น