ในขณะที่เทียนหลางกำลังทำข้าวเย็นอยู่นั้นโทรศัพของเขาก็ดังขึ้น เมื่อเทียนหลางหยิบโทรศัพขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นหลี่ไห่ที่โทรมา เทียนหลางจึงรับอย่างรวดเร็ว
”ว่าไงครับปู่หลี่ ?”
”โอ้เทียนหลางงั้นเหรอ ?”
”ใช่ครับ การบ่มเพาะเป็นยังไงบ้างครับ ?”
เมื่อได้ยินคำถามหลี่ไห่ก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
”มันสุดยอดไปเลยละ ฉันรู้สึกว่าตัวเองหนุ่มขึ้นสักสิบยี่สิบปีเลยละ”
เทียนหลางหัวเราะออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”เช่นนั้นก็ดีแล้วครับ ว่าแต่ที่โทรมามีอะไรงั้นเหรอครับ ?”
”ที่ฉันโทรมาเพราะมีข่าวดีจะบอกเธอนะ”
เทียนหลางได้ยินก็สงสัยเล็กน้อยก่อนจะถามพร้อมกับขนซุปในหม้อ
”ข่าวดีอะไรงั้นเหรอครับ ?”
”ฉันดียินมาว่าอีกหนึ่งเดือนจะมีงานประมูลใหญ่จัดขึ้นที่เมืองหลวงนะ”
”งานประมูลใหญ่งั้นเหรอครับ ?”
เทียนหลางถามกลับด้วยความสงสัยแม้เขาจะรู้ว่าโลกนี้จะมีการประมูลสินค้าอยู่มากมายก็ตาม แต่เขาไม่คิดว่าจะมีการจัดงานยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นเพราะจากที่เขาเคยรู้มางานประมูลปกตินั้นก็มีสินค้าประเภทวัตถุโบราณกับรูปภาพเก่า ๆ ที่เอามาประมูลให้นักสะสมแย่งกันซื้อเท่านั้น มันไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับผู้บ่มเพาะอย่างเขาเลยแม้แต่น้อย
แต่คำพูดต่อมาของหลี่ไห่ก็ทำให้เทียนหลางเปลี่ยนความคิดและเริ่มที่จะสนใจ
”ใช่ ฉันได้ยินมาว่าในงานประมูลรอบนี้จะมีของดี ๆ มาประมูลเป็นจำนวนมากเลยบางทีนายอาจจะเจอของที่ต้องการก็นะ แล้วก็เขายังให้คนนอกสามารถนำสิ่งของไปประมูลได้อีกด้วย แต่ต้องได้รับการยอมรับจากคนภายนอกด้วยนะ”
ทันทีที่เทียนหลางได้ยินหลี่ไห่พูดจบเขาก็นึกถึงเรื่องของศิลาจักรวาลที่เทาเจาเป็นคนบอกก่อนหน้านี้ บางทีหากโชคของเขาไม่เลวร้ายจนเกินไปนักอาจจะเจอของที่เขาต้องการในงานประมูลก็ได้
และเทียนหลางก็อยากจะเอายาทิพย์ไปลงประมูลด้วยเช่นกัน เพราะในตอนนี้เขารู้สึกว่าเงินในบัญชีของเขาเริ่มจะลดลงเล็กน้อยแล้วด้วย
หลังจากแนะนำการบ่มเพาะให้กับหลี่ไห่เสร็จเทียนหลางก็นำอาหารที่ทำเสร็จมาที่ห้องอาหารพร้อมกับเริ่มทานข้าวกับครอบครัว ในขณะนั้นเทียนหลางก็ได้พูดขึ้น
”ผมว่าเดือนหน้าจะไปเมืองหลวงนะครับ”
เมื่อทุกคนได้ยินก็หันมามองเทียนหลางเป็นตาเดียวกัน เทียนหลางจึงรีบอธิบาย
”คือปู่หลี่ไห่เขาโทรมาชวนผมไปร่วมงานประมูลใหญ่ที่เมืองหลวงหน่ะครับ”
ทุกคนพยักหน้าก่อนที่แม่ของเทียนหลางจะพูดขึ้น
”งั้นก็แวะเยี่ยมคุณยายด้วยเข้าใจไหม”
”เข้าใจแล้วครับ”
”แล้วก็พาหนูเฟิงหยวนไปด้วย จะได้พากันไปเปิดหูเปิดตา”
”ครับผม”
เทียนหลางตอบรับอย่างว่าง่ายเพราะใจจริงเขาก็อยากจะพาเฟิงหยวนไปอยู่แล้ว เพราะเธอนั้นมีสายตาที่เฉียบแหลมในการมองสมบัติการพาเธอไปอาจทำให้เทียนหลางได้พบเจอกับของหายากในราคาถูกก็เป็นได้
………………………….
สองวันต่อมาในขณะที่เทียนหลางกับเฟิงหยวนกำลังนั่งสร้างเครื่องดับเพื่อส่งให้กับร้านอยู่นั้นกริ่งของประตูบ้านก็ถูกกด ทำเอาทั้งสองคนมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนเฟิงหยวนจะลุกไปเปิดประตู
เมื่อเฟิงหยวนเปิดประตูก็พบกับสองแม่ลูกที่เธอเจอที่ตลาดเมื่อเย็นเมื่อวาน เฟิงหยวนสงสัยเล็กน้อยจึงเอ่ยถามขึ้น
”คุณมีธุระอะไรงั้นเหรอคะ ?”
แม่ของเด็กหญิงก็พูดขึ้นทันที
”คุณรักษาลูกสาวของฉันได้จริง ๆ ใช่ไหม ?”
เฟิงหยวนที่ได้ยินก็ยิ้มก่อนจะพูดขึ้น
”ได้แน่นอนหากคุณน้าไว้ใจสามีของดิฉัน”
”ถ้าเช่นนั้นโปรดช่วยลูกสาวของฉันด้วยเถอะค่ะ !”
แม่ของเด็กหญิงพูดพร้อมกับคุกเข่าลงกับพื้น ทำให้เฟิงหยวนตกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มและช่วยประคองเธอขึ้นและพาเธอกับลูกสาวไปหาเทียนหลางที่กำลังอยู่ในบ้านด้านหลัง
”สวนสวยจังเลยนะคะ”
คุณแม่ของเด็กหญิงพูดทำให้เฟิงหยวนหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเข้ามาหาเทียนหลาง เทียนหลางมองทั้งคู่ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยและพูดขึ้น
”คุณตัดสินใจแล้วสินะ”
”ค่ะ !”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะอธิบายถึงวิธีการรักษาอย่างสั้น ๆ
”วิธีการรักษาของผมนั้นอาจจะแปลกประหลาดจากหมอทั่วไปนิดหน่อยนะครับ การรักษาของผมนั้นไม่ใช่ทำให้มันหายแต่เป็นการฝึกให้เด็กคนนั้นควบคุมพลังของตนเองได้นะครับ”
เมื่อแม่ของเธอได้ยินก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะถามอะไรเทียนหลางก็ได้อธิบายเพิ่มเติม
”อันที่จริงแล้วอาการที่ลูกสาวของคุณแสดงออกมานั้นไม่ได้มาจากโรคครับ”
”ลูกสาวของฉันไม่ได้เป็นโรคงั้นเหรอคะ ?”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะเริ่มอธิบายอีกครั้ง
”อันที่จริงสิ่งที่ลูกสาวของคุณมีอาจจะเรียกว่าเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งก็เป็นได้ครับ แต่ไม่ใช่พวกพรสวรรค์ด้านกีฬา หรือว่าความฉลาดหลักแหลมแบบทั่วไป”
”แล้วลูกสาวของดิฉันมีพรสวรรค์ด้านไหนงั้นเหรอคะ ?”
”มันอาจจะฟังดูบ้าไปสักเล็กน้อยนะครับ แต่ลูกสาวของคุณมีพรสวรรค์ในด้านการฝึกยุทธนะครับ”
”ฝึกยุทธงั้นเหรอคะ ?”
เธอถามออกมาด้วยความสงสัย ทำให้เทียนหลางต้องพยักหน้า
”แล้วไอการฝึกยุทธนี่มันคืออะไรกันคะ ?”
เธอยังคงถามต่อไปด้วยความสงสัย เทียนหลางจึงอธิบายให้ฟังอย่างง่าย ๆ โดยการปกปิดส่วนหนึ่งเอาไว้
”การฝึกยุทธนั้นคือศิลปะการต่อสู้รูปแบบหนึ่งครับ แต่มันจะแตกต่างจากการพวกยูโด มวย หรืออื่น ๆ นะครับ”
”แตกต่าง ?”
”ใช่ครับ ถ้าจะให้อธิบายนั้นก็คงจะยืดยาวเกินเข้าใจเอาเป็นว่าแสดงให้เห็นเลยแล้วกันนะครับ”
จากนั้นเทียนหลางก็พาแม่และเด็กสาวออกมาที่สวนก่อนที่เทียนหลางและเฟิงหยวนจะปะทะกันเล็กน้อยเพื่อแสดงให้สองแม่ลูกดู การต่อสู้เบา ๆ ของทั้งสองนั้นเหมือนกับฉากต่อสู้ของเหล่าจอมยุทธที่ออกมาจากหนังหรือละครไม่มีผิด ทำให้ทั้งสองแม่ลูกนั้นตกตะลึงไม่น้อย
หลังจากแสดงให้ทั้งสองแม่ลูกเห็นเทียนหลางก็พูดขึ้น
”มันก็จะประมาณนี้แหละครับ”
แม่ของเด็กหญิงพยักหน้าด้วยความงงงวยเล็กน้อยก่อนจะถามส่วนที่สำคัญที่สุดที่เธอคาใจ
”แล้วการฝึกยุทธอะไรนี่จะช่วยรักษาลูกสาวของดิฉันได้ยังไงคะ ?”
”การฝึกยุทธจะใช้การบ่มเพาะพลังภายในเป็นตัวช่วยในการฝึกครับ และหากลูกของคุณได้รับการฝึกที่ถูกต้องก็จะสามารถควบคุมความเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเธอได้ครับ แต่ว่า…”
เทียนหลางหยุดพูดไว้กลางคันและมองเด็กหญิงตรงหน้า ทำให้แม่ของเธอสงสัยเล็กน้อยจนต้องเอ่ยถามขึ้น
”แต่ว่าอะไรงั้นเหรอคะ ?”
”การฝึกยุทธนั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบาก และบางครั้งอาจจะมากเกินไปสำหรับเด็กอายุแปดขวบ ผมกังวลว่าเธออาจทนไม่ไหวและยอมแพ้ไปเสียก่อน ดังนั้นผมจึงอยากถามความสมัครใจของเธอนะครับ”
เมื่อเทียนหลางพูดจบก็เดินมาหยุดตรงหน้าของเด็กหญิงก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นและถามขึ้น
”เธอชื่ออะไรงั้นเหรอ ?”
เด็กหญิงอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบ
”หนูชื่อหลินหลิน”
”หลินหลินน้อยงั้นเหรอ… เธออยากจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธรึเปล่า ?”
เทียนหลางไม่รีรอถามเข้าประเด็นทันที ทำให้หลินหลินน้อยลังเลอยู่สักพักก่อนที่เธอจะเอ่ยถามสิ่งหนึ่งออกมา
”ถ้าหนูกลายเป็นผู้ฝึกยุทธแล้วหนูจะหายรึเปล่า ?”
เทียนหลางที่ได้ยินคำถามก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”แน่นอนสิ”
”ถ้างั้นหนูก็จะเป็นผู้ฝึกยุทธ !”
หลินหลินน้อยพูดออกมาด้วยความมั่นใจทำให้เทียนหลางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา และถามเธออีกครั้ง
”แต่การเป็นผู้ฝึกยุทธนั้นลำบากมากเลยนะ หลินหลินน้อยจะทนไหวงั้นเหรอ ?”
เมื่อได้ยินคำถามหลินหลินน้อยก็ใช้มือน้อย ๆ ของเธอทุบไปที่อกก่อนจะพูดขึ้นด้วยความมั่นใจอีกครั้ง
”หนูจะอดทนหากมันทำให้หนูสามารถมีเพื่อนได้อีกครั้ง”
เทียนหลางที่ได้ยินคำตอบของหลินหลินน้อยก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยก่อนที่ในใจของเขาจะเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาที่ตนเองนั้นได้ลากเด็กน้อยคนหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับโลกที่มีแต่การฆ่าฟันอันไร้ที่สิ้นสุดอย่างนี้ ทำให้เขานั้นเริ่มที่จะลังเลที่จะสั่งสอนเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า แม้ความจริงเทียนหลางอยากจะได้เธอมาเป็นศิษย์และหวังดีที่ต้องการจะให้เธอนั้นสามารถควบคุมพลังที่ของตนได้
แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการที่เขาทำแบบนี้อาจเป็นการทำลายอนาคตของเด็กคนหนึ่งที่กำลังอาศัยอยู่ในโลกที่สงบสุขแบบนี้ ทำให้เขานั้นรู้สึกกังวลไม่น้อยและเริ่มลังเลที่จะสั่งสอนเธอ ในขณะนั้นมือของเฟิงหยวนก็ได้มาจับมือของเทียนหลางเอาไว้พร้อมส่งยิ้มให้กับเขาก่อนจะพูดขึ้น
”คุณตัดสินใจดีแล้ว”
เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะสลัดความกังวลนั้นทิ้งไปและตัดสินใจที่จะสั่งสอนเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้าอย่างสุดความสามารถ อย่างที่เขาทำกับศิษย์ทุกคนมาตลอด