ตอนที่ 48: ความโกรธกริ้วของลีแชริน
“ให้เขาเข้ามา ผู้ช่วยสเลจน์”
ลีแชรินที่รอคอยคังชอลอินมาตลอดและต้องการพบเจอกับ เขาจบแทบแย่
“มาแล้วหรือ คังชอลอิน”
สําหรับนางที่กําลังถูกโจมตีโดยราชันย์ที่เป็นพันธมิตรจากทั้งสองด้านของดินแดนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อกําลังจะได้เห็นหน้าของคังชอลอินที่กําลังเดินเข้ามา
อย่างไรก็ตาม ได้มีใครบางคนทําให้ความสุขนั้นของนางจางหายไป
“ ท่านหญิง เหตุใดท่านถึงปล่อยให้คนที่ไม่ปรากฏชื่อเข้ามายังดินแดนของเราได้ง่ายเช่นนี้”
นั่นก็คือผู้ช่วยส่วนตัวของนาง
“ข้าจะขอไปพบกับเขาผู้นั้นก่อนแล้วข้าจะตัดสินใจเองว่าเขาเหมาะสมที่จะได้พบกับท่านหญิงหรือไม่ โปรดรออยู่ที่นี่ก่อนเกิดขอรับ”
แม้เขาจะเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของลีแชรินทว่าเขากลับไม่มีท่าทีแสดงความเคารพต่อนางเลยแม้แต่น้อย
เหตุผลนั้นซับซ้อนอย่างมาก
ประการแรก พวกแคระเป็นพวกรังเกียจผู้หญิงและเชื่อว่าบุรุษนั้นยิ่งใหญ่และสําคัญยิ่งกว่าสตรี พวกเขามีบุคลิกที่ทั้งแข็งแกร่งและภาคภูมิใจอย่างมากซึ่งต่อให้แม้สตรีจะขึ้นมาเป็นผู้ปกครองก็ไม่อาจทําให้พวกเขายินยอมทําตามคําสั่ง
ดังนั้นสําหรับลีแชรินที่เลือกดินแดนนี้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แล้วนั้นคือหายนะสําหรับนางโดยแท้จริง
ประการที่สอง ลีแชรินไร้ซึ่งสง่าราศีใดๆ
ประการที่สาม สําหรับคนแคระแล้วภูเขานีด้าเวลเลียร์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และถึงแม้ราชันย์ของพวกเขาจะไม่เห็นด้วยที่จะเอามันกลับคืนมาแต่พวกเขาก็ไม่ยอมฟัง
คนแคระที่นี้คิดเพียงแต่จะเอามันกลับคืนมาให้จงได้
ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ล้วนนําไปสู่การเย้ยหยันจากกลุ่มคนแคระและการทําร้ายราชันย์ของตนเองซึ่งก่อให้เกิดการพิบัติ
“เจ้ากล้าดี” ลีแชรินคิดขณะที่นางเริ่มรู้สึกถึงความเดือดดาลที่เกิดขึ้นในจิตใจ
จากจุดเริ่มต้นของการอัญเชิญครั้งใหญ่ นางเต็มไปด้วยความสับสนตั้งแต่ต้นมาโดยตลอด ความรู้สึกที่ถูกกักเก็บไว้ทั้งหมดของนางเป็นดั่งแรงระเบิดจากภูเขาไฟที่เพียงรอคอยเวลาเพื่อการปะทุครั้งใหญ่
ไม่เพียงเท่านั้นแต่เมื่อได้ยินการใช้ชีวิตในฐานะราชันย์ของคังชอลอินด้วยแล้ว นางรู้สึกถูกหยามเกียรติและสะอิดสะเอียนกับการกระทําของสเลจน์ผู้ช่วยส่วนตัวของนางเป็นอย่างมาก
“ใจเย็น ๆ” ลีแชรินกระตุ้นตัวเองให้รู้สึกถึงความสงบก่อนจะกระทําการรุนแรงใดๆ ต่อผู้ช่วยส่วนตัว
ผู้ช่วยสเลจน์ใกล้จะก่อการกบฏเพื่อต่อต้านนางอย่างเต็มทนเพื่อดินแดนของโดราโด้ หากความโกรธแค้นของนางในตอนนี้เกิดการปะทุ ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขาไม่คิดจะลุกขึ้นมาสู้กับนางที่แม้จะเป็นราชันย์ของดินแดนแห่งนี้ก็ตาม
“ผู้ช่วยสเลจน์” ลีแชรินพูดขณะปิดตาด้วยความเหนื่อย
“เชิญพูด” สเลจน์ตอบโต้ด้วยลักษณะที่ไม่สุภาพ
“คนที่อยู่ที่นี่คือคนที่ข้ารู้จักจากบ้านเกิดที่ข้าจากมา เขาไม่ใช่คนน่าสงสัย ปล่อยให้เขาเข้ามาได้”
“ท่านหญิงแน่ใจหรือ?”
“ใช่”
“แล้วข้าจะไว้วางใจในสิ่งที่ท่านหญิงพูดได้อย่างไร?”
ขณะนั้นเองลีแชรินรู้สึกว่าเลือดทั้งหมดในร่างกายของนางได้พุ่งตัวทะลุเดือดและรู้สึกว่าหัวของนางกําลังจะระเบิดออกจากบันดาลโทสะที่ได้รับ
เดิมทีลีแชรินนั้นเป็นบุคคลที่อ่อนโยนอย่างมาก หากนางสามารถเป็นคลั่งได้เพราะสเลจน์ ใครต่างก็ต้องมองออกถึงทัศนคติแย่ที่เขาที่ต่อนางว่ามันช่างแย่เพียงใด
“ฟู่วว…” นางพ่นเสียงลมหายใจมาเสียงดัง
“ผู้ช่วยส่วนตัว”
“ขอรับ?”
“ข้าไม่มีสิทธิ์ได้พบกับสหายข้าเลยหรืออย่างไร?”
“แน่นอนว่าท่านมีสิทธิ์ แต่เพราะท่านหญิงไม่คิดนํานีด้าเวลเลียร์กลับคืนมา ใครจะสามารถบอกได้ว่าท่านไม่ได้คิดนํากําลังจากภายนอกเข้ามาเพื่อเข่นฆ่าพวกเรา?”
ราวกับว่าเขาไม่เคยคิดว่านางคือราชันย์ หากแต่คิดอยู่เสมอว่านางคือศัตรู
“เจ้ารู้วิธีนับหนึ่งแต่ไม่เคยไปถึงสอง” (เป็นสํานวนภาษา เกาหลีที่หมายถึงความงี่เง่า)
นางพยายามอดทนจนถึงที่สุดเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องมาดึงมีดหรือหอกปักไปที่หัวของเขา
“เฮ้อ .. นี่ท่านคิดจะสั่งสอนข้าหรืออย่างไร?”
“ข้าไม่ได้จะพยายามสั่งสอนอะไรเจ้าทั้งนั้น ผู้ช่วยสเลจน์ หากไม่มีข้าเจ้าคงไม่สามารถเข้าถึงคลังราชันย์เช่นนี้ได้ เช่นนั้น เจ้าก็คงไม่มีทางได้นด้าเวลเลียร์กลับคืน”
“ถ้าเจ้ายังไม่ยอมปล่อยให้เขาเข้ามา ข้าจะไม่ส่งทหารอีกต่อไป”
นี่คือสิ่งสุดท้าย ไฟที่จะทําให้ชนะคนอื่นที่แชรินสามารถลงวางได้
แม้พวกเขาจะไม่เคารพนาง แต่ความจริงที่ว่านางเป็นราชันย์และเจ้าของสิทธิ์ดินแดนด้วยแกนวิญญาณที่นางมีนั้นก็ยังเป็นความจริง
สร้อยคอทองคําที่นางใส่อยู่ตอนนี้คือแกนวิญญาณสําหรับดินแดน แม้แต่ผู้ช่วยก็ไม่สามารถพรากมันไปจากนางได้
“ฮ่าๆๆ ตอนนี้ถึงกลับต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมกันแล้วหรือ ทั้งท่านและข้า?” สเลจน์หัวเราะราวกับว่านางกําลังพูดอะไรที่ไร้สาระ
“ท่านหญิง หากท่านหญิงทําเช่นนั้น ข้าก็ยังมีอีกวิธี”
“หากเจ้าไม่ต้องการทําเช่นนั้นก็จงปล่อยเขาเข้ามา ก่อนที่ข้าจะนําแกนวิญญาณนี้กลับไปพร้อมกับข้ายังโลกอีกฝั่ง”
“หึ ๆ..”
นางสามารถเอาชนะในบทสนทนานี้ได้ ทว่าคําพูดสุดท้ายของสเลจน์ก่อนที่จะจากไปทําให้ใจของนางสะเทือนเป็นอย่างมาก
“ขอรับ ข้าจะเชื่อฟัง “ผู้นํา” ที่ยอดเยี่ยมของพวกเรา ท้ายที่สุดแล้วท่านจะทําอะไรกับชายเพียงคนเดียวได้? ฮ่าๆ เราจะปล่อยให้เขาเข้ามาเมื่อไหร่ยังไงก็ได้ขอรับ”
“…!”
เพียงคนเดียว ประโยคที่ทําให้จิตใจของนางสั่นไหว ครั้งก่อนที่คังชอลอินบอกว่าเขาไม่คิดที่จะเสริมกําลังทัพให้แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะกล้ามาคนเดียวเช่นนี้
“ชอลอิน เจ้าคิดที่จะทําอะไรกันแน่?”
หลังจากได้ทําข้อตกลงร่วมกัน ลีแชรินไม่อาจรู้ได้จริงๆว่าเขาคิดจะทําอะไร นางเพียงแค่อยากพบเขาโดยเร็วที่สุดเพียงเท่านั้น
จากนั้นก็มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้องโถงราชันย์
“ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
ชายคนหนึ่งที่มีโซ่แขวนอยู่ตรงเข็มขัดปรากฏตัวพร้อมรอยยิ้ม ไม่ใช่ เขาไม่ใช่คังชอลอิน
เมื่อชายคนนั้นมองมาเห็นสายตาของนางที่กําลังเบิกกว้าง เขาจึงรีบส่งสัญญาณอย่าให้นางทําเหมือนตกใจที่พบกัน จากนั้นนางก็ตระหนักได้ว่าชายผู้นี้คือโพดอลส์กี้ที่คังชอลอินส่งมา
“อา…แชริน การได้พบเจอกับเจ้าในสถานที่ที่ต่างไปเช่นนี้ ของเรายิ่งชวนให้น่าประหลาดใจนัก เนื่องจากเราไม่ได้พบเจอกันมานาน ข้าจะขอจุมพิตเจ้าด้วยความคิดถึงจะได้หรือไม่?”
“จ-จุมพิตรี?!”
“ฮ่าๆ เจ้านี่ช่างน่ารักเสียจริง ยังเขินอายเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน”
โพดอลส์กี้ยิ้มกว้างอย่างมีความสุขขณะเดินเข้าไปใกล้นาง จากนั้นเขาก็จูบเบาๆลงที่แก้มทั้งสองของนาง
มันคือการ “จูบทักทาย” ที่หลายคนทําในประเทศตะวันตกบนโลกอีกฝั่ง
[สารจากราชันย์คังชอลอินนะขอรับ]
โพดอลส์กี้กระซิบบอกกับลีแชรินโดยไม่ขยับริมฝีปาก มันเป็นทักษะที่ยากมากที่จะเชี่ยวชาญได้
[ตอนนี้นายท่านอยู่ในดินแดนของท่านแล้ว]
นางแปลกใจเป็นอย่างมากที่ได้ยินเช่นนี้
[อย่าแสดงตัวให้เป็นที่น่าสงสัย นายท่านส่งข้ามาที่นี่เพื่อให้ท่านปลอดภัย]
หลังจากส่งต่อสารของคังชอลอินเสร็จเขาก็เลื่อนมือไปวางไว้บนไหล่ทั้งสองข้างของนางแล้วพูดขณะหัวเราะ
“ฮ่า ๆ ๆ กลิ่มหอมจากตัวเจ้ายังคงรัญจวนอีกเช่นเคย จะทําเช่นไรดี ตอนนี้ข้าคงไม่สามารถหยุดจูบเจ้าได้แล้วล่ะสิ”
และในขณะที่เขาพูดแบบนั้น เขาก็เอนกายลงไปอีกครั้งเพื่อจูบแก้มของนางและพูดว่า
[คืนนี้นายท่านจะมาพบกับท่านเป็นการส่วนตัวนะขอรับ]
ในที่สุดลีแชรินก็โล่งใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ประมาณแปดชั่วโมงก่อน
“หึม…นักผจญภัยงั้นหรือ?”
ใกล้กับดินแดนโดราโด้ มีนักผจญภัยประมาณสามสิบคนกําลังทําการตรวจสอบอากรที่ได้รับ
“ใช่”
ผู้ชายที่พูดตอบรับมานั้นมีความสูงประมาณ 190 ซม. เขามีหนวดเคราขนาดใหญ่และมีศีรษะล้าน เขามีร่างกายที่มีขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม แน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากบิลลี่ที่เคยเข้าร่วมในการออกตามล่าพิชิตมังกรพีคอค หนึ่งในทีม “ผู้พิชิต” เมื่อคราวก่อน
“แล้วเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
คนแคระที่เป็นผู้ตรวจสอบมองดูเขาด้วยควาไม่ไว้วางใจพร้อมด้วยการแสดงออกที่บ่งบอกถึงความอึดอัด
“ข้าเห็นจากใบประกาศงาน ดูเหมือนว่าราชันย์ที่นี่กําลังเปิดรับนักผจญภัยเพื่อให้มาต่อสู้เพื่อท่านในศึกสงคราม”
“โอ้ เช่นนั้นเจ้าก็คือทหารรับจ้างอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่”
“ทองคําสองแท่งต่อวัน เจ้าจะต้องอยู่แต่ในพื้นที่ที่กําหนดไว้สําหรับพวกเจ้าเท่านั้น เข้าใจหรือไม่?”
“ทําไมต้องเป็นที่นั่นด้วย? ข้าเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าราชันย์ที่ว่าจ้างพวกเราคือใคร”
“นั่นไม่เกี่ยวกับงาน” คนแคระตะโกนตอบ
“ราชันย์ของพวกข้าไม่คิดที่จะพบปะกับคนเช่นพวกเจ้า หากเจ้าต้องการทํางานที่นี่ก็จงทําตามกฏที่กําหนด ถ้าไม่เช่นนั้นก็จงออกไป!”
หลังจากได้รับการปฏิบัติที่โหดร้ายจากเขา นักผจญภัยต่างพากันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ไม่มีเหตุผลให้ต้องโกรธเคืองขนาดนั้นสักหน่อย” บิลลี่กล่าวกับนักผจญภัยคนอื่นพลางเกาหัวล้านๆของเขา
“เอาล่ะ สิ่งเดียวที่สําคัญสําหรับพวกเราจริงๆคือเงิน ตกลง เราจะยอมอยู่ในพื้นที่ที่กําหนดไว้เป็นอย่างดี”
“ดี” คนแคระที่เป็นผู้ตรวจสอบพยักหน้าและหลังจากกล่าวคําเตือนพวกเขาอีกสองสามอย่างเสร็จก็ยอมปล่อยให้พวกเขาเข้าไป
“เฮ้ย พวกเจ้า มาทางนี้สิ”
นักรบคนแคระเรียกให้พวกเขาเดินไปหาและพาพวกเขาไปยังพื้นที่ที่ห่างไกล มันเป็นสถานที่เล็กๆที่มีพื้นที่อยู่อย่างจํากัด
“หัวหน้า” บิลลี่กระซิบกับชายที่อยู่ด้านข้างซึ่งก็คือคังชอลอิน “ไอ้พวกคนแคระนั้นก็ดูช่างไม่มิตรนัก วิธีการที่พวกเขามองพวกเราก็ช่างน่าอึดอัดใจจริงๆ หากเป็นเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าอํานาจของท่านลีแชรินที่นี่ต้องย่ําแย่เป็นอย่างมาก”
“ที่นี่ช่างแปลกมาก มันแตกต่างไปจากดินแดนของท่านโดยสิ้นเชิง
ข้อมูลเชิงลึกของบิลลี่เป็นจุดสําคัญ
“เจ้าพูดถูก”
“ตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ”
“เช่นนั้นเราจะทําให้มันเป็นเรื่องง่าย”
“แน่นอน ไม่มีสิ่งใดที่ท่านผู้นําของเราทําไม่ได้”
หลังจากการตามล่ามังกรพีคอคเมื่อครั้งก่อน บิลลี่ได้ตะลึงไปกับความแข็งแกร่งของคังชอลอิน นับตั้งแต่นั้นมา บิลลี่ก็มองคังชอลอินด้วยความเชื่อมั่นและชื่นชมอย่างล้นเปี่ยม
“เอาล่ะ พวกเจ้าทุกคนจงเงียบก่อน ข้าจะขอคิดอะไรสักหน่อย”
“ขอรับ”
บิลลี่ส่งสัญญาณให้คนอื่นอยู่กันเงียบๆในทันที
โดราโด้เป็นดินแดนที่ยอดเยี่ยมมากแต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นคงไม่มีอะไรที่จะเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว
ความตึงเครียดลอยแผ่กระจายอยู่ทั่วทุกอณูในอากาศ
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นทหารรับจ้างแต่วิธีการที่คนแคระปฏิบัติต่อพวกเขานั้นก็แทบจะไม่เข้าค่ายกับคําว่ายอมรับแต่อย่างใด
แม้พวกเขาจะได้เงินมาใช้ แต่บทบาทของทหารรับจ้างก็คือการต่อสู้กับศัตรู แต่ความจริงที่ว่าคนแคระพวกนี้กําลังพยายามทําให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่สามารถพบกับบุคคลที่ว่าจ้างพวกเขาได้นั้นช่างไร้สาระสิ้นดี
“พวกนี้กําลังกลัวว่านางจะได้รับอํานาจจากการผูกพันธมิตรกับนักผจญภัย ช่างไร้สาระดีจริงๆ
คังชอลอินรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของลีแชรินหากแต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคน
มันเป็นโชคไม่ดีตั้งแต่แรกที่มีผู้หญิงเข้ามาปกครองดินแดนของคนแคระเช่นนี้ และสําหรับคนที่ทั้งไร้เดียงสาและจิตใจดีอย่างลีแชรินด้วยแล้วก็เห็นได้ชัดว่านางคงไม่คิดต่อสู้หรือข่มขู่คนแคระแต่อย่างใด
แน่นอนว่าถ้าเป็นเขา เขาคงใช้เวลาไม่นานเพื่อเอาชนะความหยาบคาบของคนแคระที่คิดดูหมิ่นราชันย์และแสดงให้พวกเขาเห็นตําแหน่งหน้าที่ของตัวเองอย่างชัดเจน แต่สําหรับคนอย่างลีแชรินแล้วการทําแบบนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้เขาสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้แล้วว่าทําไมนางถึงต้องการความช่วยเหลือจากเขามากถึงเพียงนี้
“ถ้าข้ามาที่นี่พร้อมกับกองทัพก็ยิ่งเป็นการดูหมิ่นนางมากยิ่งขึ้น มันเป็นความคิดที่ดีจริงๆที่คิดพานักผจญภัยกลุ่มนี้มาที่นี่แทน” เขาคิด
ผู้นําที่พยายามนํากําลังมาจากภายนอกจะไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป และตอนจบพวกเขานั้นจะน่าเศร้าใจเป็นอย่างมาก
ไม่เพียงแค่นั้น แต่ข้อตกลงได้ระบุไว้อย่างชัดเจนด้วยว่าเขาจะช่วยให้แชรินพ้นจากสถานการณ์ที่ยากลําบากนี้และไม่สร้างความเป็นผู้นําที่ควบคุมโดยกองกําลังจากภายนอก
“ตอนนี้การกวาดล้างกองกําลังท้องถิ่นมีความสําคัญยิ่งกว่า เราต้องการอํานาจเพื่อควบคุม
อย่างที่คาดไว้สําหรับผู้ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญมาก่อน คังชอลอินสามารถเห็นสิ่งที่เขาต้องทําเป็นอย่างแรกได้
เขาจําเป็นต้องสร้างความสงบในกองทัพของพวกเขาให้เกิดขึ้นให้ได้ก่อนคิดจะไปต่อสู้กับคนอื่น
ไม่มีทางที่สงครามจะดําเนินไปได้ด้วยดีหากยังมีข้อพิพาทภายในเกิดขึ้นไม่รู้จบ
คังชอลอินกําลังเฝ้ารออย่างช้าๆ เพื่อให้ค่ําคืนได้มาถึงในที่สุด เมื่อนั้นเขาจะสามารถสนทนากับแชรินได้
และในตอนนั้นเองที่เขาเหมือนจะได้กลิ่นสาบเลือดจากดาบสั้นสองเล่มที่ประดับอยู่บนเข็มขัดของตัวเองลอยคลุ้งออกมา