เมื่อมาถึงบ้านเทียนหลางก็พบว่ามีรถหรูคนหนึ่งจอดอยู่หน้าบ้านพร้อมกับคนที่สวมชุดสูทสีดำจำนวนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าบ้าน เมื่อเทียนหลางและเฟิงหยวนกำลังจะเดินเข้าบ้านก็ถูกชายสองคนห้ามไว้
เทียนหลางมองด้วยควาไม่พอใจก่อนจะพูดขึ้น
”นายมีสิทธิอะไร ฉันเป็นเจ้าของบ้าน”
เมื่อชายทั้งสองคนได้ยินก็มองหน้ากันก่อนจะถอยหลังและปล่อยให้เทียนหลางและเฟิงหยวนเข้าบ้าน เฟิงหยวนเห็นท่าทีทั้งสองคนนั้นก็ถามเทียนหลางออกมาด้วยความสงสัย
”คนรู้จักของนายมาหางั้นเหรอ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ส่ายหน้าก่อนพูดขึ้น
”ไม่รู้สิ อันที่จริงฉันก็จักแค่นักธุระกิจแค่ไม่กี่คนเท่านั้นเองนะ”
เฟิงหยวนพยักหน้าพร้อมกับเดินตามเทียนหลางเข้าไปในบ้าน ในขณะที่เทียนหลางกำลังจะเปิดประตูนั้นประตูบ้านก็ถูกเปิดออกโดยคนอื่นเมื่อประตูถูกเปิดออกเทียนหลางก็พบชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังเดินออกมา เขามองมาที่เทียนหลางเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นออกมาด้วยรอยยิ้ม
”โอ้ ~ นี่คงเป็นเทียนหลางสินะ โตมาหล่อเหลาไม่น้อยเลยนะเนี้ย”
เมื่อเทียนหลางได้ยินก็มองคนตรงหน้าด้วยความสงสัยก่อนจะพูดขึ้น
”คุณเป็นใคร ?”
ชายคนนั้นก็ยิ้มก่อนจะตอบคำถาม
”ฉันชื่อ หานซื่อคง เป็นน้องชายแม่ของเธอหรือจะให้พูดก็คือฉันเป็นน้าของเธอ”
เทียนหลางแสดงท่าทีตกใจเล็กน้อยเพราะเขาไม่คิดว่าเขาจะมีญาติคนอื่นด้วยเพราะตลอดมาพ่อกับแม่ของเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องญาติพี่น้องเลยแม้แต่ครั้งเดียวจนทำเอาเทียนหลางคิดว่าพ่อแม่ของเขานั้นไม่มีพี่น้องสะอีก
เทียนหลางสำรวจชายตรงหน้าอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้น
”คุณมีธุระกับแม่ผมงั้นเหรอ ?”
”ใช่ แต่ตอนนี้ฉันคุยเสร็จแล้วถึงเวลาที่ฉันต้องกลับแล้วละ”
เมื่อพูดจบเขาก็เดินกลับไปขึ้นรถและออกไปพร้อมกับลูกน้อง ทำเอาเทียนหลางสงสัยเล็กน้อยก่อนจะเลิกคิดถึงมันและเดินกลับเข้าไปในบ้าน เมื่อเขาเข้ามาก็เห็นว่าแม่และพ่อกำลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
เทียนหลางกับเฟิงหยวนมองหน้ากันด้วยความสงสัยก่อนจะเข้าไปถาม
”เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอแม่ ?”
แม่ของเทียนหลางเงยหน้าขึ้นก่อนจะบอกให้เขานั่งลง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
”แม่มีเรื่องที่จะต้องคุยกับลูก”
”ครับ”
เมื่อเฟิงหยวนเห็นบรรยากาศดูตึงเคลียดเธอเลยคิดว่าจะขอตัวออกไปก่อนเพราะนี่เป็นการพูดคุยกันของคนในครอบครัว แต่เมื่อเฟิงหยวนจะขอตัวออกไปด้านนอกก็ถูกพ่อห้ามเอาไว้
”ลูกไม่ต้องออกไปไหนหรอก ลูกเป็นคนในครอบครัวก็ควรจะรู้เรื่องเอาไว้จะได้ช่วยกันตัดสินใจ”
”เข้าใจแล้วค่ะ”
เฟิงหยวนนั่งลงอย่างเชื่อฟังก่อนจะฟังเรื่องราวอย่างเงียบ ๆ แม่ของเทียนหลางถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”ลูกคงเจอกับน้าของลูกแล้วใช่ไหม ?”
”ใช่ครับ ผมคิดว่าบ้านเราไม่มีญาติคนอื่นเสียอีก”
เทียนหลางตอบไปตามความคิดก่อนที่แม่ของเทียนหลางจะถอนหายใจอีกครั้งและเริ่มอธิบาย
”ที่แม่ไม่เคยเล่าถึงเรื่องญาติ ๆ ก็เพราะว่าแม่ถูกขับออกจากตระกูลนะดังนั้นแม่จึงคิดว่าเรื่องญาติพี่น้องจึงไม่ควรสนใจมันอีกต่อไป”
เมื่อเทียนหลางได้ยินก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยเพราะหากเป็นโลกของเขาการถูกขับออกจากตระกูลนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่กับโลกสมัยนี้ที่ดูก้าวหน้าไปไกลกลับยังมีเรื่องแบบนี้อยู่อีกทำให้เทียนหลางอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
”สมัยนี้ยังมีเรื่องแบบนี้อยู่อีกเหรอแม่ ?”
แม่ของเทียนหลางถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”อันที่จริงก็ไม่ควรจะมีหรอก แต่บังเอิญว่าตระกูลของแม่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงนั่นคือตระกูลหาน เมื่อยี่สิบสี่ปีก่อนแม่นั้นถูกคุณตาของลูกบังคับให้แต่งงานกับคนของตระกูลซื่อซึ่งนั่นเป็นการแต่งงานทางการเมือง”
แม่เงียบไปสักพักก่อนจะพูดต่อ
”แต่คุณยายนั้นไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานแบบนี้เพราะท่านนั้นถือเรื่องความสุขของแม่เป็นหลักจึงได้คัดค้านอย่างหนักหน่วง แต่เพราะอำนาจของคุณยายและคุณตาของลูกนั้นเท่าเทียมใกล้เคียงกันจึงเกิดการแบ่งฝ่ายกันภายในตระกูลก็คือฝ่ายที่สนับสนุนคุณยาย กับฝ่ายที่สนับสนุนคุณตา”
”และยิ่งนานวันเข้าการขัดแย้งก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นมีคนถูกฆ่า และเมื่อมาถึงจุดนั้นแม่จึงได้ตระหนักว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะมีคนในตระกูลมากมายที่จะต้องเสียชีวิต แม่จึงออกจากตระกูลโดยมีคุณยายของลูกคอยช่วยเหลือ แม่ได้หนีมาที่เมืองจิงไห่และบังเอิญได้พบกับพ่อและได้แต่งงานกัน”
เมื่อเทียนหลางได้ยินเรื่องราวสั้น ๆ จากอดีตของแม่ก็รู้สึกตกใจไม่น้อยกับเรื่องนี้เพราะเขาไม่คิดว่าอดีตของแม่จะเป็นถึงคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง และเขาก็ไม่คิดว่าตระกูลของแม่จะยิ่งใหญ่อะไรเบอร์นั้น แต่มีส่วนหนึ่งที่เทียนหลางสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้จนต้องถามออกมา
”แล้วทำไมแม่ถึงถูกขับไล่ออกจากตระกูลละครับ ?”
”หลังจากที่คุณตาของลูกนั้นรู้ว่าแม่แต่งงานกับพ่อเขาก็รับไม่ได้ที่แม่นั้นหนีออกมาตบแต่งกับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า เขาต้องการที่จะให้แม่กลับมาแต่งงานกับคนของตระกูลซื่อด้วยการบีบบังคับต่าง ๆ นา ๆ ไม่ว่าจะเป็นเข้ามาก่อกวนธุระกิจของบ้านเรา หรือแม้แต่ส่งคนมาทำร้ายคนภายในบริษัท แต่เพราะอำนาจของคุณยายทำให้คุณตานั้นไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านี้ และในเมื่อเขาไม่สามารถทำอะไรได้เขาจึงได้ขับไล่แม่และคุณยายออกจากตระกูลหาน”
เทียนหลางได้ฟังก็พยักหน้าเบา ๆ ในตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าเหตุใดพ่อของเขาถึงถูกไล่ออกจากงานทั้งที่มีหน้ามีตาในบริษัทขนาดนั้น หรือว่าทำไมธุระกิจอื่น ๆ ก่อนหน้าของที่บ้านจึงรายได้ไม่ค่อยดีนักจนต้องล้มเลิกไปเขาไม่คิดว่าคนเป็นพ่อแท้ ๆ จะทำกับลูกของตัวเองได้ขนาดนี้จนทำให้ลูกตัวเองตกระกำลำบากขนาดนี้
เทียนหลางรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากกว่าหลังจากที่ยายของตัวเองนั้นมีชีวิตการเป็นอยู่เช่นไรหลังจากที่โดนไล่ออกจากตระกูลหาน
”แล้วคุณยายละครับ ?”
”คุณยายของลูกนั้นหลังจากที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลหานก็กลับไปที่ตระกูลฉวีของท่านและได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลฉวีและใช้อำนาจของตระกูลคอยดูแลแม่มาตลอด”
เทียนหลางสรุปอย่างสั้น ๆ ว่าตระกูลหานของคุณยายนั้นคงเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อยถึงได้มีอำนาจถึงขนาดขัดแข้งขัดขาหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงอย่างตระกูลหานได้แบบนี้
เทียนหลางรู้สึกอยากขอบคุณยายของเขาอย่างมากที่คอยดูแลแม่มาตลอด เขาจึงคิดว่าจะไปเยี่ยมเยียนท่านและให้ของขวัญแก่ท่านสักเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ แต่ในขณะที่เทียนหลางกำลังคิดถึงเรื่องของคุณยายอยู่นั้นเขาก็นึกถึงเรื่องที่น้าของเขามาหาถึงที่นี้ได้จึงเอ่ยถามออกไป
”แล้วพวกนั้นมาทำอะไรที่นี้ละครับแม่ในเมื่อแม่ถูกขับออกจากตระกูลมาแล้ว ?”
เมื่อแม่ของเทียนหลางได้ยินก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”ดูเหมือนว่าวงจรนี้จะยังคงหมุนต่อไป และดูเหมือนว่าแม่จะลากลูกเข้ามาเกี่ยวด้วยนะสิ”
เทียนหลางรู้ได้ทันทีหลังจากที่ได้ยินคำพูดของแม่
”แม่จะบอกว่าคนจากตระกูลหานจะให้ผมแต่งงานเพื่อผลประโยชน์อย่างที่พวกเขาทำกับแม่งั้นเหรอ ?”
แม่ของเทียนหลางพยักหน้าเป็นการบอกว่าการคาดเดาของเทียนหลางนั้นถูกต้อง เทียนหลางเมื่อได้รับการยืนยันก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดขึ้นเพื่อให้แม่ของเขาหายกังวล
”แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เขาไม่ทางเอาผมไปแต่งงานกับคนอื่นได้หรอกเพราะผมมีเฟิงหยวนอยู่แล้ว”
เมื่อแม่ของเขาได้ยินก็ยิ้มก่อนจะคลายความกังวลลง
”นั่นสินะ แม่คงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นแต่ถึงอย่างงั้นลูกก็ต้องระวังตัวเอาไว้ด้วยนะ โดยเฉพาะหนูเฟิงหยวนแม่รู้ว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง”
เฟิงหยวนที่ได้ยินก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ไม่มีใครทำอะไรหนูได้หรอก”
”ได้ยินแบบนั้นแม่ก็โล่งใจ”
เทียนหลางนั้นไม่ได้เป็นห่วงเรื่องการโดนบังคับแต่งงานเลยแม้แต่น้อยเพราะในโลกนี้คงไม่มีใครที่จะสามารถมาบังคับเขาได้ และยิ่งในตอนนี้เขามีเฟิงหยวนอยู่ด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องเป็นห่วงเข้าไปใหญ่ ที่ต้องห่วงคือฝ่ายตรงข้ามเสียมากกว่าหากพวกนั้นทำให้เฟิงหยวนโกรธเข้าแล้วละก็คงกลายเป็นการล่มสลายของตระกูลนั้นอย่างแน่นอน
ในขณะที่เทียนหลางกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นั้นเฟิงหยวนก็หยิกเขาจนทำให้ร้องออกมา
”โอ๊ย !! คุณหยิกผมทำไมกันเนี่ย ?”
”ที่ฉันหยิกคุณก็เพราะจะเตือนให้คุณไปทำอาหารนะสิ เร็วเข้านี่มันเย็นมากแล้วนะ”
”เข้าใจแล้ว”
เทียนหลางเดินคอตกเข้าไปในห้องครัวตอนนี้เขานั้นไม่สามารถขัดขืนเฟิงหยวนได้เลยแม้แต่น้อย ในใจลึก ๆ เขารู้สึกสงสารตัวเองจริง ๆ