ณ เรือนจำประชาชนเมืองเจียงซี ที่ซึ่งคนร้ายที่โหดร้ายที่สุดถูกคุมขังอยู่
ห้อง 302!
นักโทษทุกคนในห้องต่างล้อมรอบชายฉกรรจ์หัวล้านและถามเขาว่า “พี่สาม เร็วเข้า เล่าเรื่องเกี่ยวกับเจ้านายคนนั้นที เมื่อตอนนั้นพี่ยังเล่าไม่จบเลย พวกเรายังรอที่จะรู้เรื่องของเขาเพิ่มอยู่นะ!”
“ใช่ พี่สาม เขานั้นแข็งแกร่งมากจริงหรือเปล่า ?”
“โอ้พระเจ้า! เจ้านายของหมาป่าคลั่ง เขาน่าเหลือเชื่อจริง ๆ!”
นักโทษเกือบทั้งหมดเป็นสมาชิกของกองกำลังผิดกฎหมายในเมืองเจียงซี ด้วยเหตุผลที่หลากหลายประการแตกต่างกันไป นั่นทำให้พวกเขาต้องถูกจำคุกอยู่ที่นี้
เห็นได้ชัดว่าชายหัวล้านเป็นหัวหน้าของห้องขังนี้
เมื่อมองไปรอบ ๆ และพบเห็นสายตาอยากรู้อยากเห็น ชายหัวล้านลูบหัวของเขา ขณะที่เขานั้นกำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ฉันไม่ได้จะคุยโวนะ! แต่เขานั้นเป็นเทพเจ้าอย่างแน่นอน!”
“เมื่อฉันไปที่บาร์กุหลาบราตรีพร้อมกับหมาป่าคลั่งและเตรียมตัวสำหรับการขยายอาณาเขตของเขา ซึ่งแม้แต่คิงไทเกอร์ ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทรงพลังที่สุดของโรส ก็ยังถูกจัดการโดยหมาป่าคลั่ง!”
“ในตอนนั้นเอง เจ้านายของป่าคลั่งคนนั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน!”
“ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แค่การโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นนะ เขาก็จัดการหมาป่าคลั่งลงไปกองกับพื้นได้! ในตอนนั้นหมาป่าคลั่งยังไม่แน่ใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น พวกเราทุกคนตรงนั้นตัวแข็งทื่อ! ในสายตาของพวกเรา เขาต้องเป็นเทพเจ้าอย่างแน่นอน!”
ชายหัวล้านเผยถึงความชื่นชมและศรัทธาอย่างลึกซึ้งในขณะที่เขาพูดต่อว่า “ต่อมาบอสเฟย ก็ถูกลักพาตัวไปโดยกงหวู่ เจ้านายคนนี้ก็นำหมาป่าคลั่งกับพวกเรา2 – 3 คนไปกับเขาด้วย ซึ่งพวกเราก็ไม่คาดคิดว่าพวกเรานั้นจะได้พบกับ อสรพิษหกดัชนีที่ทำงานให้กับตระกูลกง!”
‘อสรพิษหกดัชนี!‘
เมื่อพวกเขาได้ยินชื่อนั่น พวกนักโทษทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ เขาก็ตกตะลึงอย่างมาก
พวกเขารู้ว่าอสรพิษหกดัชนีเป็น 1 ใน 2 ผู้คุ้มกันส่วนตัวของกงหยุ่นเฟย
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ?”
นักโทษทั้งหมดในห้องขังจับจ้องไปที่ชายฉกรรจ์หัวล้าน เพราะพวกเขานั้นต้องการจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ชายฉกรรจ์หัวล้านเผยสีหน้าอ่านยากเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น
เพราะคืนนั้นเป็นคืนที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตของเขา!
“หลังจากนั้น! หมาป่าคลั่งก็เข้าต่อสู้กับอสรพิษหกดัชนี! แต่ตัวของอสรพิษหกดัชนีนั้นแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ เพียงแค่การโจมตีเดียวของเขา เขาก็เกือบจะฉีกร่างของหมาป่าคลั่งออกได้แล้ว! ในช่วงเวลาที่สำคัญนั้น เจ้านายของป่าคลั่งคนนั้นก็เข้ามาขวางไว้อีกครั้ง!”
“เพียงแค่การโจมตีเดียว! เขาสามารถชนะการต่อสู้ได้อีกครั้งด้วยการโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียว!”
ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ชายฉกรรจ์หัวล้านเล่าด้วยความตื่นเต้นและชื่นชมจากใจจริง ขณะที่เขาพูดต่อ “จากนั้นเขาก็เจาะทะลุร่างของ อสรพิษหกดัชนีด้วยฝ่ามือของเขา!”
…
หลังจากได้ยินคำพูดของเขา นักโทษคนอื่น ๆ ทั้งหมดในห้องขังก็ตกตะลึงและตื่นตระหนกอย่างมาก
‘เขาก็เจาะทะลุร่างของอสรพิษหกดัชนีด้วยฝ่ามือของเขา ? นี่มันช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว’
“ฉันก็คิดเหมือนกับพวกนาย! นี่มันโคตรน่าเหลือเชื่อ!”
ชายหัวล้านนั้นตอบพลางระลึกถึงเหตุการณ์นั้นในหัวของเขาอีกครั้ง “นับจากนั้นมา เจ้านายก็เป็นเหมือนเทพเจ้าของฉัน และเขาก็ยังเป็นเสมือนเทพเจ้าของหมาป่าคลั่งและเหล่าพี่น้องคนอื่น ๆ ด้วย! เขานั้น…”
ในขณะที่ชายฉกรรจ์หัวล้านกำลังอธิบายด้วยความตื่นเต้นอย่างมากทันใดนั้นก็มีคนเดินผ่านประตูห้องขังไป
ตอนแรกนั้น ชายหัวล้านไม่คิดที่จะสนใจคนที่เดินผ่านไป ทว่าหลังจากนั้นเพียงครู่เดียว ใบหน้าของเขาก็แข็งค้าง ขณะที่เขาตัวสั่นด้วยความประหลาดใจ
“เขานั้น…”
ชายหัวล้านติดใจอะไรบางอย่าง ขณะที่เขายืนขึ้นและตรวจสอบชายที่เพิ่งจะเดินผ่านไปคนนั้นอย่างพิจารณา
หลังจากนั้นเขาก็ตกใจอย่างมาก!
“เขานั้น…เขา! นั่นคือเขา!”
ชายหัวล้านเพ่งมองด้วยสีหน้าที่คาดไม่ถึง
ในขณะนั้นนักโทษคนอื่น ๆ ในห้องขังงงงวย พวกเขาถามชายฉกรรจ์หัวล้านด้วยความสับสน “พี่สาม! พี่กำลังจ้องมองอะไรอยู่ ? เขาก็เป็นแค่น้องใหม่!”
“ใช่แล้วเขาเป็นแค่น้องใหม่! บอกเราต่ออีกหน่อยเกี่ยวกับเจ้านายคนนั่น!”
ไม่มีนักโทษคนใดในห้องขังที่จะเหลือบมองชายที่เขามาใหม่คนนั้น
แต่หลังจากได้ยินคำพูดของพวก เขาชายหัวล้านเปิดเผยรอยยิ้ม ขณะที่เขาอธิบายว่า “ฉัน…ฉันอาจเพิ่งจะเห็นเขา!”
‘อะไรนะ!’
ทั้งห้องขังหมายเลข 302 ตกอยู่ในความอลเวง
ไม่เพียงแค่นั้น ความโกลาหลนี้ก็เกิดขึ้นในห้องขังอื่น ๆ
เย่เฟิงเป็นเหมือนก้อนหินที่ถูกโยนลงไปในทะเลสาบ เพราะเขานั้นทำให้ทั้งเรือนจำประชาชนเมืองเจียงซี เกิดความแตกตื่น
…
ในขณะเดียวกันนั้น!
เย่เฟิงก็ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปในห้องขังหมายเลข 316 ห้องขังนี้มีขนาดเล็กมาก และมีนักโทษใส่แว่นอยู่ในห้องนั้นเพียงแค่คนเดียว
นักโทษคนนี้ดูอ่อนโยนและขี้ขลาดเหมือนกับเขานั้นเป็นนักเขียนไม่ใช่พวกอันธพาล
เมื่อเย่เฟิงมองดูเขา นักโทษรีบยื่นมือออกมาแล้วพูดพร้อมกับยิ้มว่า “สวัสดีนะ ฉันชื่อเต๋าเล่ย!”
“เย่เฟิง!” เย่เฟิงตอบพร้อมกับยิ้ม ขณะที่เขานอนลงบนเตียงล่างของเตียงสองชั้น
ในเวลานั้นระฆังดังขึ้น
“เฟิง ถึงเวลาเดินไปหาของกินแล้ว! มาอยู่ด้วยกันเถอะ!” เต๋าเล่ยบอกเย่เฟิงด้วยรอยยิ้ม
หลังจากได้ยินคำพูดของเขาเย่เฟิงยักไหล่ จากนั้นเขาก็เดินตามเต๋าเล่ยออกจากห้องขัง
นักโทษคนอื่น ๆ ค่อย ๆ ทยอยเดินตามทั้งสองออกไป ขณะที่พวกเขาออกจากห้องขัง
เมื่อเต๋าเล่ยจับตามองกลุ่มคนที่ดูโหดร้ายที่เดินตามมานั้น เขาก็กระซิบกับเย่เฟิง “ฟังนะ มี 3 คนในคุกที่เราไม่สามารถทำให้พวกเขาไม่พอใจได้!”
“คนแรกคือชายหัวล้านที่ชื่อสาม! เขามักอารมณ์เสียอยู่บ่อย ๆ ! คนที่สองคือบลัดดี้ไนฟ์ เขาน่ากลัว ดุร้ายและเจ้าเล่ห์! คนที่สามคืออาเฉวียนเดอะไวเปอร์ผู้โหดร้าย!”
หลังจากบอกเย่เฟิงแล้ว เต๋าเล่ยพลางขมวดคิ้ว ขณะที่เขาพูดว่า “ฉันได้รับคำสั่งจากผู้ใต้บังคับบัญชาของ อาเฉวียนเดอะไวเปอร์ ว่าพวกเขานั้นกำลังจะจัดการกับน้องใหม่ที่เข้ามาในบ่ายของวันนี้ นั่นนายงั้นเหรอ ?”
‘จัดการกับน้องใหม่งั้นเหรอ’
เย่เฟิงก็ตกตะลึงในทันที จากนั้นเขาเปิดเผยรอยยิ้มกว้างแล้วตอบ “ลองเดาดูสิ!”
เต๋าเล่ยถึงกับพูดต่อไม่เป็นเลยทีเดียว
“เฟิง นายต้องดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นนายหรือไม่ก็ตาม! จำไว้ว่าถ้านายต้องการที่จะอยู่รอดในเรือนจำประชาชนเมืองเจียงซี นายไม่ควรไปมีปัญหากับคนสามคนนี้!”
เต๋าเล่ยยังคงพยายามเตือนเย่เฟิง
เย่เฟิงเพียงแค่พยักหน้าตอบอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
หลังจากได้รับอาหารของพวกเขาแล้ว เย่เฟิงและเต๋าเล่ย ก็หาที่นั่งเงียบ ๆ และเริ่มกินอาหาร
ทันใดนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็ยืนขึ้น
เมื่อมองดูพวกเขา เต๋าเล่ยก็รู้สึกว่าเปลือกตาของเขากำลังกระตุกอย่างแรง เขาพึมพำว่า “นั่น อาเฉวียนเดอะไวเปอร์!”
เมื่อเต๋าเล่ย เห็นอาเฉวียนเดอะไวเปอร์เดินมาที่มุมนี้ ใบหน้าของเขาก็ซีดลงทันที
“ไม่นะ พวกเขาจะต้องหาเรื่องกับนายแน่!”
เต๋าเล่ยลังเลมาก ราวกับว่าเขากลัวที่จะเกี่ยวข้องกับเย่เฟิง อย่างไรก็ตามเขาก็รู้สึกละอายใจหากเขาทิ้งเย่เฟิงไว้เพียงคนเดียว
ในขณะนั้น อาเฉวียนเดอะไวเปอร์ ได้เดินเข้ามาหาเย่เฟิงกับคนของเขา
ด้วยเสียงเพล้งที่ดังขึ้น อาเฉวียนเดอะไวเปอร์ หยิบจานอาหารของเย่เฟิงแล้วเขวี้ยงลงไปบนพื้นอย่างรุนแรง ขณะที่เขาแสยะยิ้มกว้าง และพูดด้วยน้ำเสียงที่โหดร้ายว่า “ไอ้หนู แกคือเย่เฟิงใช่ไหม ? แกชอบอาหารมื้อสุดท้ายของแกหรือเปล่า ? ”
หลังจากได้ยินคำพูดของเขา เย่เฟิงก็ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ ขณะดวงตาของเขาเป็นประกายเย็นชา แล้วตอบกลับว่า “ฉันชอบ! แต่ถ้าหากมีศพอยู่ด้วยสัก 2 – 3 ศพ มันคงจะสมบูรณ์แบบมาก!”
‘อะไรนะ!’
อาเฉวียนเดอะไวเปอร์ตกตะลึงในทันที
เขาไม่ได้คิดว่าเย่เฟิงจะเย้ยหยันเขาต่อหน้านักโทษคนอื่นแบบนี้
“ศพสัก 2 – 3 ศพ ? แกไม่กลัวเลยเหรอว่าแกกำลังจะต้องตาย”
อาเฉวียนเดอะไวเปอร์ถามด้วยรอยยิ้มที่โหดร้าย
ผู้ติดตาม 6-7 คน ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเขา แต่ละคนนั้นแสยะยิ้มอย่างโหดเหี้ยมราวกับว่า พวกเขากำลังมองคนที่ตายไปแล้ว
“แกต้องการอะไร ?” เย่เฟิงถามอย่างใจเย็นขณะที่เขาสบตากับของอาเฉวียนเดอะไวเปอร์ ด้วยรอยยิ้มขี้เล่น
หลังจากได้ยินคำพูดของเขา อาเฉวียนเดอะไวเปอร์ ตอบด้วยน้ำเสียงร้ายกาจว่า “ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก เราเพียงแค่ต้องการเจาะรูบนตัวของแกตามคำขอของใครบางคน!”
…
หลังจากได้ยินคำพูดของอาเฉวียนเดอะไวเปอร์ เต๋าเล่ยก็หวาดกลัวจนเกือบจะล้มลงไปกับพื้น
‘เจาะรูบนตัว!’
‘เขากำลังจะฆ่าเย่เฟิง!’
เต๋าเล่ยมองเย่เฟิงด้วยความสงสารอย่างยิ่ง
เขาไม่นึกว่าจะมีคนต้องการฆ่าเขา ในขณะที่เขานั้นเพิ่งจะเข้ามาในคุก
ทว่าในตอนนี้เย่เฟิงกลับยิ้มแล้วตอบกลับว่า “เจาะรูบนตัว ? ดี! ฉันจะรับคำแนะนำของแกไว้นะ!”
‘ว่าไงนะ!’
หลังจากได้ยินคำพูดของเย่เฟิงแล้ว อาเฉวียนเดอะไวเปอร์ และผู้ติดตามของเขาก็ตกตะลึงในทันที
ในขณะที่พวกเขากำลังพยายามที่จะเข้าใจคำพูดของเย่เฟิง ก็มีเสียงดังของอะไรบางอย่างมาจากตัวของอาเฉวียนเดอะไวเปอร์
ฉึก!
หลังจากนั้น อาเฉวียนเดอะไวเปอร์ก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก ที่บริเวณเอวและกระดูกซี่โครงของเขา!
ตัวเขานั้นแข็งทื่อไปในทันที
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับ พร้อมกับสายตาที่ไม่น่าเชื่อ ขณะเขาจ้องมองชายหัวล้านที่ เจาะทะลุเอวของเขาด้วยส้อม!
ในเวลาเดียวกัน เด็กหนุ่มคนหนึ่งแทงซี่โครงของเขาอย่างรุนแรงด้วยมีดเปื้อนเลือด!
ยิ่งกว่านั้นผู้ติดตามของเขาแต่ละคนก็เลือดท่วมไปทั้งตัว!
‘มัน…มันเป็นไปไม่ได้!’