ณ แดนสวรรค์ที่มีเหล่าเทพเซียนนับล้านอาศัยอยู่
ภายในศาลาริมน้ำมีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งกำลังนั่งจิมชาอยู่พร้อมกับฟังเสียงของสายลมที่พัดผ่าน ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ
”ช่างน่าเบื่อเสียเหลือเกิน เหตุใดแดนสวรรค์ถึงไม่มีสิ่งใดให้ข้าทำเลยข้าอุส่าฝึกตนบ่มเพาะเต๋าแห่งสวรรค์นานนับพันปีเพื่อที่จะกลายเป็นเทพและขึ้นมาอยู่บนสรวงสวรรค์”
เมื่อพูดจบชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ
”แล้วไหนหล่ะสงครามสวรรค์ที่ถูกกล่าวถึงในตำนาน ? ไหนหล่ะเหล่านางฟ้าที่งดงามนับแสนที่อยู่ข้างกาย ? ไหนกันหล่ะเหล่าปีศาจที่น่ากลัวที่คอยบุกยึดสวรรค์ ? เหตุใดสววรค์ถึงได้สงบสุขเยี่ยงนี้กัน !!”
ชายหนุ่มกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะพร้อมกับเกาหัว ในระหว่างนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับพูดออกมาด้วยท่าทางนอบน้อม
”องค์จักรพรรดิ ท่านแม่ทัพหวางต้องการขอพบท่านคะ”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินก็ลดมือลงเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ให้ท่านแม่ทัพ ตามข้าไปที่ห้องประชุมพร้อมกับเรียกเหล่าเสนาบดี เหล่าขุนนางทั้งหมด และขุนพลสวรรค์ทั้งหมดมาด้วยข้ามีเรื่องสำคัญที่จะประกาศ”
ทันทีที่นางฟ้ารับใช้ได้ยินก็ผงะเล็กน้อยก่อนจะก้มโค้งและเดินออกไป เมื่อคนรับใช้ออกไปแล้วชายหนุ่มก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกับพูดออกมาเบา ๆ
”อืม… ช่างเป็นวันที่ดียิ่งนัก”
……………………………………………….
เมื่อเวลาผ่านไปชายหนุ่มก็เดินมาถึงห้องประชุมก่อนจะนั่งลงบนบัลลังก์มังกรทองพร้อมกับจ้องเหล่าเสนาบดี และเหล่าขุนนางต่าง ๆ ที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะหันไปหาเหล่าขุนพลสวรรค์นับพันคนที่อยู่ด้านข้าง
อะแห่ม อะแห่ม
ชายหนุ่มไอออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขึงขัง
”ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้มิใช่เพราะมีเรื่องใหญ่อันใดมากมายนัก ข้าเพียงแค่จะบอกกับพวกเจ้าว่าข้านั้น จักรพรรดิสววรค์เทียนหลางจะขอสละราชบัลลังก์นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป !”
ทันทีที่คำพูดของชายหนุ่มจบลงทั่วทั้งห้องประชุมนั้นก็แตกตื่นขึ้นมาทันทีมีเหล่าผู้ใต้บรรชามากมายต่างเดินมาด้านหน้าบัลลังก์มังกรเพื่อไถ่ถามถึงเหตุผลที่เขานั้นได้สละบัลลังก์
”ท่านจักรพรรดิ เหตุใดท่านจึงได้สละบัลลังก์กัน ?”
”นั่นสิท่านจักรพรรดิ ตัวท่านนั้นก็ไม่ได้เจ็บป่วยแทบยังแข็งแรงขึ้นกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำยังคงปกครองสวรรค์ได้นานนับหมื่นปี เหตุใดท่านจึงต้องสละบัลลังก์ด้วยเล่า”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหล่าเสนาบดีและขุนนางเขาก็ถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับคิดในใจ
‘หมื่นปี ให้ตายเถอะ ! จะให้ข้าอุดอู้อยู่บนสวรรค์ที่ไม่มีอะไรทำตลอดหมื่นปีเนี้ยนะ ข้าไม่เอาด้วยหรอกเว่ย’
หลังจากความวุ่นวายโกลาหนต่าง ๆ เทียนหลางก็ยกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อบอกให้พวกเขานั้นสงบลง ก่อนจะพูดขึ้น
”ข้านั้นอยู่มานานเหลือเกิน แล้วอีกอย่างสวรรค์นั้นก็มิมีผู้ใดกล้ารุกราน หรือโจมตีอีกด้วยข้านั้นจึงเห็นสมควรแล้วที่จะให้มีคนมาสืบทอดบัลลังก์ต่อจากข้า”
‘ส่วนหนึ่งก็มาจากเพราะข้าเบื่อด้วยหล่ะนะ’
เทียนหลางคิดก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ และเอ่ยถึงชื่อคนที่จะมาสืบทอดบัลลังก์ต่อจากเขานั่นคือ องค์ชายลำดับที่สองของจักรพรรดิสวรรค์คนก่อน และเหตุที่องค์จักรพรรดิคนก่อนไม่ได้ยกบัลลังก์ให้กับองค์ชายสองนั้นก็เพราะในตอนนั้นเขาพึ่งเกิดมาได้เพียง 2 วันเท่านั้นส่วนองค์ชายหนึ่งก็ปฏิเสธหัวแข็งเพราะเขานั้นชอบการรบมากกว่าการปกครอง
และเหตุที่เทียนหลางได้ครองบัลลังก์ก็เพราะว่าเขานั้นสามารถต่อสู้ได้สูสีกับองค์จักรพรรดิคนก่อนเขาจึงได้รับการสืบทอดบัลลังก์มาโดยปริยาย
หลังจากที่เทียนหลางแจ้งเรื่องราวต่าง ๆ เสร็จสิ้นเขาก็เดินออกจากห้องประชุมตรงไปยังศาลาริมน้ำเพื่อนั่งชมบรรยากาศที่แสนสงบ ขณะที่เทียนหลางกำลังนั่งจิบชาอยู่นั้นก็ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอมีหน้าตาที่งดงามราวกับถูกแกะสลักออกมาโดยเทพแห่งการรังสรรค์ทำให้เธอนั้นงดงามกว่านางฟ้าคนอื่นบนสวรรค์ ดวงตาสีไพลินของเธอเข้าได้ดีกับเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อน เพียงแค่สังเกตุจากระยะไกลก็สามารถรู้ได้แล้วว่าเธอนั้นงดงามเพียงใด
เธอเดินเข้ามาหาเทียนหลางพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันไพรเราะ
”เหตุใดเจ้าถึงได้สละบัลลังก์รวดเร็วเพียงนี้เทียนหลาง ?”
”เจ้าเองหรือเฟิงหยวน… เจ้าเองก็รู้ว่าข้านั้นมิได้ชอบการปกครองเท่าไหร่นัก แต่ที่ข้าคนมันมากว่าพันปีก็เพราะองค์ชายสองได้ขอข้าเอาไว้ และมันก็ถึงเวลาแล้วที่ข้านั้นจะส่งคืนของที่มันควรจะเป็นของเขาตั้งแต่พันปีก่อน”
เทียนหลางพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเศร้าเล็กน้อย แต่นั้นก็ทำให้เทพธิดาเฟิงหยวนหัวเราะออกมา
”แม้น้ำเสียงของเจ้าจะดูเศร้าหมองแต่เจ้าหลอกลวงข้าไม่ได้หรอกนะ ข้ารู้ดีว่าเจ้านั้นมีความสุขเพียงไหนที่ได้สละบัลลังก์”
เทียนหลางที่ได้ยินก็หัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกับพูดขึ้น
”เจ้าช่างรู้ใจข้ายิ่งนัก”
”แล้วเจ้าจะทำสิ่งใดต่อไป ?”
เทียนหลางที่ได้ยินคำถามก็ลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ข้านั้นจะกลับไปจุติใหม่และเพลิดเพลินกับชีวิตของเหล่ามนุษย์ ข้าว่าสิ่งนั้นอาจทำให้ข้าหายเบื่อได้บ้าง”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเทพธิดาเฟิงหยวนก็ตกใจเล็กน้อยก่อนจะหลุดขำออกมา
”หุหุ เจ้านั้นช่างเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้เสียจริง เมื่อเจ้าพูดเช่นนั้นข้าคงจะหยุดเจ้าไม่ได้แล้วสินะ”
”แน่นอน ไม่มีใครที่จะหยุดจักรพรรดิสวรรค์เทียนหลางได้… ไม่สิต้องอดีตจักรพรรดิ”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็ลุกขึ้นและเดินกลับเข้าไปภายในตำหนักของเขาปล่อยให้เทพธิดาเฟิงหยวนที่กำลังคิดบางอย่างอยู่ภายในสวน หลังจากที่เทียนหลางจากไปได้สักพักเทพธิดาเฟิงหยวนก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะหายไปจากสวน
ในวันรุ่นขึ้นข่าวการสละราชบัลลังก์ของจักรพรรดิสวรรค์กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วทั้ง 3000 โลกสร้างความตกตะลึงให้กับเหล่าผู้คนเป็นอย่างมากหลายคนนั้นต่างเดินทางมาแดนสวรรค์เพื่อแสดงความเคารพแก่องค์จักรพรรดิเป็นครั้งสุดท้าย
แต่องค์จักรพรรดินั้นก็ไม่ได้ออกมาต้อนรับผู้คนทำให้เหล่าผู้คนมากมายต่างสงสัยว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นกับตัวองค์จักรพรรดิหรือไม่ เพราะการประกาศสละราชบัลลังก์อย่างฉับพลันแบบนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากนอกเสียจากจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวองค์จักรพรรดิ และตัวของจักรพรรดิเทียนหลางนั้นถือว่าเป็นจักรพรรดิที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เคยมีมาทำให้หลายคนต่างไม่เชื่อว่าเขานั้นจะบาดเจ็บได้
………………………………………………….
ในตอนนี้เทียนหลางกำลังยืนอยู่ที่ยอดเขาแห่งจุดเริ่มต้นเป็นสถานที่ที่ให้สำหรับเหล่าเทพกลับไปเกิดใหม่หรือเพื่อสละสังขาร ทันทีใดนั้นรอบตัวของเทียนหลางก็ได้เรืองแสงทองสว่างไสว วงแหวนเวทย์ และวงแหวนอาคมมากมายต่างปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าของยอดเขาแห่งจุดเริ่มต้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นสร้างความตื่นตะลึงให้กับเหล่าผู้คนที่อยู่บนดินแดนสวรรค์เป็นอย่างมาก พวกเขาต่างคุ้นเคยกับเหตุการณ์นี้เป็นอย่างดีเพราะเหล่าเทพที่ต้องการจะสละสังขารหรือไปเกิดใหม่นั้นต่างต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ นั่นทำให้ผู้คนต่างรู้ได้ทันทีว่าจักรพรรดิเทียนหลางกำลังทำอะไรอยู่ ณ ตอนนี้
พวกเขาจึงต่างมารวมตัวกันที่สันเขาแห่งจุดเริ่มต้นเพื่อเฝ้ามององค์จักรพรรดิของเขาสละสังขาร
ในตอนนี้ร่างกายของเทียนหลางก็ค่อย ๆ เลือนลางและหายไปที่สุดทันทีที่ร่างของเทียนหลางหายไปวงแหวนจักรพรรดิที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าของยอดเขาแห่งจุดเริ่มต้นก็ได้เปร่งแสงสีทองออกมาก่อนจะแตกสลายไปแสดงถึงการจากไปของจักรพรรดิ
เหตุการณ์นี้สร้างความเศร้าหมองให้แก่ผู้คนมากมายนับหมื่นล้านที่ภายใต้โลกทั้ง 3000 ใบหลายคนต่างร้องห่มร้องไห้ออกมาทันทีเมื่อทราบว่าองค์จักรพรรดิได้จากพวกเขาไปแล้ว
ณ ที่สันเขาแห่งจุดเริ่มต้นต่างมีเสียงโห่ร้องเพื่อสรรเสริญจักรพรรดิของเขาเป็นครั้งสุดท้าย แต่มีอยู่เพียงไม่กี่คนที่เฝ้ามองท้องฟ้าด้วยใบหน้าที่เข้มแข็งหนึ่งในนั้นคือ องค์ชายสำดับที่สอง เขานั้นถูกเลี้ยงและโดนสั่งสอนมาโดยเทียนหลางตั้งแต่ยังเด็กทำให้เขานั้นนับถือเทียนหลางเป็นดังพ่อของเขา เมื่อเขามองไปยังท้องฟ้าที่เรืองรองไปด้วยแสงสีทองเขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเข้มแข็ง
”ข้าจะต้องกลายเป็นจักรพรรดิเช่นท่านให้ได้ ท่านพ่อบุญธรรมของข้า”
………………………………………………..
ทางด้านจิตวิญญาณของเทียนหลางที่กลับมาเกิดใหม่
”ฮ่าฮ่า ในที่สุดข้าก็ได้หนีออกมาจากสถานที่น่าเบื่อนั่นแล้ว ในที่สุดข้าก็จะได้เป็นอิสระเสียที”
”ข้าหล่ะสงสัยยิ่งนักโลกมนุษย์นั้นจะเป็นแบบไหนกัน ฮิฮิ ชักตื่นเต้นซะแล้วสิ”