ตอนที่ 18: ประกาศสงคราม
‘ทหารของศัตรูดูเหมือนจะมีไม่มากแต่ไม่รู้ทำไมข้าถึงได้เป็นกังวลนัก’
ทิโมธีกำลังตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เขาได้ส่งเหยี่ยวสอดแนมออกไปถึงเจ็ดตัวในช่วงสองวันที่ผ่านมาและได้เห็นถึงกองกำลังทางทหารของลาพิวต้าที่อยู่ในระดับปานกลางจนถึงดีมาก และนั่นไม่ใช่เรื่องที่ชวนให้เขาสบายใจนัก
หากมีอำนาจทางทหารเป็นเพียงปัจจัยเดียวในการสู้รบ ชัยชนะจะตกเป็นของเบอร์โรลอย่างไม่ต้องสงสัยด้วยข้อกำหนดทางพื้นฐานของเบอร์โรลที่ดีกว่าลาพิวต้าอย่างท่วมท้น
ดินแดนลาพิวต้าของคังชอลอินมีมนุษย์เป็นผู้อาศัยหลัก แต่ผู้อาศัยในดินแดนเบอร์โรลจะประกอบไปด้วยมด, ตัวตุ่น, ตะขาบ, แมลงกระชอนและสัตว์อื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในดินเป็นหลัก หากมีสงครามเกิดขึ้น พวกเขาจะต้องเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ
แต่ทำไมเขากลับรู้สึกไม่สบายใจมากขนาดนี้
จากการสอดแนมภายในดินแดงของคังชอลอิน เขาไม่อาจหาอะไรที่เป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่เจอได้ แต่ทิโมธีก็ยังรู้สึกไม่ดีที่การสู้รบในครั้งนี้ต้องเป็นไปอย่างหุนหันพลันแล่นและกระทำโดยความประมาท
“มันยาก … ยากมากเหลือเกิน”
ทิโมธีถอนหายใจ
ความพิเศษของทิโมธีคือ [การบริหาร] เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่เหมาะที่สุดสำหรับงานด้านเอกสารและทำให้เขาไม่เก่งเรื่องการวางกลยุทธ์ในศึกสงครามแต่อย่างใด
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถทิ้งทุกอย่างให้ราชันย์คิมูระของเขาจัดการได้อีกเช่นกัน
เพราะคิมูระไม่รู้เลยอะไรสักอย่าง
เขาหมกมุ่นอยู่กับการสวมบทบาทและต้องการเป็นราชันย์ที่มีการจารึกชื่อตัวเองไว้ว่าเป็น “โชกุน”, “นักรบผู้ยิ่งใหญ่” และสิ่งอื่น ๆ ที่ทิโมธีไม่อาจเข้าใจ เขาเป็นดั่งทรราชย์ของดินแดน เป็นเพียงทรราชย์วัยเยาว์ที่ไร้ซึ่งประสบการณ์
“เฮ้อ … ชะตากรรมของข้า”
ก็อบลินชราวัยถอนหายใจ
จริงอยู่ที่เขามีความได้เปรียบทางการทหารแต่เขาไม่สามารถเอาชนะความสั่นคลอนที่เกิดขึ้นในใจนี้ได้ ราวกับว่าเขากำลังขว้างหินใส่รังผึ้งที่เป็นอันตราย
และในตอนนั้นเอง ความคิดที่ดีงามก็ได้ปรากฏขึ้นมาในใจของก็อบลิน
“นั่นยังไงล่ะ!”
สำหรับเขามันเป็นความคิดที่ดีและเข้าท่ามากทีเดียว
‘สิ่งที่ควรกระทำ! เช่นนั้นข้าจะสามารถโต้แย้งที่สมเหตุสมผลได้!’
ทิโมธียิ้มกว้างจากนั้นก็รีบวิ่งไปหาราชันย์คิมูระของเขาในทันใด
“ไอ้สารเลว! กล้าดีอย่างไรถึงมายิงธนูใส่ข้า!”
คิมูระดื่มน้ำผึ้งอยู่ภายในห้องโถงราชันย์ซึ่งตั้งอยู่ใต้ดินลึกกำลังบดฟันด้วยความคับแค้นใจเมื่อนึกถึงคังชอลอิน
“ท่านโชกุนขอรับ”
“มีอะไร ก็อบลิน”
“ท่านช่วยส่งข้าไปเป็นนักการทูตจะได้หรือไม่ขอรับ?”
“อะไรนะ?”
คิมูระหันหน้าไปมองก็อบลินพร้อมการแสดงว่าคำถามโง่ ๆ แบบนั้นมันคืออะไร?
“ทำไมเราต้องส่งอะไรแบบนั้นไปด้วย เราต้องบุกมันเข้าไปเลยสิ!”
“ในการจะทำสงครามเองก็มีกฏที่ต้องกระทำอยู่เช่นกันนะขอรับ”
“กฎรึ?”
คิมูระขมวดคิ้วใส่ทิโมธี
“ขอรับ แม้อีกฝ่ายจะเป็นศัตรู แต่สงครามก็มีกฎพื้นฐานที่ถึงอย่างไรก็ต้องปฏิบัติตาม”
“หยุดพูดให้มันยากที่จะเข้าใจสักทีได้ไหม ไอ้ก็อบลินหน้าโง่!”
“ข ขออภัยขอรับ”
“แล้วประเด็นที่เจ้าว่ามามันคืออะไร?”
“หากนำหลักคำพูดเก่า ๆ มาใช้ ชัยชนะที่ดีที่สุดก็คือการชนะโดยปราศจากการสู้รบนะขอรับ”
“อืม … ใช่ ข้าเห็นด้วย”
คิมูระพยักหน้า
สิ่งที่ทิโมธีพูดมาคือสิ่งที่ทุกคนน่าจะเคยได้ยินกันมาแล้วอย่างน้อยก็หนึ่งครั้งในชีวิต มันคือหนึ่งในประโยคจาก “พิชัยสงคราม” แม้ความเป็นอยู่บนโลกทั้งสองจะแตกต่างกันแต่ดูเหมือนว่าชัยชนะที่ได้รับมาโดยปราศจากการต่อสู้จะมีค่าจากทั้งสองโลก
“ถ้าท่านโชกุนยอมส่งข้าไปเป็นนักการทูตกับอีกฝ่าย ถ้าจะทำให้ราชันย์ที่ประทุษร้ายต่อท่านต้องขอยอมจำนนให้แก่ท่านขอรับ”
“ยอมจำนน?”
“ขอรับ หากท่านโชกุนมอบโอกาสพวกเขายอมจำนนและพวกเขายอมรับข้อเสนอนี้ พวกเราเองก็จะสามารถชนะได้โดยไม่ต้องเสียเลือดแม้แต่หยดเดียว มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้สำเร็จแต่เนื่องจากความแข็งแกร่งทางทหารของเรายิ่งใหญ่กว่ามันจึงมีโอกาสเป็นไปได้นะขอรับ”
“อืม …”
คิมูระมีท่าทีลังเล ทิโมธีจึงถือโอกาสนี้เพื่อดำเนินการตามความคิดของเขาต่อ
“และถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่เห็นด้วยที่จะยอมจำนน มันก็ยังเป็นประโยชน์อยู่ดีนะขอรับที่ได้ส่งข้าไป”
“เป็นประโยชน์? เป็นประโยชน์อย่างไร?”
ทิโมธีกรีดร้องอยู่ในใจและกำลังคิดว่า “ถ้าจะมีหัวแต่ไม่มีสมองคิดแล้วจะอยู่ไปทำไมให้รกโลก!” แม้คิมูระจะเป็นราชันย์ของเขาเองก็ตาม
มันไม่ใช่แค่เรื่องอายุเท่านั้นที่เป็นปัญหา
หากแต่มนุษย์ส่วนใหญ่เป็นคนที่โง่เขลาและไม่เคยคิดอะไรเป็นจริงเป็นจังมาก่อน
ในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวของคิมูระแล้วนั้น ความอดทนของเขาได้รับการทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบ
‘ข้าต้องอดทน บุรุษผู้นี้คือราชันย์ของข้า ข้าต้องอดทนให้ได้…’
ทิโมธีได้ทุ่มเทกับทุกสิ่งที่เขามีเพื่อจัดการกับความโกรธในใจ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและสุภาพ เขากลับไปพูดกับคิมูระต่อว่า
“ประการแรกนะขอรับ การส่งทูตออกไปจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าดินแดนเบอร์โรลของเรานั้นมีอารยธรรมไม่ใช่ดินแดนที่ต้องการใช้แต่กำลัง มันคือการแสดงสถานะทางสังคมในรูปแบบหนึ่งขอรับ”
“แค่นั้นรึ?”
“ไม่ใช่แน่นอนขอรับ! นักการทูตอีกนัยหนึ่งก็เป็นเหมือนหน่วยสอดแนมที่ถูกหลักความชอบธรรม ในขณะที่ข้าเข้าไปเจรจาให้อีกฝ่ายยอมจำนน ข้าจะรวบรวมข้อมูลของศัตรูกลับมาได้ด้วยอีกเช่นกัน การได้มองด้วยตาทั้งสองข้างของข้าเอง นายท่านไม่คิดหรือขอรับว่ามันจะแม่นยำยิ่งกว่าการใช้เหยี่ยวสอดแนมราคาแพงนั่น?”
“หืม… เจ้าเองก็มีความคิดดี ๆ เหมือนกับเขาเป็นด้วยรึ”
เมื่อคิมูระมีท่าทีเห็นด้วยพลอยทำให้ทิโมธีแสดงสีหน้าด้วยความโล่งใจ
“สงครามไม่ใช่แค่การบุกรุกเมื่อใดก็ได้ตามที่ท่านต้องการ แต่ต้องมีการประกาศก่อนล่วงหน้า มันเป็นสิ่งที่โหดร้ายอย่างมากหากเริ่มสงครามโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าไปก่อน ท่านโชกุน ท่านเป็นผู้นำที่มีความสามารถและชาญฉลาดไม่ใช่หรือขอรับ?”
“หืม…ใช่ ๆ ข้าเป็นเช่นนั้น”
“หากท่านเชื่อใจในตัวข้า แม้ว่าข้าจะไม่สามารถรับประกันการยอมจำนนกลับมาได้แต่อย่างน้อยข้าก็จะนำข้อมูลที่ดีกลับมาให้ท่านได้อย่างแน่นอนขอรับ”
คิมูระถูกชักจูงโดยคำพูดของทิโมธีจนอนุญาตให้เขาได้ออกไป
“ฮะ! เจ้าจงไปบอกราชันย์นั่นให้ชัดเจน ว่าถ้าหากมันไม่ยอมจำนน มันจะต้องได้เจอกับนรกเป็นแน่!”
“แน่นอนขอรับ ฮี่ ๆ เช่นนั้นข้าจะรีบกลับมานะขอรับ ท่านโชกุน”
ทิโมธีส่งเสียงดีใจจากด้านในหลังได้รับการยินยอมในที่สุด
‘เท่านี้ก็เรียบร้อย!’
ทิโมธีไม่ต้องการให้เกิดสงครามขึ้นอย่างเร่งรีบโดยไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้าที่ดีพอ ดังนั้นเขาจึงไปโน้มน้าวคิมูระเพื่อขอไปเสนอโอกาสให้อีกฝ่ายยอมจำนน
แต่เนื้อแท้ความตั้งใจจริงของทิโมธีนั้น เขาจะไปที่ดินแดนของศัตรูจริงแต่เขาจะนำข้อมูลที่บอกว่าศัตรูมีกองทัพลับหรืออาวุธที่พวกเขาซ่อนเร้นไว้อีกมากมายเพื่อให้คิมูระยอมแพ้ต่อการก่อสงคราม
ทิโมธีรู้ดีกว่าการทำสงครามไม่ใช่เพียงการละเล่นแบบของเด็ก ๆ
นอกจากนี้เขาต้องการไปเยี่ยมชมดินแดนของคังชอลอินเพื่อให้ความไม่สบายใจที่ไม่รู้จักจบสิ้นซึ่งกำลังรบกวนเขาอยู่ตลอดเวลาให้หายไป อย่างไรก็ตามความสุขของเขาช่างมีอายุอยู่ได้สั้นนัก
‘ขออภัยเป็นอย่างยิ่งขอรับท่านโชกุน แต่ทิโมธีพร้อมที่จะทำบาปหากมันสามารถทำให้ท่านโชกุนและแผ่นดินปลอดภัย!’
ทิโมธีร้องขออภัยเพียงลำพังในใจต่อคิมูระ
ความตั้งใจของทิโมธีเป็นการกระทำที่บ่อนทำลายราชันย์ของตัวเองดังนั้นเขาจึงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
“เฮ้อ … ข้าหวังว่าท่านโชกุนจะกลายเป็นผู้นำที่ชาญฉลาดและเด็ดเดี่ยวได้เร็ว ๆ นี้เสียที”
ทิโมธีพึมพำจากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังดินแดนลาพิวต้าของคังชอลอิน
บ่ายวันนั้น
ทิโมธีได้เดินทางไปยังลาพิวต้าในฐานะทูตแห่งเบอร์โรลและได้เข้าพบกับคังชอลอิน ราชันย์แห่งลาพิวต้าในที่สุด
“เช่นนั้นเจ้ากำลังจะบอกข้าว่ามันเป็นเพียงการลาดตระเวนและเจ้าไม่ได้มีเจตนาอื่นใด?”
คังชอลอินที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กำลังแสดงให้เห็นถึงการแสดงออกที่น่าสนใจ
“ขอรับ”
“โอ้ ช่างน่าขำนัก”
“ขอรับ?”
“ข้ากำลังเป็นสงสัยว่าใครกันที่ใช้เหยี่ยวสอดแนมราคาแพงนั่นเพื่อลาดตระเวน แถมยังลาดตระเวนที่ดินแดนของข้าเสียอีก… ราชันย์เจ้าคงเต็มไปด้วยทองคำมากมายเลยใช่หรือไม่?”
ทิโมธีไม่ได้พูดอะไรออกไปเกี่ยวกับการตอบกลับที่หลักแหลมของคังชอลอินและเริ่มพยายามหาข้อแก้ตัว
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะขอรับ! ราชันย์แห่งเบอร์โรลต้องการความสงบสุขเป็นที่สุด! เพียงเพราะดินแดนของเราทั้งคู่ต่างอยู่ใกล้กันมากดังนั้นเราจึงต้องเตรียมความพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ใช่แล้วขอรับ มันก็เพียงเท่านั้น”
“เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน?”
“ข้าจะรู้สึกขอบคุณท่านอย่างมากหากท่านคิดว่ามันเป็นเพียงการตรวจตราด้วยเหตุผลเชิงป้องกัน ท่านโชกุนคิมูระให้สัจจะว่าจะไม่ให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นได้อีกในภายภาคหน้า เช่นนั้นคราวนี้ได้โปรดกรุณา…”
“หยุด”
คังชอลอินเอ่ยแทรกขัดประโยคทิโมธี
“เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่าอะไร? พูดใหม่อีกครั้งสิ”
“อะไรหรือขอรับ?”
“คิมูระ? โชกุน?”
“อ่า ใช่แล้วขอรับ ราชันย์แห่งเบอร์โรลต้องการให้แทนตัวท่านว่าโชกุนแทนการใช้คำว่าราชันย์ขอรับ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!”
คังชอลอินระเบิดเสียงหัวเราะอย่างอดใจไม่ได้
ทิโมธีไม่อาจเข้าใจในเสียงหัวเราะอย่างฉับพลันของคังชอลอินได้และกำลังรู้สึกสับสน
คังชอลอินที่เขาเห็นไม่ใช่คนที่จะมาหัวเราะได้ในสถานการณ์ที่เป็นทางการเช่นนี้ แม้จะเป็นแค่เพียงแวบเดียวแต่เขาก็สามารถบอกได้ทันทีว่าคังชอลอินนั้นเต็มไปด้วยสิทธิทางอำนาจและศักดิ์ศรีอย่างเต็มตัวเมื่อเขานั่งบนบัลลังก์ อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาหัวเราะ ทิโมธีไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
“องค์ราชันย์ ข้าขอถามได้หรือไม่ขอรับว่าเหตุใดท่านถึงได้หัวเราะมากเพียงนี้?”
“ข้าหัวเราะเพราะมันน่าขัน มันจะมีเหตุอื่นใดได้อีกกัน?”
คังชอลอินตอบกลับ
“น่าขันหรือขอรับ?”
ความรู้สึกไม่สบายใจกระจายทั่วใบหน้าของทิโมธี ถึงแม้คิมูระจะไร้ความสามารถและแสดงให้เห็นอยู่เป็นประจำว่าเขานั้นเป็นทรราชย์โดยแท้จริง แต่เขาก็เป็นราชันย์ของทิโมธี ในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวผู้ซื่อสัตย์มันทำให้ทิโมธีรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามคังชอลอินได้เอ่ยถามแทรกความคิดของเขาด้วยการยิ้มเยาะและไม่สนใจความรู้สึกของทิโมธีแต่อย่างใด
“ราชันย์เจ้าบอกให้เจ้าเรียกว่าโชกุนงั้นรึ?”
“ขอรับ โชกุนคิมูระ”
“ฮ่า ๆ ไอ้สารเลวนั่นเป็นแค่เพียงคนบ้าจริง ๆ ด้วยสินะ”
“องค์ราชันย์?”
“ราชันย์เจ้าเป็นเพียงคนคลั่งในอำนาจที่ทำตัวพาลราวกับเด็กน้อย”
ใบหน้าของทิโมธีแข็งทื่อขึ้นด้วยคำพูดของคังชอลอิน
“องค์ราชันย์ คำพูดของท่านเป็นการดูหมิ่นราชันย์แห่งเบอร์โรลอย่างมากนะขอรับ”
“หากไม่ให้ข้าเรียกเขาว่าคนที่บ้าคลั่ง เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าเรียกเขาว่าอะไร?”
“ราชันย์!”
“บางทีข้าอาจเรียกอะไรที่ต่างออกไปได้ เช่น คนโง่เขลา? คนเบาปัญญา? ที่พวกเขากล่าวว่าแพนดิโมเนียมนั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งที่เบาปัญญาสงสัยจะเป็นจริง”
มันเป็นการตอบสนองดั่งที่คาด
หากคังชอลอินเป็นเผ่าพันธุ์จากชาติอื่นมันคงเป็นเรื่องที่ต่างออกไป แต่เนื่องในฐานะที่เป็นคนเกาหลี เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันบ้ามากกับการที่คิมูระเรียกตัวเองว่าโชกุน
โชกุน
ตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลทหารและถูกควบคุมโดยผู้ปกครองสูงสุดของญี่ปุ่นในยุคกลาง แม้จะเป็นคนญี่ปุ่นแต่คังชอลอินก็ไม่คิดว่าจะมีใครที่ไร้ยางอายมากพอที่จะเรียกตัวเองว่าโชกุนเช่นนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ทิโมธีผู้ไม่รู้เรื่องนี้อดไม่ได้ที่จะไม่พอใจกับการแสดงออกของเขา
“องค์ราชันย์! แม้ท่านคิมูระจะยังเยาว์วัยแต่เขาก็เป็นผู้ปกครองดินแดนเช่นท่าน! หากท่านยังดูถูกผู้ปกครองดินแดนของข้าเช่นนี้…”
“แล้วเจ้าจะทำไม? เจ้าจะทำสงครามหรือไม่?”
“องค์ราชันย์! ท่านกล้าพูดในสิ่งที่รุนแรงเช่นนี้ได้อย่างไร? อย่างที่ข้าพูดไปก่อนหน้า โชกุนคิมูระปรารถนาเพียงความสันติ”
“พอได้แล้ว”
คังชอลอินเอ่ยแทรกประโยคทิโมธีอีกครั้งพลางพูดด้วยน้ำเสียงสงบและเด็ดขาดไปด้วยอำนาจ
“ทิโมธี อย่างที่เจ้าพูด? หึ อย่าได้โกหกข้า”
ทิโมธีตัวหนาวสั่นเนื่องด้วยการจ้องมองจากบุรุษผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์
‘ฮุก!’
สายตาที่จ้องมองลงมาไม่ใช่สายตาแบบอาชญกรวายร้ายหากแต่เป็นเหมือนดั่งนักล่าที่มีเหยื่อมายืนอยู่ข้างหน้าไม่มีผิด
‘บ บุรุษผู้นี้แตกต่างจากท่านโชกุนไปโดยสิ้นเชิง!’
แม้ทิโมธีจะไม่ต้องการยอมรับเพียงใดแต่เขาก็ต้องยอมรับมันให้ได้ บุรุษตรงหน้าเขายิ่งใหญ่เกินกว่าที่คิมูระจะต่อกรด้วยได้มากเหลือเกิน
รัศมีที่โอบล้อมมันต่างกัน
ราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นราชันย์ มีเพียงบัลลังก์เท่านั้นที่เหมาะสมกับเขา บุรุษผู้นี้กล่าวด้วยวาจาสิทธิ์ขาดทางอำนาจดังนั้นทิโมธีที่ถูกปรามไม่อาจพูดอะไรออกไปได้
‘ทิโมธี สงบสติ! ตั้งสติเร็วเข้า! โชกุนของเจ้ากำลังโดนดูถูกอยู่ หากเจ้าจำยอมในตอนนี้นั่นเท่ากับเจ้ากำลังทำให้ท่านโชกุนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้!’
ทิโมธีพยายามทำตัวเข้มแข็งและพยายามทำตัวเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่มีความสามารถ
“องค์ราชันย์ แม้ท่านจะไม่พอใจกับสิ่งนี้แต่คำพูดของท่านนั้นรุนแรงเกินไปมาก ข้าต้องการให้ท่านขออภัยที่กล่าววาจาเช่นนั้นกับโชกุนข้า ไม่เช่นนั้นเบอร์โรลจะขอประกาศทำสงครามกับ…”
แต่ก่อนที่ทิโมธีจะทันได้พูดจนจบประโยค ผู้บัญชาการเจมส์ก็พุ่งพรวดเข้ามาในห้องโถงราชันย์อย่างเร่งรีบเสียก่อน
“องค์ราชันย์ ข้ามีเรื่องมารายงานขอรับ!”
“มีอะไร?”
“ศัตรูได้เคลื่อนตัวจากใต้ดินและเริ่มก้าวเข้าสู่ดินแดนของเราแล้วขอรับ!”
ขณะนั้นเอง ทิโมธีรู้สึกว่าโลกของเขากำลังกลับหัวกลับหางตาลปัตรไปหมดจนเขาอยากจะกัดลิ้นตายเสียให้พ้น ๆ
‘นายท่านไม่สามารถอดใจรอได้เชียวหรือ! ช่างเป็นสิ่งที่น่าสลดใจนัก…’
ขณะที่ทิโมธีกำลังคิดเช่นนั้น คังชอลอินเพียงยิ้มเยาะพลางหันหน้ากลับมาที่ทิโมธีอีกครั้ง
“เจ้าจะพูดอะไร? จงพูดต่อเสียให้จบ”
ทิโมธีไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้เนื่องจากความอับอาย
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ดินแดนเบอร์โรลจะขอประกาศทำสงครามกับท่าน องค์ราชันย์แห่งลาพิวต้า”
ทิโมธีประกาศทำสงครามโดยที่ศีรษะของเขายังคงก้มโค้งคำนับ มันเป็นเหมือนดั่งบทละครที่ถูกเขียนขึ้นในประวัติศาสตร์ ที่มีการประกาศทำสงครามและการบุกรุกทางกองกำลังในเวลาพร้อมกัน
.
.