หลังจาทกี่เทียนหลางเดินออกจากห้องเรียน เขาก็ตรงไปยังโรงอาหารทันทีเพื่อทานอาหารกลางวัน โรงเรียนมัธยมที่หนึ่งนั้นเป็นโรงเรียนสำหรับลูกคนรวยมากมายจึงไม่แปลกที่จะมีร้านอาหารเยอะแยะกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ในโรงอาหารนั้นมีร้านขายอาหารมากมายหลายชนิดตั้งแต่ราคาถูกแบบร้านข้างทางไปยันราคาแพงแบบภัตตาคาร
เทียนหลางไม่จุกจิกเรื่องกินอยู่แล้วเขาจึงเดินไปสั่งข้าวหน้าไก่ กับผัดพักเพียงเท่านั้น
หลังจากที่ได้อาหารแล้วเทียนหลางก็หันซ้ายหันขวาเพื่อหาที่นั่งว่าง ๆ ก่อนจะนั่งลงอย่างใจเย็นและเริ่มทานข้าว ไม่นานนักช่วงเวลาแห่งความสงบของเทียนหลางก็จบลงด้วยการมาของเฮาหลิง หนึ่งในคนที่มักจะแกล้งเทียนหลางบ่อย ๆ และยังเป็นคนแย่งคนที่เทียนหลาง(เคย)รักไปอีกด้วย
เฮาหลิงเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เทียนหลางพร้อมกับพูดขึ้น
”ได้ยินมาจากคนในห้องว่าแกเปลี่ยนไปมาก ไม่คิดว่าแกจะเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยนะ”
”มีธุระอะไรกับฉันเฮาหลิง ?”
เทียนหลางถามออกไปอย่างใจเย็น เฮาหลิงแปลกใจกับท่าทีใจเย็นของเทียนหลางอยู่เล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ดูเหมือนแกจะเปลี่ยนไปจริง ๆ สินะ”
”คงอย่างงั้น”
เทียนหลางตอบกลับสั้น ๆ พร้อมกับตักผัดผักเข้าปาก เฮาหลิงมองอาหารที่เทียนหลางกินอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้น
”ดูเหมือนแกจะมีเงินเยอะพอที่จะกินอาหารดี ๆ ได้… ทำไมถึงไม่แบ่งมันมาให้กับฉันซักหน่อยหล่ะ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินก็อดขำไม่ได้ นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่โดนไถเงินแบบนี้พันปี สองพันปี หรือห้าพันปี ? ความรู้สึกนี้มันช่างเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดเสียเหลือเกินที่อยู่ ๆ ก็มีคนคนหนึ่งมาขอบางอย่างจากเราไปฟรี ๆ แบบนี้
เทียนหลางวางช้อนก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกับพูดขึ้น
”นี่แกเป็นเด็กรึไง ?”
เฮาหลินที่ได้ยินก็ตกใจ
”ห๊ะ ! อะไรนะ”
”ฉันถามว่าแกเป็นเด็กรึไง ถึงได้เล่นไถตังค์คนไปทั่วแบบนี้”
”แกว่าฉันเป็นเด็กงั้นเหรอ ?!”
เฮาหลินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อได้ยินคำพูดของเทียนหลาง เฮาหลินนั้นเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลในโรงเรียนนี้เนื่องจากพ่อของเขานั้นเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่และเคยบริจาคเงินให้กับโรงเรียนนี้หลายแสนเหรียญจึงทำให้เขานั้นไม่กลัวใครสักคนเดียวในโรงเรียน แม้แต่ครูก็ตาม
แต่เมื่อเขาได้ยินเทียนหลางพูดกับเขาแบบนี้ มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะโกรธขึ้นมาทันที เพราะเขารู้สึกเหมือนกำลังมีคนมาท้าทายอำนาจของเขา
เฮาหลินจ้องมองเทียนหลางด้วยความโกรธและพร้อมที่เข้าไปทำร้ายเทียนหลางทุกเมื่อ แต่ในขณะที่เฮาหลินกำลังจะพุ่งเข้าไปทำร้ายเทียนหลางนั้นก็มีเสียงหนึ่งหยุดเขาเอาไว้
”หยุดเดียวนี้นะ เฮาหลิน !”
มันเป็นเสียงหวานใสของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อเทียนหลางชะโงกหน้าออกไปก็พบกับเด็กผู้หญิงหน้าตางดงามคนหนึ่ง แม้เธออาจจะเทียบไม่ได้กับซูหลินเพราะอายุยังน้อยแต่ถ้าหากเทียบกับผู้หญิงอายุเท่ากันหล่ะก็เธอก็คงไม่เป็นที่สองรองจากใครแน่นอน
เธอคือ หลินเสวี่ยเป็นหัวหน้าห้องของเทียนหลางและอาจจะเป็นเพียงคนเดียวในโรงเรียนนี้ที่มองเขาเป็นคนปกติทั่วไปและยังคงทำดีกับเขา เทียนหลางพอจะรู้มาว่าพ่อของเธอนั้นเป็นคนใหญ่คนโตภายในเมืองจิงไห่จึงไม่มีใครกล้าจะหือกับเธอสักคน
เธอเดินเข้ามาหาเฮาหลินก่อนจะพูดขึ้น
”ไถเงินคนอื่นอีกแล้วสินะ นายนี่มันขยะชัด ๆ”
หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเสวี่ย เฮาหลินก็เบือนหน้าหนีทันทีหลิวเสวี่ยเดินเข้ามาหาเทียนหลางก่อนจะพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง
”เขาทำอะไรนายรึเปล่า ?”
เทียนหลางเงยหน้าขึ้นมามองหน้าหลินเสวี่ยเล็กน้อยเมื่อทั้งคู่มองหน้ากันพวกเขาทั้งคู่ก็ต่างแสดงท่าทีตกใจออกมา ก่อนที่ท่าทีของเทียนหลางจะเปลี่ยนเป็นปกติภายในเสี้ยววิ จากนั้นเขาก็ส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้ม
”ฉันไม่เป็นอะไร ขอบคุณที่ช่วยนะ”
‘แม้จะไม่จำเป็นก็เถอะ ฉันอดหักแขนมันเลย แย่จัง’
เทียนหลางบ่นในใจ ก่อนจะขบคิดอะไรบางอย่างพร้อมกับพูดขึ้นมา
”จะเป็นอะไรไหมถ้าฉันจะชวนเธอไปทานมื้อเย็นเพื่อตอบแทนทุกอย่างที่เธอเคยช่วยฉัน”
หลินเสวี่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เพราะเธอรู้ว่าทั้งโรงเรียนนั้นมีเธอเพียงคนเดียวที่ทำดีกับเขาเธอจึงเข้าใจได้ว่าเหตุใดเขาจึงชวนเธอไปทานมื้อเย็น เธอยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น
”ได้ตกลง แต่ต้องหลังเลิกเรียนนะ”
”เข้าใจแล้ว”
เทียนหลางที่รู้ว่าเธอตกลงเขาก็ยิ้มขึ้นพร้อมกับชวนเธอนั่งลง แต่ในขณะที่หลินเสวี่ยกำลังจะนั่งลงนั้นก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามานั่นคือ ซันซื่อจิน ที่กำลังพันแขนเอาไว้พร้อมกับอาจารย์คนหนึ่งเดินนำหน้ามา
อาจารย์คนนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเทียนหลางและหลินเสวี่ยก่อนจะพูดขึ้น
”เทียนหลาง ซันซื่อจินบอกครูว่าเธอเป็นคนหักแขนของเขาจริงงั้นเหรอ ?”
หลินเสวี่ยที่ได้ยินก็ตกใจเล็กน้อยพร้อมกับมองแขนของซันซื่อจินสลับกับหน้าของเทียนหลาง ทางด้านเทียนหลางก็ยิ้มออกมาก่อนจะจ้องมองซันซื่อจินด้วยสายตาเย็นชาพร้อมกับพูดขึ้น
”อาจารย์พูดอะไรกันครับ ? ผมเนี่ยนะหักแขนซันซื่อจิน ?”
”ใช่ ซันซื่อจินเป็นคนแจ้งกับครูเอง และอีกอย่างเพื่อน ๆ ของซันซื่อจินก็เป็นคนยืนยันด้วย”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น
”อาจารย์ครับใคร ๆ ก็รู้ว่าซันซื่อจินเป็นคนยังไง แถมเขายังชอบกลั่นแกล้งผมเป็นประจำเรื่องนี้ใคร ๆ ก็รู้แม้แต่อาจารย์ก็รู้แล้วการที่เขาแขนหักนั้นก็ใช่ว่าผมจะเป็นคนทำ ผมที่โดนกลั่นแกล้งอยู่ตลอดจะทำเขาแขนหักได้ยังไงครับ”
เทียนหลางยิ้มให้กับอาจารย์ตรงหน้า อาจารย์มองหน้าเทียนหลางก่อนจะพูดขึ้น
”ก็เพราะเธอโดนเขากลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำยังไงหล่ะ เธอถึงได้แก้แค้นเขาด้วยการหักแขนของเขา”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ส่ายหัวพร้อมกับพูดขึ้น
”อาจารย์ครับผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ ผมจะ 18 แล้วนะผมจะไปทำอย่างงั้นทำไม ในเมื่อหากผมยิ่งตอบโต้เขา เขาก็ยิ่งหาทางแก้แค้นผมหนักขึ้น”
เมื่ออาจารย์ได้ยินแบบนั้นเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยเพราะเขารู้ว่าพ่อของซันซื่อจินนั้นเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมแม้จะไม่ใหญ่เท่าพ่อของเฮาหลิน หรือหลินเสวี่ยแต่ก็ถือว่าเป็นคนมีชื่อเสียงพอสมควร
และซันซื่อจินนั้นก็เป็นอดีตนักกีฬายูโด ทำให้เขานั้นร่างกายแข็งแรงพอสมควรไม่มีทางที่คนอ่อนแออย่างเทียนหลางจะหักแขนเขาได้ง่าย ๆ เขาจ้องมองไปที่ซันซื่อจินเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”บอกความจริงกับครูมาซันซื่อจิน”
”ผมโดนเจ้านั่นหักแขนจริง ๆ นะครับครูทุกคนที่อยู่ในห้องตอนนั้นเป็นพยานได้”
เทียนหลางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น
”ซันซื่อจิน แม้นายจะชอบกลั่นแกล้งฉันแค่ไหนก็ตามแต่การที่นายใส่ร้ายฉันเรื่องที่นายแขนหักมันออกจะดูเกินไปหน่อยรึเปล่า ?”
ซันซื่อจินที่ได้ยินก็กัดฟันด้วยความโกรธพร้อมกับจ้องมองมาทางเขา
”แก….”
เทียนหลางยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ไม่ใช่ว่านายตกบันไดจนแขนหัก แล้วมาโทษว่าฉันทำนายเพื่อใส่ร้ายฉันรึไง ? ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่านายกับพวกมักจะชอบเล่นแผลง ๆ อยู่แล้วบางทีอาจจะผิดพลาดจนทำให้นายแขนหักก็ได้”
เมื่อเทียนหลางพูดจบเขาก็ลุกขึ้นจากโต๊ะพร้อมกับเดินไปหาซันซื่อจินพร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของเขา
”ถ้าแกพูดเรื่องนี้ออกไปฉันจะตามไปหักขาของแก”
พูดจบเขาไหล่ซันซื่อจินเบา ๆ ก่อนจะหันมาหาหลินเสวี่ย
”ฉันจะรอเธอหลังเลิกเรียน”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็เดินจากไปพร้อมกับคิดถึงเรื่องบางอย่างที่อยู่ในใจของเขาอย่างเงียบ ๆ