สองสามวันต่อมาเทียนหลางก็ยังคงไปเรียนตามปกติ แต่ที่แต่ต่างออกไปคือเรื่องของคนที่จะมักจะชอบกลั่นแกล้งเขานั้นค่อย ๆ หายไปอันที่จริงคนที่ชอบกลั่นแกล้งเทียนหลางนั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนใหญ่พวกเขาจะไม่สนใจเทียนหลางเสียมากกว่า
แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือเรื่องซุบซิบระหว่างเขากับหลินเสวี่ย หลังจากที่เทียนหลางชวนหลินเสวี่ยไปทานยื้อเย็นเมื่อวันนั้นเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับเขาทั้งสองคนก็ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นและคนที่ไม่ชอบหน้าเทียนหลางก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
แต่เทียนหลางนั้นไม่ได้สนใจเลยแม้แต่นิดเดียวเขายังคงทำตัวตามปกติ และหลินเสวี่ยก็เช่นกันเธอไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่แต่จากที่เทียนหลางสังเกตุดูแล้วดูเหมือนเธอจะชอบเสียด้วยซ้ำซึ่งทำให้เทียนหลางรู้สึกแปลก ๆ
เทียนหลางจ้องมองหลินเสวี่ยด้วยความสงสัย ก่อนที่เธอจะหันหน้ามาและขยิบตาให้กับเทียนหลางเบา ๆ ทำเอาเขาอดขำออกมาไม่ได้
หลังจากจบคาบเรียนหลินเสวี่ยก็เดินมาที่โต๊ะของเทียนหลางก่อนจะพูดขึ้น
”พักเที่ยงแล้วไปกินข้าวกัน”
”หืม ?”
เทียนหลางมองหลินเสวี่ยเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นตามเธอไปโรงอาหาร เทียนหลางไม่รังเกียจอยู่แล้วที่จะไปทานข้าวกับสาวสวยดังนั้นเขาจึงยอมตามไปแต่โดยดี แต่ดูเหมือนนักเรียนชายคนอื่นจะไม่ยอมพวกเขามองเทียนหลางด้วยสายตาเหมือนกับจะแยกเขาออกเป็นชิ้น ๆ
เทียนหลางหัวเราะในใจก่อนจะเอ่ยถามกับหลินเสวี่ย
”ดูเหมือนข่าวลือของเราจะแพร่ไปทั่วโรงเรียนแล้วนะ”
”แล้วไงเธอสนด้วยเหรอ ? แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ได้เกลียดด้วย”
หลินเสวี่ยตอบกลับแบบสบาย ๆ เทียนหลางยักไหล่ก่อนจะพูดขึ้น
”แต่ดูเหมือนเธอจะชอบมันมากกว่าเกลียดนะ”
หลินเสวี่ยยิ้มโดยไม่ตอบอะไรทั้งคู่เดินไปโรงอาหารก่อนจะสั่งอาหารง่าย ๆ มาทานและเดินกลับมานั่งด้วยกัน ในขณะที่ทั้งคู่กำลังทานอาหารกันอยู่นั้นก็มีเด็กหนุ่มเดินมาก่อนจะที่จะนั่งลงข้างเทียนหลางพร้อมกับพูดขึ้น
”สวัสดีหลินเสวี่ย”
หลินเสวี่ยไม่ตอบอะไรเธอยังคงก้มหน้าทานอาหารพร้อมกับพูดคุยกับเทียนหลางต่อ เทียนหลางหันหน้าไปมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้ากลับไปอย่างไม่สนใจทำเอาเด็กหนุ่มถึงกับหน้าซีดไปพักนึง
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ยกแขนขึ้นมาคล้องคอเทียนหลางและหันมากระซิบกับเขา
”ฉันได้ข่าวว่านายนั้นเป็นคนรักของหลินเสวี่ยจริงงั้นเหรอ ?”
”นั่นก็แล้วแต่ใครจะคิด”
เทียนหลางตอบกลับไปอย่างง่าย ๆ ชายคนนั้นที่ได้ยินก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”ฉันขอแนะนำให้นายออกห่างจากหลินเสวี่ยของฉันซะ ไม่งั้นฉันจะให้คนมาหักแขนนาย”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ร้องอุทานออกมาก่อนจะหันมาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม
”ฉันจะรอ”
เมื่อดูเหมือนว่าจะข่มขู่เทียนหลางไม่ได้เด็กหนุ่มคนนั้นก็ลุกขึ้นและจากไปด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เทียนหลางมองตามหลังเด็กหนุ่มไปก่อนจะหันไปถามหลินเสวี่ย
”เขาคือใครงั้นเหรอ ?”
”เขาชื่อห่าวจิง เป็นลูกชายของเจ้าของเครือบริษัทจิงเว่ย และก็หนึ่งในคนที่คอยตามจีบฉันอะนะ”
หลินเสวี่ยตอบ
”งั้นเหรอ”
เทียนหลางพูดพลางกับมองหลินเสวี่ยที่กำลังยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ทำเอาเขางุนงงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากที่ทั้งคู่ทานอาหารกลางวันเสร็จก็กลับมาที่ห้องเรียนเพื่อรอเรียนคาบต่อไป
ในขณะที่กำลังเรียนอยู่นั้นมือถือของเทียนหลางก็ดังขึ้นทำเอาคนทั้งห้องนั้นหันมาหาเขาอย่างรวดเร็ว เทียนหลางหยิบมือถือขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นสายของ เล่าจิง หนึ่งในลูกน้องของถังหยาน
เทียนหลางขออนุญาตออกไปรับโทรศัพซึ่งอาหารก็ไม่ได้ห้ามอะไร เมื่อเทียนหลางออกมารับสายเขาก็พูดขึ้น
”เล่าจิงมีอะไรงั้นเหรอ ?”
”บอสครับช่วยด้วยครับพะ… พี่หยานเขา”
เสียงของเล่าจิงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเทียนหลางถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น
”ใจเย็น ๆ เล่าจิงมีอะไรค่อย ๆ พูด”
”พี่หยานถูกทำร้ายครับบอส ตอนนี้อาการของพี่หยานหนักมาก”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ตกใจก่อนจะถามถึงเรื่องทั้งหมด เล่าจิงเล่าว่าเมื่อคืนตอนที่ถังหยานกำลังไปตรวจสอบที่ร้านเพื่อเช็คความเรียบร้อยก็เห็นผู้ชายกลุ่มหนึ่งจำนวนมากกำลังด้อม ๆ มอง ๆ อยู่รอบร้านถังหยานจึงเข้าไปคุย
แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะผิดใจกันชายหนุ่มกลุ่มนั้นจึงรุมทำร้ายถังหยานแม้ถังหยานจะเป็นอดีตทหารแต่ก็ไม่ได้เก่งกาจมากมายนักจึงผ่ายแพ้ให้กับจำนวนคนและโดนรุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส
เทียนหลางถามถึงที่อยู่ของถังหยานในตอนนี้เล่าจิงก็บอกว่าอยู่ที่โรงพยาบาลฮัวชิง
”โอเค เดียวฉันจะรีบไปเดียวนี้แหละ”
เทียนหลางกลับเข้ามาในห้องและอธิบายเรื่องที่เขามีเหตุด่วนและต้องขอกลับก่อนเวลาซึ่งอาจารย์ก็ไม่ได้ห้ามอะไร เทียนหลางจึงเก็บของและรีบออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
………………………………………..
ไม่นานนักเทียนหลางก็มาถึงโรงพยาบาลฮัวชิง เมื่อเขาพบกับเล่าจิงก็ถามถึงเรื่องของถังหยาน เล่าจิงบอกว่าตอนนี้ถังหยานพ้นขีดอันตรายแล้วแต่อาการของถังหยานนั้นถือว่าสาหัสเอาการ กระดูกแขนทั้งสองข้างหัก ขาซ้ายก็เช่นกัน ซี่โครงหักสี่ซี่ และกระโหลกร้าว
ในตอนที่เทียนหลางพบเล่าจิงก็เห็นว่าเขานั้นร้องไห้หนักมาก และดูเหมือนเขาจะไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืน
เทียนหลางปลอบเล่าจิงอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้น
”ไม่ต้องห่วงเล่าจิง บอกฉันมาว่าพวกที่รุมทำร้ายถังหยานเป็นใคร”
เล่าจิงสะอื้นเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”จากที่พวกเราสอบถามกับคนแถวนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นคนของแก๊งมังกรเขียว”
”แก๊งมังกรเขียว ?”
เทียนหลางถามด้วยความสงสัย เพราะเขาไม่เคยได้ยินชื่อของแก๊งมังกรเขียวเลยแม้แต่น้อย
”ใช่ครับ แก๊งมังกรเขียวนั้นเป็นหนึ่งใน 3 แก๊งใหญ่ที่ควบคุมโลกใต้ดินของเมืองจิงไห่อยู่ในตอนนี้และนอกจากแก๊งมังกรเขียวแล้วยังมี แก๊งอรษพิษ กับแก๊งดาลาส แต่ในทั้งสามแก๊งนั้นแก๊งมังกรเขียวเป็นพวกที่โหดร้ายที่สุดพวกนี้ทำได้ทุกอย่างที่พวกมันต้องการ ไม่ว่าจะปล้น ฆ่า ลักพาตัว และอื่น ๆ ทันทีที่พวกเรารู้ว่าคนที่ทำร้ายพี่หยานเป็นคนของแก๊งมังกรเขียว พวกเราก็ได้แต่เก็บความแค้นเอาไว้ในใจเท่านั้น เพราะพวกเราเป็นเพียงแค่กลุ่มเล็ก ๆ ไม่สามารถสู้กับแก๊งที่มีคนนับพันได้”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะถามขึ้น
”แล้วทำไมพวกมันถึงมาวนเวียนอยู่แถวร้านของเรา ?”
”ผมเดาว่าพวกมันคงอยากจะได้ที่แถบนั้นเพราะเป็นที่ที่คนพลุ่งพล่านและเหมาะกับการเปิดธุระกิจ หรือเปิดบริษัทบังหน้าไว้สำหรับฟอกเงิน”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายของโลกใต้ดินแบบนี้เขาเพียงต้องการใช้ชีวิตสบาย ๆ โดยไม่ต้องกังวลอะไรแท้ ๆ
เทียนหลางหันไปถามเกี่ยวกับที่อยู่ของแก๊งมังกรเขียวกับเล่าจิง เล่าจิงที่ได้ยินก็สงสัยเล็กน้อยแต่เขาก็บอกเทียนหลางแต่โดยดี
”ดูเหมือนว่าพวกแก๊งมังกรเขียวมักจะชอบรวมตัวกันอยู่ในคลับทุยห่ายในเขตน่านชิงนะครับ”
”งั้นเหรอเข้าใจแล้ว ฝากนายดูแลถังหยานด้วยนะ”
”ครับบอสว่าแต่บอสจะไปหาพวกมันงั้นเหรอครับ ?”
”ก็นะกะว่าจะไปคุยกับพวกนั้นสักหน่อย”
เมื่อเทียนหลางพูดจบเขาก็เดินออกจากโรงพยาบาลทันทีและขับรถไปยังคลับทุยห่าย แม้เทียนหลางจะไม่ได้สนิทกับพวกของถังหยานมากนักแต่ถังหยานนั้นก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในลูกน้องของเขาจึงไม่แปลกที่เทียนหลางจะแค้นแทนถังหยานและพรรคพวก
”แก๊งมังกรเขียว ? ฉันคงต้องไปคุยกับพวกแกเสียหน่อยแล้ว”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็ขับรถตรงไปยังคลับทุยห่ายโดยไม่แวะพัก
——————————————————