ตอนที่ 17: ใครบางคนกำลังเฝ้าสอดแนมดินแดนเรา (2)
“เหยี่ยวสอดแนม” เป็นการสอดแนมแบบที่ใช้ได้แค่เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง สามารถซื้อได้ที่ [คลังสินค้าราชันย์] โดยราคาการซื้ออยู่ที่ 10 ทอง ราชันย์ที่ซื้อเหยี่ยวนี้กำลังเลือกใช้มันเพื่อสอดแนมดินแดนของคังชอลอิน
10 ทองคือการใช้ทองคำบริสุทธิ์ 97.8% มาใช้แลกเปลี่ยนแทนเงินซึ่งจะมีมูลค่าเท่าเงินวอนอยู่ที่เกือบ ๆ 5 ล้านวอน นั่นหมายความว่าราชันย์ที่ส่งเหยี่ยวนี้ต้องลงทุนถึง 5 ล้านวอนเพื่อจะสอดแนมเขา
‘ไอ้โง่ ไม่รู้จักใช้ทองที่มีอยู่ให้รู้ค่า’
คังชอลอินพ่นเสียงไม่พอใจก่อนจะเหลือบตากลับขึ้นไปมองเหยี่ยวสอดแนมที่กำลังวนอยู่เหนือหัวเขาอีกครั้ง เหยี่ยวสอดแนมจะใช้งานได้แค่เพียงหนึ่งชั่วโมงและระยะทางในการติดตามคือประมาณ 20 กม. ด้วยราคาขนาดนี้มันไม่มีความคุ้มค่ากับการใช้งานใด ๆ มันไม่ใช่ตัวเลือกที่แนะนำเว้นแต่จะมีเหตุฉุกเฉินจำเป็นต้องใช้จริง ๆ
“หมอบตัวลงต่ำซะ มีใครมีธนูบ้างหรือไม่? ไม่เช่นนั้นจะเป็นปืนก็ได้”
“นี่ขอรับนายท่าน”
ทหารนายหนึ่งที่ใช้ธนูเป็นอาวุธส่งมันมาให้กับคังชอลอินในทันใด
‘5 ล้านวอน… ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครแต่ข้าจะทำลายเงินที่มีค่าของเจ้าให้ดู’
คังชอลอินหมายจะยิงไปที่เหยี่ยวสอดแนมและสอยมันให้ร่วงลงมา
แน่นอนว่าเขาไม่ได้จะยิงมันแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง เหยี่ยวสอดแนมถูกสร้างขึ้นโดยมีส่วนประกอบจากเวทมนตร์ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสกัดกั้นมันได้ด้วยการใช้ฟิสิกส์ธรรมดา
‘ผ่านมาได้สักพักแล้วเหมือนกัน … อยากรู้นักว่ายังจะทำได้อยู่ไหม’
คังชอลอินคิดขณะดึงคันธนูมาใกล้ตัว
เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เขายิงธนูนั้นคือเมื่อไหร่
เขาเป็นดั่งนักรบที่มีฝีมือทางการทหารที่ใช้ดาบและไม่เคยได้ทำความคุ้นเคยกับการใช้ธนูมากนัก
‘เอาล่ะ ถ้าอย่างนี้ก็น่าจะพอเป็นไปได้’
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยขาดความมั่นใจในตัวเองไปอย่างสมบูรณ์เช่นกัน
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่นักธนูผู้เชี่ยวชาญแต่เขาก็มีพื้นฐานที่ยอดเยี่ยมสำหรับศิลปะการต่อสู้ทั้งหมด เหยี่ยวสอดแนมเพียงตัวเดียวไม่ได้ยากเกินไปสำหรับเขา คังชอลอินมั่นใจอย่างยิ่งกับความสามารถของตัวเอง
‘เล็งเป้าและ…ยิง!’
วู้ชช
ลูกธนูกลายเป็นแสงแวววับเมื่อมันพุ่งเข้าหาเหยี่ยวสอดแนม
แอ่กกก แอ่กกก!
เหยี่ยวสอดแนมที่สัมผัสได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามาส่งเสียงด้วยความหยิ่งผยองและไม่ได้พยายามที่จะหลบลูกธนูที่กำลังพุ่งเข้ามาแต่อย่างใด ราวกับว่ามันกำลังล้อเลียนคังชอลอินเป็นคำพูดว่า “ลูกธนูแค่นั้นจะทำอะไรข้าได้”
‘โง่นัก’
คังชอลอินยิ้มเยาะ
คังชอลอินไม่ได้ยิง “แค่ลูกธนู” ไปอย่างเดียวแต่เขาใช้เวทมนตร์ผสมไปด้วยเล็กน้อยบนปลายลูกธนูก่อนจะปล่อยมันออกไป มันไม่ได้เป็นเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งแต่สำหรับเหยี่ยวสอดแนมที่มีการป้องกันที่อ่อนแอแล้ว ก็ถือว่าพอเป็นการโจมตีที่ใช้ได้อยู่บ้าง
หากลูกธนูยิงเข้าเป้ามันจะยิ่งเป็นหลักประกันแห่งชัยชนะได้เป็นอย่างดี
แคร่ก!
ลูกธนูพุ่งเข้าเป้าโดยตรงและติดค้างอยู่ที่ส่วนท้องของเหยี่ยวบนท้องฟ้าตามที่คาดการณ์ไว้
เอี๊ยด ๆ
เสียงร้องสับสนดังออกมาจากปากของเหยี่ยว
เมื่อมีเวทมนตร์จากอีกสิ่งหนึ่งแทรกแซงร่างกายที่สร้างขึ้นจากเวทมนตร์ ประกายไฟก็เริ่มก่อตัวขึ้นและตามมาด้วยเสียงดังโครม จากนั้นเหยี่ยวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ราคาแห่งการสอดแนม 5 ล้านวอน เศษซากของมันกลายเป็นผงธุรีที่ปลิวกระจาย
“โว้ว”
“มหัศจรรย์เหลือเกิน!”
“กระทั่งธนูนายท่านก็ยังชำนาญการ!”
ทหารที่ได้เห็นสิ่งนี้ต่างพากันปรบมือและยกย่องให้กับทักษะของเขา
‘มันคงจะเจ็บเล็กน้อย’
คังชอลอินที่ไม่สนใจการยกย่องจากกองทหารยกยิ้มพอใจ
เหยี่ยวสอดแนมมีกลไกที่เชื่อมไปถึงกับจิตใจราชันย์ผู้ใช้ ดังนั้นเมื่อมันถูกทำลายตัวราชันย์เองก็จะได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน
มันเป็นบทลงโทษที่แปลกและเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องระวังเมื่อเลือกจะใช้เหยี่ยวสอดแนมนี้
แม้เขาจะมองไม่เห็นด้วยตาของตัวเองแต่เขามั่นใจว่าราชันย์ที่ส่งเหยี่ยวสอดแนมนี้มากำลังโอบรัดท้องของตัวเองและคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดราวกับว่าเขาเป็นคนที่ถูกยิงด้วยลูกธนูเสียเอง
“กองกำลังทั้งหมดกลับฐานทัพ”
คังชอลอินสั่งการ
“ตอนนี้เลยหรือขอรับ?”
เจมส์เอ่ยถาม
“นั่นเป็นหน่วยสอดแนมที่ถูกส่งมาโดยราชันย์คนอื่นหมายความว่ายังมีดินแดนที่ถูกครอบครองในระยะ 20 กม.อยู่อีกแห่ง”
“อ๋อ!”
“ข้าไม่รู้ว่าเจตนาของราชันย์ผู้นี้คืออะไร แต่พวกเขาอาจจู่โจมเราได้ทุกเมื่อดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะกลับไปยังกองบัญชาการใหญ่และเตรียมตัว บางทีมันอาจเป็นแค่การลาดตระเวนตามปกติ”
คังชอลอินไม่สามารถห้ามตัวเองจากการพูดได้ “แพนดิโมเนียมจะมีแต่ความบ้าคลั่งในสงครามเท่านั้น”
มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
มันเป็นสวรรค์สำหรับผู้พิชิตราชันย์ที่คลั่งไคล้ในสงครามและปีศาจ มันไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติสำหรับพวกเขาที่จะเกิดการสู้รบหรือทำลายซึ่งกันและกัน
“ไปบอกให้พวกคนงานและเกษตรกรทั้งหลายล่าถอยซะ การระวังไว้ก่อนไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร”
“ขอรับนายท่าน!”
แม้เขาจะเป็นกังวลที่ต้องหยุดการทำฟาร์มไปสักสองสามวันแต่มีบางอย่างบอกให้เขาต้องทำแบบนั้น หากศัตรูบุกเข้ามาจริง เช่นนั้นชีวิตของผู้บริสุทธิ์อาจเกิดการสูญเสียได้
.
.
.
“อึ่ก!”
ลึกลงไปในอุโมงค์ที่ราบทางเหนือ ราชันย์แห่งเบอร์โรลกำลังกุมหน้าท้องของเขาและคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด
“นะ นายท่าน! เป็นอะไรหรือขอรับ?!”
ผู้ช่วยส่วนตัวของดินแดนเบอร์โรล ทิโมธีรีบเข้ามาพยุงดูแลนายของตัวเองอย่างเร่งรีบ ทิโมธีเป็นก็อบลินที่มีหนวดเคราสีขาวขนาดใหญ่
“อึ่ก!”
“โอ้ นายท่าน! เหยี่ยวสอดแนมของนายท่านถูกโจมตีหรือขอรับ?”
ราชันย์แห่งดินแดนเบอร์โรลไม่สามารถตอบคำถามใด ๆ ได้ชั่วขณะแม้จะมีคำถามมากมายจากผู้ช่วยส่วนตัว เนื่องจากความเจ็บปวดที่โดนลูกธนูแทงทะลุหน้าท้องเหยี่ยวกำลังแพร่กระจายมายังบนตัวทำให้เขาไม่สามารถมีสมาธิใด ๆ ได้ในตอนนี้
ความเจ็บปวดของเขาใช้เวลานานถึง 30 นาทีถึงจะสงบ ราชันย์แห่งเบอร์โรลบดฟันด้วยความโกรธแค้น
“ไอ้บัดซบสารเลวเอ๊ย!”
“นายท่านดีขึ้นแล้วหรือขอรับ? นี่น้ำเย็นขอรับ ๆ โปรดดื่มให้ชื่นใจเสียก่อน”
“หุบปาก!”
ทิโมธีนำน้ำเย็น ๆ มาให้แก่ราชันย์ของเขา ทว่าราชันย์ของเขากลับตีมือที่ถือถ้วยนั้นจนตกลงไปที่พื้น
“ไอ้ตัวอุบาทว์ก็อบลิน! บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเรียกข้าว่าว่านายท่านหรือราชันย์! ให้เรียกข้าว่าโชกุน!”
“อ๊ะ! ขอรับ ท่านโชกุน!’
“ไอ้โง่เอ๊ย! ที่โง่แบบนี้เพราะเป็นก็อบลินด้วยหรือเปล่า? ทั้งแก่และทั้งน่าเกลียด! เฮ้อ จากสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มากมายทำไมผู้ช่วยของข้าถึงต้องเป็นก็อบลินด้วยกัน”
คิมูระ ฮิเดคิ ราชันย์แห่งเบอร์โรลกำลังวิพากษ์วิจารณ์และระบายความโกรธของเขาไปกับทิโมธีก็อบลินผู้ช่วยส่วนตัว
“โง่เง่าและไร้ประโยชน์! ทำไมข้าถึงได้ก็อบลินโง่ ๆ แบบนี้! เฮ้อ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเป็นผู้หญิง!”
“…”
“อะไร? เจ้าทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร? มีปัญหากับสิ่งที่ข้าพูดงั้นรึ?”
“ไม่เลยขอรับ! ไม่ใช่เลยท่านโชกุน!”
“เจ้าหมายถึงอะไรที่ว่าไม่?”
คิมูระตะโกนลั่น
เพี๊ยะ!
ตามด้วยเสียงตบที่ดังก้องจนหัวของก็อบลินหันไปอีกทาง
“ก็อบลินเจ้าเล่ห์น่ารังเกียจ!”
“ข้าขออภัยขอรับที่ข้าเป็นเพียงก็อบลิน…”
ทิโมธีคิดว่ามันไม่ยุติธรรมที่เขาต้องถูกตีอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป
ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้สักอย่าง
เขาต้องอดทนแม้ว่ามันจะไม่ยุติธรรมหรือแม้ว่ามันจะทำร้ายความภูมิใจของเขาเองก็ตาม
ชะตากรรมของผู้ช่วยส่วนตัวเช่นเขาคือการอดทนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใครเล่าจะอยากมาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวให้กับคนป่าเถื่อนแบบนี้กัน?
สิ่งเดียวที่ทิโมธีทำได้ก็คือการยอมรับชะตากรรมของตัวเอง การหมุนทายลูกเต๋าย่อมมีความเสี่ยงร่วมด้วยเสมอ เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งนี้อาจกล่าวได้ว่าลูเซียผู้ซึ่งได้พบกับคังชอลอินที่ฉลาดและมีความสามารถในฐานะผู้นำนั้นถือเป็นกรณีที่โชคดีอย่างมาก
“ราชันย์ในพื้นที่เกษตรกรรมคนนั้นมันยิงเหยี่ยวสอดแนมของข้า”
“ข เขาทำเช่นนั้นจริงหรือขอรับ?!”
“ไอ้สารเลวนั่น… ข้าคิดว่าการส่งตัวตุ่นออกไปจะทำให้มันยอมแพ้ต่อดินแดนนั่นแล้วเชียว ไอ้สารเลวที่ดื้อด้าน!”
ที่จริงแล้วคนที่ส่งตัวตุ่นมาขัดขวางเควสของคังชอลอินก็คือคิมูระ
หากจะกล่าวให้ถูกต้อง คิมูระต้องการทิ้งกองบัญชาการใหญ่ใต้ดินของเขาและขึ้นมาปกครองดินแดนภาคพื้นซึ่งได้รับคำแนะนำจากทิโมธีว่าให้เลือกดินแดนของคังชอลอินมาเป็นเป้าหมาย
“ท่านโชกุน ท่านจะทำอะไรหรือขอรับ?”
ทิโมธีถาม
“หมายความว่าอะไรที่ถามว่าข้าจะทำอะไร! ข้าก็จะโจมตีมันน่ะสิ!”
“แต่…”
“อะไร?”
“หากเหยี่ยวสอดแนมสามารถถูกโจมตีได้นั่นหมายความว่าเขาสามารถใช้เวทมนตร์ได้ด้วยนะขอรับ มีความเป็นไปได้ที่เขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ง่ายจะจัดการ”
“ข้าเป็นผู้เล่น ข้าต่างหาก!”
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านโชกุนได้อย่างแท้จริงขอรับ แน่นอนว่าท่านอาจรู้สึกประหลาดใจและเจ็บปวด แต่ท่านโชกุน! สงครามไม่ใช่เรื่องของการละเล่นนะขอรับ”
“หุบปาก! ข้าสั่งให้หุบปาก!”
คิมูระไม่สนใจคำเตือนจากทิโมธีเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาตอนนี้คือการแก้แค้นคนที่กล้าโจมตีเหยี่ยวสอดแนม สำหรับเขาแล้วข้อเท็จจริงอื่น ๆ เช่นความสามารถของคังชอลอินในการบัญชาการและการใช้เวทมนตร์นั้นไม่มีความสำคัญใด ๆ
“เห้ย ก็อบลิน”
“ขอรับ ท่านโชกุน”
“เตรียมกำลังพลของข้าซะ ข้าจะบุกกองบัญชาการของมันเดี๋ยวนี้”
“ท่านโชกุน ท่านช่วยฟังความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของข้าสักครั้งได้หรือไม่ขอรับ?”
“ความปรารถนาของเจ้า? ข้าจำเป็นต้องทำตามความปรารถนาของเจ้าด้วยรึ?”
ทิโมธียอมรับการเย้ยหยันและความอาฆาตแค้นจากคิมูระเพราะนั่นคือบทบาทหน้าที่ของเขา ไม่ว่าเขาจะได้รับการปฏิบัติที่เลวร้ายเพียงใดแต่พวกเขาก็ต้องรับใช้ราชันย์ด้วยทุกสิ่งที่เขามี
“ท่านโชกุนขอรับ ทิโมธีนี้ผู้นี้ อย่างที่ท่านกล่าวมาข้าไม่มีอะไรเลยนอกจากการเป็นก็อบลิน แต่ข้าก็ยังมีประโยชน์นะขอรับ ถ้านายท่านยอมปล่อยให้ข้า…”
“เจ้าจะทำอะไร?”
“มันไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยขอรับที่จะกล่าวว่าชัยชนะของสงครามนั้นขึ้นอยู่กับสติปัญญาของผู้นำ หากท่านโชกุนยินยอมให้เวลาข้าแค่เพียงสองวัน ข้าจะมอบรายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับสถานะทางทหารและสิ่งอำนวยความสะดวกในปัจจุบันของศัตรูให้ท่านได้ทราบ การที่ส่งข้าไปทำเช่นนั้นท่านโชกุนไม่คิดหรือขอรับว่าโอกาสแห่งชัยชนะของท่านจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น?”
“หืม… เจ้าคิดว่าข้าจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้งั้นรึ?”
“ไม่เลยขอรับท่านโชกุน! ข้าแค่เพียงต้องการจะบอกว่า ‘ถ้าท่านรู้จักศัตรูของท่านและถ้าท่านรู้จักตัวท่านเป็นเป็นอย่างดี ต่อให้มีการสู้รบกันร้อยครั้งท่านก็จะสามารถเอาชนะมาได้ทั้งร้อยครั้ง’ต่างหากขอรับ ข้าเพียงแนะนำกฏของการทำสงคราม…”
“เรื่องนั้นข้าก็รู้!”
คิมูระตะโกน
“คิดว่าข้าไม่รู้เรื่องพวกนั้นหรืออย่างไร? เรื่องนั้นข้าก็จะทำด้วยเหมือนกัน!”
คิมูระพูดอย่างไร้ยางอายราวกับว่าความคิดของทิโมธีนั้นเป็นของเขาเอง
“ข้าจะใช้หน่วยสอดแนมที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย”
“โอ้ ท่านโชกุน ท่านช่างปราดเปรื่องอย่างมากเลยขอรับ!”
“เจ้ากล้ายิงข้างั้นรึ? ได้! แค้นนี้ข้าจะชำระให้เอง!”
เห็นได้ชัดว่าวิธีการของเขาเป็นวิธีการที่ค่อนข้างทำเกินกว่าเหตุ
คิมูระ ฮิเดคิอยู่ที่โตเกียวทาวเวอร์เมื่อตอนที่เขาถูกพามายังแพนเจีย เขาเป็นเพียงเด็กนักเรียนที่ไม่สามารถเชื่อสถานการณ์ที่เขาได้เข้าร่วมในตอนแรกได้
ทุกคนคงจะเคยมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก
อยู่มาวันหนึ่งโดยไร้ซึ่งสัญญาณการเตือนล่วงหน้า ตัวของท่านได้ถูกนำพามายังโลกอื่นที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง จากนั้นก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จตามเควสที่ปรากฏโดยที่ท่านไม่รู้จักที่มาในการจะปกครองดินแดนของตัวเอง หากเป็นเช่นนั้นท่านคงปฏิเสธความจริงไปตามปกติ
อย่างไรก็ตามแพนเจียคือความเป็นจริงและคิมูระก็ยอมรับสถานะของเขาในฐานะราชันย์ ตามความคาดหวังของคนญี่ปุ่น เขาสามารถปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงของที่นี่ได้อย่างรวดเร็ว คิมูระตัดสินใจทำเควสปราบมอนเสอตร์ในดินแดนของเขาจากนั้นก็ตั้งใจทำตามจุดประสงค์ในฐานะผู้พิชิตราชันย์เพื่อขยายการครอบครองดินแดน
มันดีมาตลอดจนถึงตอนนี้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือแม้ว่าเขาจะยอมรับความจริงบนโลกที่แตกต่างนี้ได้แต่เขาไม่ได้ตระหนักถึง “ความจริง” และความรุนแรงของสถานการณ์สงครามที่เกิดขึ้นที่แพนเจียนี้เลยแม้แต่น้อย
ความตายบนแพนเจียมีค่าเท่ากับความตายบนโลก นี่คือวิถีแห่งธรรมชาติและกฎแห่งชีวิตซึ่งระบุไว้แต่แรกแล้วว่าไม่มีใครสามารถยกเลิกการตายของตัวเองได้ นอกจากชายที่ชื่อคังชอลอินที่ใช้พลังสำรองวิญญาณเพื่อกลับสู่อดีตได้อีกหนึ่งครั้ง
คิมูระไม่รู้ซึ้งถึงความจริงที่สำคัญนี้
การโจมตีราชันย์คนอื่นด้วยความตื่นเต้นที่ได้เป็นราชันย์เหมือนได้เป็นผู้เล่นในเกมเป็นการตัดสินใจที่ภาคภูมิใจของนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งที่แสนโง่เขลา
หากต้องการชีวิตของใครสักคนก็ควรเตรียมพร้อมที่จะสูญเสียชีวิตของตัวเองด้วยเช่นกัน แต่ในใจของคิมูระมีเพียงภาพลักษณ์ของตัวเองที่ได้ขึ้นเป็นใหญ่หลังจากที่เขาพิชิตดินแดนของคังชอลอินมาได้สำเร็จ
มันเป็นการกระทำที่โง่เขลาที่ไม่ได้คำนึงถึงผลพวงของการก่อสงคราม
อย่างไรก็ตามมันสายเกินไปแล้วที่จะย้อนกลับมาพิจารณาใหม่ ท้ายที่สุดการที่เขาเลือกคังชอลอินผู้อยู่ตรงข้ามกับทุกฝ่ายมาเป็นคู่ต่อสู้คือความผิดพลาดที่แสนมหันต์
.
.
.
ในวันนั้นคังชอลอินรู้สึกได้ถึงเมฆแห่งสงครามที่กำลังก่อตัว
เขาเห็นเหยี่ยวสอดแนมบินวนรอบลาพิวต้าบ่อยมากขึ้นและไกลเกินเอื้อมกว่าที่ลูกธนูจะยิงถึงได้ และหลังจากนั้นสองวันก็มีเหยี่ยวสอดแนมประมาณ 5 – 6 ตัวบินวนรอบลาพิวต้า ฝ่ายตรงข้ามได้เปิดเผยการสอดแนมซึ่ง ๆ หน้าซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันเป็นการประกาศเพื่อบุกรุก
‘คงต้องเลื่อนกำหนดการกลับโลกไปอีกสัก 2 – 3 วัน ดีเหมือนกันที่มีเรื่องอะไรแบบนี้เกิดขึ้นให้ได้เล่นสนุก’
คังชอลอินยิ้ม
ราคาของดินแดนส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 3 – 4 พันทอง อย่างไรก็ตามลาพิวต้าของเขามีราคามากถึง 9,800 ทอง เนื่องจากราคาที่เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าของดินแดนอื่นจึงอาจทำให้เกิดการล้มละลายได้ง่าย ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ การมีราชันย์อื่นบุกเข้ามาถึงที่ด้วยสองเท้าของตัวเองนับเป็นเรื่องที่เขารู้สึกขอบคุณอย่างมาก
ราชันย์ที่ชนะการสู้รบจะได้รับไปทั้งหมด
เขาจะเอาทั้งดินแดน ประชาชน และทหารของฝ่ายตรงข้ามมาให้หมด นอกจากนี้เขายังจะได้รับค่าตอบแทนด้วยคะแนนราชันย์ที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นทางลัดสำคัญในการขึ้นเป็นจอมราชันย์ จากมุมมองของคังชอลอินแล้ว การบุกรุกครั้งนี้เป็นดั่งของขวัญจากสวรรค์
“ลูเซีย”
“เจ้าค่ะ นายท่าน”
“อีกไม่นานจะมีราชันย์อื่นบุกมา”
“เจ้าค่ะ”
“ช่างเป็นคนที่โง่เขลาเสียจริง”
“ข้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
“เขาเป็นคนที่จะนำความมั่งคั่งมาสู่ดินแดนของเรา จงเตรียมการต้อนรับเขาเป็นอย่างดี”
“แน่นอนเจ้าค่ะ”
คังชอลอินพูดพร้อมรอยยิ้ม
งานเลี้ยงต้อนรับ?
เขาจะตั้งใจเตรียมการต้อนรับนี้ให้เป็นอย่างดี
เพื่อที่เขาจะสามารถบดขยี้อีกฝ่ายจนไม่เหลืออะไรเลยสักอย่างได้!
.
.