The Overlord of Blood and Iron – ตอนที่ 4: การกลับมา (2)

ตอนที่ 4: การกลับมา (2)

 

ภารกิจแรกของคังชอลอินหลังได้กลับมายังอดีตคือการจัดระเบียบชีวิตตัวเองก่อนการอัญเชิญครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น และอย่างแรกก็คือการเลิกทำงานในบริษัทที่ทั้งสกปรกและเต็มไปด้วยการคอรัปชั่นแห่งนี้ซะ

 

‘ไม่มีอะไรให้ต้องอดทนกับบริษัทแบบนี้อีกต่อไป’

 

ก่อนการอัญเชิญครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น คังชอลอินเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้ต่างไปจากคนอื่นเท่าไหร่ เป็นเพียงชายหนุ่มที่ดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงตัวเองในทุกวัน

 

เขายิ้มให้กับความคิดของตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปในออฟฟิศ

 

ทุกสายตาจับจ้องมาที่คังชอลอินทันทีที่ปรากฏตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังประหม่าเหมือนชาวนากลุ่มหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับขุนนางใหญ่เพียงลำพัง

 

“เห้ย ไอ้สวะ!”

 

คิมมินชอลที่กำลังเดินวนไปมาพร้อมไม้กอล์ฟในมือคำรามขณะจดจ้องสายตามาที่เขา

 

“ว่าไง? ไอ้สวะ”

 

คังชอลอินตอบกลับ

 

“… !”

 

ทั้งออฟฟิศถูกความเงียบเข้าครอบงำในทันใด

 

‘คังชอลอิน ในที่สุดหมอนี่ก็เป็นบ้าไปแล้ว หมอนี่ต้องเป็นบ้าเพราะเครียดมากไปแน่ ๆ’ พนักงานชายบางคนแอบคิดอยู่ในใจ

 

‘เขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่?’

 

‘ท่านประธานเป็นอันธพาลนะ คังชอลอินจะไม่เป็นอะไรแน่ใช่ไหม?’ และสิ่งนี้คือความคิดจากพนักงานหญิง

 

“อะไรนะ? “ว่าไง ไอ้สวะ?” งั้นเหรอที่แกพูดออกมา?”

 

“ก็ใช่ไง ไอ้สวะ”

 

คิมมินชอลเหมือนเลือดสูบฉีดไปทั่วทั้งตัว ใครจะไปคาดคิดว่าประธานบริษัทจะถูกพนักงานทดลองงานที่ไม่แม้แต่จะเข้าสู่ “โลกแห่งความเป็นจริง” ของการทำงานได้สำเร็จพูดจาหยาบคายด้วยขนาดนี้

 

“แก ไอ้แมลงฝึกงานจิ๊บจ๊อย! คิดว่าตอนนี้กำลังพูดกับใครอยู่ห๊ะ?!”

 

“ใครที่ว่านี่หมายถึงใคร? ใช่ไอ้เวรอ้วน ๆ ที่มีเงินนิดหน่อยไหม? หรือว่าอันธพาล? พวกนักเลง?”

 

หลายคนที่เคยใช้หมัดเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวมักจะตอบสนองต่อคำว่า “นักเลง” กันอยู่บ้าง พวกผู้ชายที่มีจิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญมักชอบเรียกตัวเองว่าพวกนักเลงเพื่อแสดงความเป็นใหญ่

 

แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี

 

ในสายตาของคังชอลอินแล้วใครก็ตามที่แสวงหาผลประโยชน์จากการใช้ความรุนแรงก็ไม่ต่างอะไรจากพวกขยะ

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกแก๊งหลังจากยุค 90 ที่ใช้กฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของพวกตัวเอง

 

คิมมินชอลคือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบต่อตัวอย่างเลว ๆ พวกนั้น

 

“เอาล่ะ มีอะไรให้เรียกอีกได้บ้างนะนอกจากอันธพาล พวกถ่อยงั้นเหรอ?”

 

คังชอลอินที่ไม่สะทกสะท้านต่ออารมณ์โกรธของประธานบริษัทที่เป็นเหมือนดั่งปีศาจยังคงสบประมาทเขาไม่หยุด

 

ในที่สุดคิมมินชอลที่ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปก็ระเบิดอารมณ์ออก

 

“ไอ้บัดซบ!”

 

ไม้กอล์ฟที่อยู่ในมือคิมมินชอลหลุดออกจากมือพร้อมด้วยเสียง “วืด” ที่ดังขึ้นกลางอากาศ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในพริบตาอย่างไรก็ตามไม้กอล์ฟนั่นไม่ได้สร้างความเสียหายให้คังชอลอินแต่อย่างใด

 

“ห๊ะ?”

 

คิมมินชอลมองไปรอบ ๆ

 

“พลาดนะ”

 

คังชอลอินหัวเราะเยาะใส่คิมมินชอล เขาหลีกเลี่ยงไม้กอล์ฟที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยการเอนตัวหลบไปด้านข้างเล็กน้อย

 

“ไอ้เวรเอ้ย!”

 

คิมมินชอลหน้าขึ้นสีด้วยความโกรธก่อนจะพุ่งเข้าหาคังชอลอิน แต่เขาไม่แม้แต่จะสัมผัสกับปลายเสื้อของคังชอลอินได้เลย

 

มันไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร

 

คังชอลอินได้รับการยอมรับจากคนอื่นถึงความแข็งแกร่งและพลังทางกายภาพ แม้จะอยู่ในร่างนี้แต่เขาก็ยังคงเป็นคังชอลอิน อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเป็นนักมวยมืออาชีพถึงจะเข้าข่ายเป็นภัยคุกคามต่อเขา

 

“แฮ่ก ๆ … แก ไอ้หนูสกปรก”

 

คิมมินชอลหายใจหอบพร้อมกัดฟันกรอดด้วยความไม่พอใจ

 

“ก็แค่คนไร้ความสามารถคนหนึ่งสินะ หึ ไม่แม้แต่จะโดนตัวฉันได้เลยด้วยซ้ำ”

 

คังชอลอินยิ้มเยาะ

 

“ยิ่งไปกว่านั้น …”

 

การแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปในทันใด ดวงตาที่แผดเผาของเขาจ้องทะลุเหมือนจะแทงหัวใจของอีกฝ่าย

 

“ถ้าคิดที่จะใช้ไม้กอล์ฟนี่อีกแม้แต่ครั้งเดียว มันจะไม่สนุกแบบนี้อีกแน่”

 

มันเป็นคำเตือนอย่างชัดเจน

 

อย่างไรก็ตามคิมมินชอลที่ถูกครอบงำไปด้วยความโกรธไม่สามารถตัดสินใจจำยอมต่อคำเตือนนั้นได้ ท้ายที่สุดเขาก็คว้าไม้กอล์ฟขึ้นมาแล้วเหวี่ยงมันออกไปอีกครั้ง เป็นที่ชัดเจนว่าชายคนนี้ไม่มีทั้งสามัญสำนึกหรือมารยาทใด ๆ

 

“ตายซะเถอะ!”

 

อึก!

 

“อ่า!”

 

คิมมินชอลล้มลงพื้นไปพร้อมเสียงโอดครวญและความสามารถการหายใจที่ติดขัด กำปั้นที่พุ่งเข้ามาได้ทำลายไปถึงส่วนกระเพาะอาหาร

 

“อ๊วกกก…”

 

แรงกระแทกนั้นรุนแรงมากถึงขนาดทำให้คิมมินชอลต้องอาเจียนสตูว์ปลาที่เขากินเป็นอาหารกลางวันในวันนี้ออกมาจนหมด

 

“ไม่ได้โดนกระแทกแรงเท่าไหร่เลยนี่ สงสัยเพราะมีพุงอ้วน ๆ นี่คอยช่วยบังไว้ให้ล่ะสินะ”

 

คังชอลอินสบประมาทคิมมินชอลเป็นครั้งสุดท้าย

 

“บอส เป็นหรือเปล่าครับ?!”

 

พนักงานคนหนึ่งรีบวิ่งเข้าหาคิมมินชอลเพื่อเอาหน้า

 

“บอส! คังชอลอิน ไอ้เลวเอ้ย! รีบคุกเข่าขอโทษบอสเดี๋ยวนี้เลย!”

 

เขาเข้ามากล่าวโทษคังชอลอินด้วยอารมณ์รุนแรงเพื่อหวังว่าการกระทำในครั้งนี้จะนำเขาสู่ความประสบสำเร็จในหน้าที่การทำงานในอนาคต

 

คังชอลอินไม่ได้ตอบสนองอะไรต่อการกระทำของพนักงานชายคนนั้น มันไม่คุ้มค่าพอให้ลดตัวลงไปใส่ใจ

 

‘พวกมนุษย์ขยะ’

 

คนพวกนี้ก็เป็นเหมือนกันหมด ไอ้หมูอ้วนที่เหวี่ยงไม้กอล์ฟเพราะความโกรธ พนักงานที่แสร้งเข้ามาช่วยเหลือเพราะต้องการเป็นที่โปรดปรานของไอ้หมูตัวนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะวิจารณ์พนักงานชายที่คิดทำอะไรแบบนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไรที่จะพยายามทำทุกหนทางเพื่อให้มีชีวิตรอด แต่การละทิ้งความภาคภูมิใจและทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ่งสกปรกไม่ใช่สิ่งที่เขาโปรดปราน และเมื่อนึกถึงการกระทำของคิมมินชอลที่ผ่าน ๆ มาเขาก็ทำได้แค่ยิ้มอย่างขมขื่น

 

“แก ไอ้เลว ฉันจะฆ่าแก!”

 

คิมมินชอลที่ได้พนักงานชายเข้ามาช่วยเหลือและคุ้มกันจ้องเขม็งไปที่คังชอลอิน

 

“ไปเรียกผู้จัดการปาร์คมา ไปให้เขามาจัดการมันซะ!”

 

ผู้จัดการปาร์คเป็นคนจากแก๊งอันธพาลที่มาทำงานให้กับคิมมินชอลและกำลังคุมแก๊งเล็ก ๆ อยู่ในตอนนี้

 

“โอ้ กลัวเหลือเกินนะเนี่ย” คังชอลอินเย้ยหยัน

 

สถานการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิดแต่เขาก็ยังพยายามใช้ความรุนแรงอยู่เหนือเหตุผลในขณะประกาศกร้าวต่อหน้าผู้คน คังชอลอินกำลังสงสัยว่าคิมมินชอลเป็นเพียงคนโง่หรือเป็นคนที่ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้นอกเหนือจากความโกรธกันแน่

 

“ไอ้โง่เอ้ย ถ้าผู้จัดการปาร์คมาถึงล่ะก็…”

 

คิมมินชอลกล่าวอ้างถึงผู้จัดการปาร์คขึ้นมาซ้ำ ๆ เพื่อขู่คังชอลอิน ดูเหมือนว่าเขาจะมั่นใจมากว่าผู้จัดการปาร์คจะสามารถจัดการกับคังชอลอินได้

 

“อ่า ๆ ผู้จัดการปาร์ค!”

 

เมื่อมองเลยไปด้านหลังคังชอลอิน คิมมินชอลก็ได้เห็นคนที่เขาต้องการตัวมากที่สุดเข้า บังเอิญพอดีกับที่ผู้จัดการปาร์คเข้าออฟฟิศมาในวันนี้

 

“ท่านประธาน?”

 

ผู้จัดการปาร์คดูประหลาดใจเล็กน้อยกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดแต่เขาก็ยังมีสติมากพอที่จะสั่งให้ลูกน้องเข้ามาช่วยพยุงคิมมินชอล

 

“โอ้ ผู้จัดการปาร์ค ไอ้เวรนี่แหละที่มันทำร้ายฉัน!”

 

คิมมินชอลร้องครวญครางในขณะค้ำตัวเองและลงน้ำหนักไปที่ผู้จัดการปาร์ค มองข้ามการกระทำของตัวเองที่เหวี่ยงไม้กอล์ฟเพื่อโจมตีอีกฝ่ายไปโดยสิ้นเชิง

 

“ไอ้เวรนี่แค่โดนฉันสอนงานนิด ๆ หน่อย ๆ ก็มาสบถใส่แล้วยังต่อยฉันอีก!”

 

“บอส แล้วเรื่องทั้งหมด…”

 

“ไม่ต้องไปสนเรื่องราวทั้งหมด สนแค่มันต่อยฉันก็พอ! ไปจัดการมันซะ!”

 

คิมมินชอลโวยวานจนเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมพลางโบกสะบัดแขนไปมาเหมือนเด็กร้องขอขนมไม่มีผิด

 

‘ช่างโง่เง่าและปัญญาอ่อนจริง ๆ กล้าที่จะทำตัวแบบนี้ต่อหน้าพนักงานทุกคนได้ยังไง?’

 

ในตอนนั้นผู้จัดการปาร์ครู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมากแต่เขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความต้องการของบอสไปได้ คิมมินชอลเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับเขาและครอบครัวซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแก๊งเล็ก ๆ ที่เขากำลังคุมอยู่ในตอนนี้

 

ต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย

 

ผู้จัดการปาร์คตัดสินใจที่จะทำความสะอาดออฟฟิศก่อนเป็นอย่างแรก

 

“ทุกคนมัวมุงดูอะไรกัน?!” เมื่อผู้จัดการปาร์คแผดเสียง ทุกสายตาก็รีบก้มกลับไปที่โต๊ะทำงานตัวเองในทันที

 

“ทำงานกันไปอย่างเงียบ ๆ แทนการนินทาที่ไม่จำเป็นซะ แล้วก็ผู้จัดการโอ”

 

ผู้จัดการปาร์คชี้ไปยังพนักงานชายที่เข้ามาช่วยคิมมินชอลในตอนแรก

 

“พาท่านประธานไปที่ห้องของเขาซะ”

 

“โอ้ เอ่อ ครับ! บอสครับ ไปกันเถอะครับ”

 

ผู้จัดการโอพยายามช่วยพยุงคิมมินชอลผู้มีน้ำหนักที่มากเกินพอดี

 

“ฮ่า ๆ แกเสร็จแน่ไอ้สารเลว!”

 

ระหว่างทางเดินกลับเข้าห้องทำงาน คิมมินชอลไม่วายแขวะคังชอลอินอีกครั้ง ภาพการพ่ายแพ้ของคังชอลอินที่ถูกผู้จัดการปาร์คเล่นงานได้ฝังแน่นอยู่ในหัวเขาเป็นที่เรียบร้อย

 

“โอ้ อย่างนั้นเหรอ?”

 

คังชอลอินเฝ้าดูสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ พลางสงสัยว่าเขาทนทำงานถึง 10 เดือนที่บริษัทนี้มาได้อย่างไร

 

“นี่ ไอ้เด็กฝึกงาน”

 

ในขณะที่คังชอลอินกำลังสงสัย ผู้จัดการปาร์คก็เอ่ยเรียกเขา

 

“ควรเรียนรู้ที่จะกลืนความภาคภูมิใจของตัวเองลงไปซะหน่อยนะ แค่เพราะเขาพูดอะไรไม่เข้าหูก็ใช่ว่าจะไปทำตัวแบบนั้นได้ เขาเป็นผู้ใหญ่กว่านาย นายก็ควรเห็นด้วยไปกับเขาแล้วก็ไม่ต้องไปขัดใจอะไรเขาสิถึงจะถูก”

 

แม้ผู้จัดการปาร์คจะตำหนิคังชอลอินแต่เขาก็ดูไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่บอสต้องการ เขารู้ถึงความผิดของประธานคิมมินชอลดีเพราะเขาเองก็ได้รับความเครียดสะสมอย่างมากมาจนถึงตอนนี้เช่นกัน แม้ว่าเขาจะทำงานให้กับคิมมินชอลแต่เขาก็เข้าใจความโกรธที่พนักงานทดลองงานคนนี้กำลังรู้สึกได้เป็นอย่างดี

 

‘งั้นก็ตวาดใส่ไปสักหน่อยแล้วปล่อยไปก็แล้วกัน’

 

ผู้จัดการปาร์คคิดเพียงลำพังในใจ นี่มันยุคใหม่แล้ว การใช้หมัดเพื่อแก้ปัญหาเป็นเรื่องที่ล้าหลัง สิ่งที่ฉลาดที่สุดสำหรับแก๊งอันธพาลที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้คือการสร้างสถานการณ์เพื่อให้คิมมินชอลพึงพอใจ อย่างไรก็ตามความตั้งใจดีทั้งหมดของผู้จัดการปาร์คกลับต้องสูญสลายไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจจากพนักงานตรงหน้า

 

“ผู้ใหญ่บ้าบออะไรกัน?”

 

คังชอลอินเอ่ยถาม

 

“ในสายตาของพวกแก ไอ้หมูอ้วนนั่นคือผู้ใหญ่แล้วอย่างนั้นเหรอ? เอาล่ะ ถ้าให้เดาสำหรับพวกนักเลงแล้วคนที่มีเงินก็คือผู้ใหญ่งั้นสินะ”

 

เส้นเลือดนูนโป่งขึ้นที่หน้าผากของผู้จัดการปาร์คทันทีที่ถูกสบประมาท

 

“เห้ย”

 

ผู้จัดการปาร์คจ้องไปที่คังชอลอิน

 

“ระวังปากไว้ด้วย คิดถึงตัวเองซะบ้าง นั่นเป็นวิธีที่จะทำให้นายมีชีวิตที่ยืนยาวได้ เข้าใจไหม?”

 

“กฏนั้นใช้ได้แค่กับนักเลงแบบพวกแกเท่านั้นแหละ”

 

คำว่า “นักเลง” เป็นจุดเริ่มต้นให้ผู้จัดการปาร์คต้องกำหมัดเหมือนที่คิมมินชอลคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่

 

“ไอ้หมาบ้า!”

 

“อยากตายนักหรือไง?”

 

ดูเหมือนว่าลูกน้องของผู้จัดการปาร์คจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนลูกพี่ตัวเองหลายเท่า

 

“ไอ้สวะ เมื่อกี้แกเรียกบอสของเราว่านักเลงงั้นหรอวะ?”

 

“โอ้ ยิ้มอยู่ด้วย? อยากให้ฉันเล่นหน้าแกให้เละนักใช่ไหม?”

 

บรรยากาศแห่งการคุกคามก่อตัวขึ้นราวกับว่าพวกเราพร้อมจะปล่อยหมัดกันได้ทุกเมื่อ

 

“เฮ้อ ฉันว่าจะปล่อยนายไปดี ๆ แล้วเชียวแต่ดูเหมือนต้องเรียกมาปรับทัศนคติกันสักหน่อยแล้วในวันนี้” ผู้จัดการปาร์คยังคงนิ่งสงบและใจเย็น เขาไม่ปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำแม้จะโดนสบประมาทอยู่ก็ตาม

 

“ตามฉันขึ้นไปบนดาดฟ้า”

 

ผู้จัดการปาร์คชี้ไปยังประตูของออฟฟิศ

 

“ไม่ ไม่เอาแบบนั้น” คังชอลอินตอบ “พวกแกนั่นแหละที่ต้องตามมา” จากนั้นเขาก็เดินออกจากออฟฟิศไปก่อน

 

“เด็กอะไรกัน…?”

 

ผู้จัดการปาร์คยิ้มเย้ยหยันให้กับสถานการณ์ไร้สาระในตอนนี้

The Overlord of Blood and Iron

The Overlord of Blood and Iron

Author:
มหาศึกจอมราชันย์ The Overlord of Blood and Iron บทนำ คังชอลอิน จอมราชันย์ผู้แกร่งกล้าจนใครต่างต้องสยบ เหตุสูญเสียทำให้เขาต้องย้อนเวลากลับไปเพื่อพิชิตกับความท้าทายอีกครั้งในการขึ้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่และผู้ควมคุมทวีปแพนเจีย คังชอลอินจะสามารถเอาชนะจอมราชันย์ทั้งเก้าเพื่อปกครองทวีปแพนเจียได้หรือไม่?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset