หลังจากอาจารย์หลิงออกจากร้านอาหาร ทุกคนก็เริ่มสงบลงอย่างช้าๆ
ลูกค้าหลายคนยังคงขอลายเซ็นของเย่เฟิง และถ่ายรูปร่วมกับเขา
นั่นเป็นผลให้เย่เฟิงกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ของร้านอาหารไปโดยปริยาย
หลังจากที่เขาเห็นลูกค้ากลุ่มสุดท้ายที่ขอลายเซ็นของเขาเสร็จ เย่เฟิงก็ถอนหายใจเล็กน้อยออกมา
“ฮึ! มันเป็นแค่เปียโนมันไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร!” ลี่จือเชียงพูดอย่างรังเกียจ
เขาอิจฉาเย่เฟิงมากถึงมากที่สุด
ในสายตาของเขา เย่เฟิงเป็นเพียงคนโง่บ้านนอกที่ไม่รู้วิธีการกินสเต็กอย่างถูกต้อง ไม่สมควรที่จะได้รับการเคารพจากผู้อื่นแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามฝางยิ่งและฉินเสวียไม่สนใจคำพูดของลี่จือเชียง พวกเขาทั้งสองจ้องไปที่เย่เฟิงโดยตรง
“เย่เฟิง ฝางยิ่งบอกฉันว่าคุณสามารถแก้พิษของยุงปีศาจได้จริงหรือเปล่า ?” ฉินเสวียถามขณะที่เธอยังคงจับจ้องเย่เฟิงด้วยสายตาเป็นประกาย
ครั้งที่แล้วเมื่อ ฝางยิ่งโทรหาเธอและสอบถามเกี่ยวกับยุงปีศาจ ฉินเสวียจึงได้รู้ว่าเย่เฟิงสามารถล้างพิษของมัน ด้วยการตีลงบนก้นของฝางยิ่ง
ดังนั้นฉินเสวียจึงอยากรู้เกี่ยวกับวิธีการนั่น
ในฐานะผู้อำนวยการของโรงพยาบาลเฟิร์สพีเพิลของเมืองเจียงซี ฉินเสวียปวดใจอย่างมากจากหลาย ๆ เคสของผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากยุงปีศาจ และเมื่อเธอรู้ว่ามีวิธีการแก้พิษของยุงปีศาจ แน่นอนว่าเธอมีความสุขมาก
‘ยุงปีศาจ ?’
เย่เฟิงก็ชะงักไปเล็กน้อยขณะที่เขาสบตากับฉินเสวีย
ฝางยิ่ง กล่าวแทรกเข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “เย่เฟิง ฉินเสวีย เป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลเฟิร์สพีเพิลของเมืองเจียงซี และยังเป็นแพทย์ในสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดจากสหรัฐอเมริกา ! เมื่อเร็ว ๆ นี้มีคนหลายคนในเมืองเจียงซีเสียชีวิตจากยุงปีศาจ! ถ้าเธอมีทางออก ฉันหวังว่าเธอจะให้ความช่วยเหลือกับฉินเสวีย !”
หลังจากได้ยินคำพูดของฝางยิ่ง เย่เฟิงก็มองฉินเสวีย ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เนื่องจากเขาไม่คาดคิดว่าหญิงสาวผู้มีพรสวรรค์ที่มีฝีมือระดับ 10 ในการเล่นเปียโน จะยังเป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลอีกด้วย
หลังจากความเงียบสั้น ๆ เย่เฟิงก็หยิบน้ำมาแก้วหนึ่งจากข้างตัวของเขา และจุ่มนิ้วสองนิ้วไว้ในนั้น จากนั้นก็หมุนวนมันช้า ๆ
‘หืมม?’
ฉินเสวีย ฝางยิ่งและลี่จือเชียง แปลกใจกับการกระทำของเย่เฟิง เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าเขานั้นกำลังทำอะไรอยู่
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน สรุปว่าแกมีวิธีแก้พิษหรือเปล่า ? อย่ามาแกล้งทำเป็นเก่งที่นี่ ถ้าแกไม่มีวิธี พวกเราจะได้ไปหาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ที่แท้จริงคนอื่น!” ลี่จือเชียงพูดด้วยน้ำเสียงที่หยาบคาย
ทว่าเย่เฟิงเพียงแค่เพิกเฉยต่อลี่จือเชียง เขาไม่แม้แต่จะมองอีกฝ่ายเลยสักนิด
หลังจากกวนน้ำอยู่สักครู่หนึ่ง เย่เฟิงก็ผลักแก้วไปตรงหน้าฉินเสวีย
ฉินเสวียทั้งตกตะลึงและสับสน
“วิธีแก้พิษของยุงปีศาจอยู่ในแก้วนี้!”
คำพูดของเย่เฟิงนั้นทำให้ทั้งสามคนตกใจ
‘นี่เขาหมายถึงอะไร’
‘หลังจากเอานิ้วมือของแกจุ่มลงในแก้วน้ำ มันจะแก้พิษของยุงปีศาจได้เหรอ ?’
‘นั่นมัน…จะเหลือเชื่อไปแล้ว’
‘เป็นไปไม่ได้’
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ” ลี่จื่อเชียงหัวเราะจนแทบจะลงไปกลิ้งกับพื้น เขามองเย่เฟิงราวกับว่าเป็นคนโง่คนหนึ่ง
“ฉินเสวีย เห็นได้ชัดว่าไอ้เด็กเหลือขอคนนี้กำลังหลอกคุณ! การจุ่มนิ้วของแกลงในแก้วน้ำจะสามารถแก้พิษของยุงปีศาจได้เหรอ ? ฮ่า ฮ่า… นี่มันเป็นเรื่องตลกที่ขำที่สุดที่ฉันเคยได้ยินมาเลย!”
ลี่จื่อเชียงหัวเราะจนน้ำตาเกือบจะไหลออกมา
แม้แต่ฝางยิ่งและฉินเสวียก็ดูสับสนมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขานั้นไม่อยากเชื่อเรื่องนี้เลย
เย่เฟิงยักไหล่เบา ๆ ขณะที่เขาตัดบทและไม่ต้องการอธิบายอีกต่อไปว่า “ไม่ว่าจะยังไง วิธีแก้พิษก็อยู่ตรงหน้า คุณจะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของคุณ! ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัว!”
เย่เฟิงไม่ต้องการเสียเวลาของเขาที่นี่ต่อไป ดังนั้นเขายืนขึ้นมาทันทีและตั้งใจจะเดินออกไป
แต่ตอนนั้นลี่จือเชียงก็รีบหยุดเย่เฟิงไว้ ขณะที่เขาตะโกนว่า “เฮ้!”
‘หืมม?’
เย่เฟิงชะงักเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหันกลับมามองที่ลี่จือเชียง
ลี่จือเชียงพูดด้วยรอยยิ้ม “เย่เฟิง บริษัทนำเข้า-ส่งออก หงไห่ เป็นบริษัทขนาดใหญ่ในเมืองเจียงซี ในฐานะพนักงาน ฉันเหนื่อยมากเนื่องจากต้องทำงานหนักทุกวัน แต่เพราะความสามารถของแกในฐานะนักแสดงตลก ถ้าหากแกสามารถสร้างความบันเทิงให้กับพนักงานของเรา ฉันคิดว่าประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน! “
คำพูดของลี่จือเชียงเต็มไปด้วยการประชดและดูถูก
แม้ว่าเขาจะปฏิบัติตัวต่อเย่เฟิงราวกับตัวเขานั้นเป็นคนตลก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขานั้นกำลังยั่วยุเย่เฟิงอยู่
“นอกจากนี้ฉันสามารถจ่ายให้เงินให้แก 10,000 หยวนต่อเดือน! แต่หากแกต้องการมากกว่านี้ฉันก็สามารถเพิ่มได้อีก!” ลี่จือเชียงกล่าวด้วยท่าทางที่ตลกขบขัน ขณะที่เขาพูดต่อว่า “แกควรจะคิดให้ดี! หลาย ๆ คนไม่สามารถเข้าสู่ บริษัท นำเข้า-ส่งออก หงไห่ ได้แม้ว่าพวกเขาจะต้องการก็ตาม! นอกจากนี้บริษัทของเรายังมีความร่วมมือกันโดยตรงกับตระกูลไป๋อีกด้วยนะ! แกจะมีอนาคตที่ดีแน่นอน !”
‘ความร่วมมือกันโดยตรงกับตระกูลไป๋’
‘ลี่จือเชียงก็แค่ต้องการแสดงสถานะทางสังคมของเขาโดยการคุยโวเท่านั้น’
หลังจากได้ยินคำพูดของเขาแล้ว เย่เฟิงก็มองดูลี่จือเชียงราวกับว่าเขานั้นช่างเป็นคนที่โง่เง่า
ตอนนั้นเองเสียงกรีดร้องของล้อรถยนต์ที่ถูกเบรกกะทันหัน ดังลั่นไปทั่วร้านอาหาร เสียงนั้นดูเหมือนว่าพวกมันจะลอยเข้ามาจากนอกร้าน
พวกเขาเห็นรถที่จอดอยู่ด้านหน้า โรลส์-รอยซ์ แฟนธอม สามคันจอดอยู่ที่ด้านนอกประตูของร้านอาหาร
‘อะไรกัน?’
การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของรถลีมูซีนทั้งสามคัน ดึงดูดความสนใจของทุกคนในร้าน
พวกเขารู้ว่าคนที่สามารถเดินทางด้วยรถลีมูซีนนั้น จะต้องเป็นผู้มีอิทธิพลอันดับต้น ๆ ของเมืองเจียงซีอย่างแน่นอน
ภายใต้สายตาของทุกคนในร้านอาหาร ประตูของรถทั้งสามคันเปิดออก เมื่อชายหกคนในชุดเครื่องแบบสีดำสไตล์ตะวันตกก้าวออกมา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นผู้คุ้มกัน
จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็เคลื่อนที่มาที่ประตูด้านข้างของรถยนต์และรอให้บุคคลสำคัญก้าวลงมาและโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียง
ด้วยเสียงเปิดของประตู ชายคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบสีขาวซึ่งดูจากรูปร่าง เหมือนว่าเขาจะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาไม่น้อยได้ก้าวออกมาจากรถ
เค้าโครงหน้าสี่เหลี่ยม คิ้วที่คมเหมือนดาบและดวงตาที่คมเข้ม ผู้ชายคนนั้นดูมีภูมิฐานมาก
เมื่อเขาได้เห็นชายคนนั้นชัด ๆ ลี่จือเชียงก็ดูมีความสุขมาก ขณะที่เขาอุทานออกมาทันที “ฮ่า ฮ่า ฮ่า… นั่นมัน ไป๋เจิงกัว หัวหน้าตระกูลไป๋! ไม่แปลกใจเลยที่มันดูหรูหราอย่างมาก!”
เห็นได้ชัดว่า ลี่จือเชียงพยายามโอ้อวดความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลไป๋ หลังจากได้ยินคำพูดของเขาหลายคนในร้านอาหารก็มองมาที่เขาด้วยความชื่นชม
ตระกูลไป๋เป็นขุมกำลังยักษ์ใหญ่ในเมืองเจียงซี หากเขาสามารถทำความคุ้นเคยกับตระกูลไป๋ได้ เขานั้นต้องเป็นคนพิเศษแน่นอน
ลี่จือเชียงเหลือบมองเย่เฟิงพร้อมกับหัวเราะเยาะขณะที่เขาพูดว่า “เด็กเมื่อวานซืน อย่าคิดว่าแกเป็นคนพิเศษ แค่เพราะแกสามารถเล่นเปียโนได้! แกยังเป็นแค่ผู้แพ้เท่านั้นแหละ!”
หลังจากพูดจาดูถูกเย่เฟิงแล้ว ลี่จือเชียงก็รีบเดินไปข้างหน้าเพื่อทักทาย ไป๋เจิงกัวอย่างนอบน้อม
“คุณไป๋ เราไม่ได้พบกับนานเลยครับ! ผมชื่อลี่จือเชียง จากบริษัท นำเข้า-ส่งออก หงไห่ ที่เรามักจะให้ความช่วยเหลือกันอยู่เสมอ ๆ!”
ลี่จือเชียงรีบทักทายไป๋เจิงกัวอย่างกระตือรือร้นด้วยรอยยิ้มกว้าง
อย่างไรก็ตาม ไป๋เจิงกัวไม่ได้สนใจลี่จือเชียงเมื่อเขาเดินผ่านไป
‘หืมม?’
ลี่จือเชียงรู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในไม่ช้า เนื่องจากรอยยิ้มของเขานั้นเปลี่ยนจากยิ้มกว้างเป็นยิ้มเก้อ
ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปเกือบทำให้เขากลัวจนเกือบหมดสติ
ไป๋เจิงกัวเดินตรงไปยังเย่เฟิง จากนั้นเขาก็โค้งคำนับต่อเย่เฟิงอย่างเคารพพลางพูดว่า “ขอทำความเคารพคุณเย่ ผมคือไป๋เจิงกัว! ได้โปรดช่วยพ่อของผมด้วย!”