ขณะที่เทียนหลางกำลังนั่งคิดอะไรบางอย่างพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่บนนั้น ซ่านฉินที่ทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาก็ได้ถามขึ้น
”บอสครับทำไมถึงไม่จัดการตระกูลฮัวเลยละครับ จะปล่อยพวกนั้นไปทำไม ?”
ทันทีที่ซ่านฉินพูดออกมาฟ่านหยู กับจิวหยวนก็ได้ต่างมองกระจกพร้อมกันซึ่งดูเหมือนพวกเขาก็จะสงสัยเช่นเดียวกันซ่านฉิน
ทางด้านเทียนหลางที่ได้ยินคำถามของซ่านฉินเขาก็ตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า
”ซ่านฉิน… นายรู้ความแตกต่างระหว่างกษัตริย์กับชาวบ้านไหม ?”
ซ่านฉินที่ได้ยินคำถามก็แสดงสีหน้างุนงงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มคิดตาม จากนั้นไม่นานเขาก็ตอบคำถาม
”เงินงั้นเหรอครับ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินคำตอบเขาก็ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามฟ่านหยูและจิวหยวน ซึ่งทั้งคู่ก็ตอบกลับมาว่า
”พลัง ?”
”อำนาจ ?”
เทียนหลางพยักหน้าเล็กน้อยให้กับคำตอบของฟ่านหยูก่อนจะพูดขึ้น
”นั่นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ความแตกต่างระหว่างกษัตริย์กับชาวบ้านนั้นก็คือแขนขาต่างหากละ”
”แขนขา ?”
ทั้งสามคนพูดออกมาด้วยความงุนงง เทียนหลางก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”ซ่านฉินนายเคยอยู่ในวงการใต้ดินนายควรจะรู้ถึงความหมายนี้นะ คิดให้ดีๆสิ”
ซ่านฉินที่ได้ยินคำพูดของเทียนหลางเขาก็พยายามรวบรวมความคิดของเขาก่อนจะคิดอะไรได้ถึงสิ่งที่เทียนหลางบอกไปเมื่อครู่
เพราะซ่านฉินนั้นเคยเป็นบอสใหญ่อยู่ในวงการใต้ดินมาก่อนฉะนั้นย่อมกระจ่างชัดเรื่องนี้เป็นอย่างดี ไม่ใช่ว่าบอสใหญ่ขององค์กรนั้นจะสามารถทำทุกอย่างได้เป็นอย่างดีฉะนั้นพวกเขาย่อมต้องมีลูกน้องที่เชื่อใจได้คอยดูแลเรื่องต่างๆให้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ เรื่องเจรจาทางการเมือง หรือแม้แต่เรื่องการต่อสู้ระหว่างองค์กร พวกเขาเหล่านี้จะเปรียบเสมือนแขนขาของบอสใหญ่ที่คอยจัดการเรื่องต่างๆให้ และสิ่งที่บอสใหญ่จะต้องทำนั้นคือการดูแลภาพรวมขององค์กร
บอสใหญ่ขององค์กรก็เปรียบเสมือนกษัตริย์ที่คอยดูแลประเทศของตนและแขนขาเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนเหล่าเสนาบดีฝ่ายต่างๆยิ่งแขนขาเหล่านี้เก่งกาจและภักดีมากเท่าไหร่การที่กษัตริย์จะกลายเป็นหนึ่งในใต้หล้านั้นก็ไม่ใช่สิ่งเพ้อฝันอีกต่อไป
เมื่อซ่านฉินสรุปความหมายของแขนขาที่เทียนหลางกล่าวถึงได้แล้วเขาก็แสดงสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะหันไปถามกับเทียนหลางว่า
”แปลว่าบอสจะให้ตระกูลฮัวมาเป็นแขนขาให้กับพวกเรางั้นเหรอครับ ?”
เทียนหลางพยักเล็กน้อยเพื่อเป็นการยืนยัน ซ่านฉินที่ได้เห็นแบบนั้นก็แย้งขึ้นมาทันที
”แต่มันจะดีงั้นเหรอครับ ? ผมคิดว่าตระกูลฮัวนั้นไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไหร่แล้วยิ่งมีเรื่องในคืนนี้อีกด้วย ตระกูลฮัวไม่ยอมอยู่ภายใต้พวกเราแน่”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะพูดขึ้น
”เรื่องของตระกูลฮัวนั้นไม่จำเป็นจะต้องกังวลมากนัก เพราะสิ่งของที่ใช้ไม่ได้ก็ไม่จำเป็นจะต้องเก็บเอาไว้”
เมื่อได้ยินคำพูดของเทียนหลางทั้งสามคนก็ถึงกับกลืนน้ำลายทันที ไม่นานนักจิวหยวนก็ขับรถมาถึงหน้าบ้านของเทียนหลาง
เทียนหลางลงจากรถพร้อมกับที่ซ่านฉิน ฟ่านหยู และจิวหยวนกล่าวคำลา
เทียนหลางเดินมายังสวนของเขาก่อนจะเห็นเฟิงหยวนนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่สวน เมื่อเทียนหลางเห็นเธอเขาก็เอ่ยถามออกไปทันที
”คุณยังไม่นอนอีกเหรอ ?”
เฟิงหยวนปิดหนังสือลงก่อนจะพูดขึ้น
”เรื่องนี้ใหญ่เกินกว่าจะปล่อยให้คุณคุยกับเจาน้อยเพียงลำพัง”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนั่งเล่นพร้อมกับเฟิงหยวน ทั้งคู่นั่งลงที่โต๊ะก่อนที่เทียนหลางจะสะบัดมือเบาๆกระจกทองแดงก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าของทั้งคู่
จากนั้นภาพสะท้อนของกระจกก็เปลี่ยนไป กลายเป็นใบหน้าของเทาเจา
เมื่อเทาเจาเห็นว่าอาจารย์ของเขาติดต่อมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าดีใจออกมา
”ท่านอาจารย์ในที่สุดท่านก็ติดต่อกลับมา”
เทียนหลางถอนหายใจก่อนจะเอ่ยขึ้น
”เจ้ามีเรื่องอะไรถึงได้ติดต่อมาหาพวกข้าในยามดึกดื่นแบบนี้”
เทาเจาที่ได้ยินคำถามก็พยายามรวบรวมสติก่อนจะเริ่มอธิบาย
”เมื่อประมาณสามวันก่อนเกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างชนเผ่าจ่าน กับคนของราชวงศ์ทั้งเจ็ดที่ดินแดนชั้นที่หก”
เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าราวกับว่าเหมือนจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เขาจึงพูดออกไปด้วยท่าทางใจเย็น
”เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกชนเผ่าจ่านกับราชวงศ์ทั้งเจ็ดมีปัญหากันมาอย่างยาวนานหลายพันปีแล้ว ฉะนั้นการที่พวกเขาปะทะกันหาใช่เรื่องแปลกไม่”
เมื่อเทาเจาได้ยินแบบนั้นจึงอธิบายต่อ
”แปลกสิท่านอาจารย์ เพราะว่าชนเผ่าจ่านกับราชวงศ์ทั้งเจ็ดนั้นได้ทำเรื่องสงบศึกกันมานานเกือบสิบปีแล้ว อีกอย่างการเคลื่อนไหวของราชวงศ์ทั้งเจ็ดก็เป็นไปอย่างแปลกประหลาด ท่านหัวหน้าหอสั่งการจึงมีภาระกิจให้เทพองค์หนึ่งไปตรวจสอบ”
เทียนหลางฟังแล้วก็พยักหน้าก่อนจะถามออกไป
”แล้ว ?”
เทาเจาจึงอธิบายต่อ
”หลังจากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นการกระทำของพวกลัทธินอกรีต”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็ลูบคางเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
”แล้วลัทธินอกรีตทำเรื่องอะไรไว้ถึงทำให้เจ้าดูร้อนลนขนาดนี้ ?”
”จากการสืบสวนเบื้องลึกแล้วลัทธินอกรีตเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวกับสำนักมารขอรับท่านอาจารย์”
”สำนักมารงั้นเหรอ ? ไม่ใช่ว่าข้าและถังซานกำจัดพวกมันไปหมดแล้วงั้นหรือ ?”
”ดูเหมือนจะเป็นผู้ที่เหลือรอดจากการกวาดล้างครั้งนั้นนะครับ พวกนั้นได้เริ่มเกณฑ์พลเหล่าผู้บ่มเพาะหน้าใหม่และชักชวนพวกเขาเข้าสู่วิถีแห่งมารนอกรีตก่อตั้งนิกายมารนอกรีตขึ้นและเที่ยวสร้างความเดือดร้อนไปทั่วทั้งดินแดนเก้าชั้นเลยครับ แถมตอนนี้พวกมันยังเริ่มก่อความวุ่นวายบนสวรรค์และดินแดนนรกอีกด้วย”
เทียนหลางพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเทาเจาจึงเริ่มพูดต่อ
”หลังจากที่เรื่องราวของนิกายมารนอกรีตแพร่กระจายไปเหล่านิกายและสำนักต่างๆก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วด้วย”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเทียนหลางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เทาเจาจึงเริ่มพูดต่อ
”นิกายชิงฉวน นิกายดารา หรือแม้แต่หอคอยกระบี่ ก็ยังเคลื่อนไหวเลยครับ”
”แม้แต่หอคอยกระบี่ก็ยังเคลื่อนไหวด้วยงั้นรึ… แล้วนิกายร้อยปีศาจละ ?”
”นิกายร้อยปีศาจนั้นตอนนี้กำลังจัดการเรื่องในดินแดนนรกอยู่ครับท่านอาจารย์ แต่ว่าท่านอาจารย์หากเรื่องนี้ยืดเยื้อต่อไปได้กลายเป็นสงครามอย่างแน่นอน เรื่องนี้ควรจัดการยังไงดีท่านอาจารย์ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายเล็กน้อย
”นี่เทาเจา เจ้าอย่าลืมสิข้านั้นลาออกจากตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์แล้ว เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า อีกอย่างในตอนนี้ดูเหมือนว่าสถานะการณ์ก็คงควบคุมได้อยู่จักรพรรดิคนปัจจุบันรู้ว่าต้องทำยังไง เจ้าอย่าได้เป็นกังวลจนเกินไป”
เทาเจาที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง
”แล้วทางนิกายของเราละท่านอาจารย์จะทำยังไง ?”
”ถ่ายทอดคำพูดของข้าออกไป ห้ามทุกคนเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็นนิกายของเราจะไม่เคลื่อนไหวใดๆ เทาเจาจงไปบอกกับถังซานว่าให้คอยสอดส่องการเคลื่อนไหวของพวกมารให้ดี”
เทาเจาที่ได้ยินแบบนั้นก็ประสานมือพร้อมกับก้มหัวลงเล็กน้อย
”ทราบแล้วท่านอาจารย์ !”
หลังจากนั้นภาพของเทาเจาก็ได้จางหายไปและกลับกลายเป็นกระจกสะท้อนดังเดิม เทียนหลางสะบัดมือเล็กน้อยเพื่อส่งกระจกทองเหลืองกลับไปที่เดิมก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกับจ้องมองดวงจันทร์ที่กำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน
”นี่เป็นสัญญาณที่ท่านพูดสินะ… ท่านผู้เฒ่าตาบอด”