เช้าวันต่อมาเทียนหลางตื่นขึ้นเพราะเสียงประตูห้องที่ถูกเปิดออก เขาลุกขึ้นก่อนจะขยี้ตาเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยถามผู้ที่เปิดประตูซึ่งก็คือเฟิงหยวนที่ถือทานอาหารเช้ามาให้กับเขานั่นเอง
”คุณตื่นเช้าจังนะ”
”ใครมันจะไปนอนกินบ้านกินเมืองเหมือนคุณกันละ”
เฟิงหยวนพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะนำถาดอาหารเช้ามาวางไว้ด้านหน้าเทียนหลาง
”ขอบคุณ”
ระหว่างทางอาหารเช้าเทียนหลางก็พูดขึ้นเพราะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขาจะต้องไปที่เมืองหลวงเพราะมันครบกำหนดที่จะต้องไปรักษาคุณนายตระกูลตงเสวียแล้ว เขาจึงบอกกับเฟิงหยวนเอาไว้ก่อนเพื่อกันเธอถามทีหลัง
”ผมต้องไปรักษาคุณนายตงเสวียที่เมืองหลวงนะวันนี้”
เฟิงหยวนที่ได้ยินก็พยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น
”ไปตะล่อมคุณหนูตงเสวียมาเป็นภรรยารองคุณสะด้วยละ”
เมื่อเทียนหลางได้ยินคำพูดของเฟิงหยวนก็แสดงสีหน้าขมขื่นออกมาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงท้อแท้
”ทำไมคุณถึงต้องการภรรยารองมากมายนักเล่า ผมพยายามคิดมาสักพักก็ไม่เห็นว่ามันจะดีตรงไหนเลยถึงคุณจะบอกว่าให้มาช่วยงานผมก็เถอะ”
”ในตอนนี้อาจจะยังไม่จำเป็น แต่ในอนาคตนั้นไม่แน่นอนแล้วอีกอย่างฉันไม่ได้เลือกภรรยารองให้คุณโดยการจับฉลากหรอกนะ ฉันเลือกเผื่อไว้มีเหตุจำเป็นในอนาคต”
เฟิงหยวนพูดพร้อมกับจิบชา ทำเอาเทียนหลางทำได้เพียงถอนหายใจกับความคิดของเธอแม้เขาจะอยู่กับเฟิงหยวนมานานแต่เขาก็มักจะคาดเดาความคิดของนางไม่ค่อยจะออกสักเท่าไหร่ และเมื่อเฟิงหยวนคิดวางแผนอะไรสักอย่างขึ้นมาก็มักจะมีผลตามมาที่ปวดหัวอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างงั้นผลดีของมันก็มีมากมายมหาศาลเช่นกัน
”เข้าใจแล้ว ผมจะพยายามมัดใจสาวที่คุณเลือกให้ผมก็แล้วกันแต่ผมขอบอกไว้ก่อนนะ ผมไม่ค่อยชอบเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่”
เฟิงหยวนที่ได้ยินก็จ้องมองเทียนหลางด้วยหางตาก่อนจะถอนสายตากลับไปและจิบชาตามเดิม สายตาของเฟิงหยวนที่มองเขาเมื่อกี้นี้ทำให้ตัวของเทียนหลางไม่ได้สบายใจเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่สามารถจะพูดอะไรได้เพราะเขารู้ตัวดีว่าเมื่อก่อนนั้นเขาก็ไม่ได้ทำตัวเป็นคนดีสักเท่าไหร่นัก
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเทียนหลางก็นึกอะไรขึ้นได้ก่อนจะหยิบมันออกมาจากแหวนของเขาซึ่งมันคือ ไข่มุกฟ้าคราม เมื่อเฟิงหยวนเห็นไข่มุกฟ้าครามในมือของเทียนหลางสายตาของเธอก็เป็นประกายเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
”นั่นมันไข่มุกฟ้าครามนี้คุณได้มันมาจากไหนนะ ?”
”ผมเจอมันตอนไปที่ตลาดทองคำในราคา 2แสนเหรียญน่ะ”
เมื่อเฟิงหยวนได้ยินราคาของมันก็ถึงกับขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะกล่าวตำหนิออกมา
”ใครมันบ้าขายไข่มุกฟ้าครามในราคา 2แสนเหรียญ”
เทียนหลางที่ได้ยินก็หัวเราะออกมาและเห็นด้วยกับคำพูดของเฟิงหยวนเพราะมูลค่าที่แท้จริงของไข่มุกฟ้าครามนั้นมีมากกว่า 2แสนเหรียญไปมากด้วยคุณสมบัติที่ป้องกันการโจมตีถึงตายได้หนึ่งครั้งจากวรยุทธ์ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าขั้นนภา หากนำมันมาสร้างเป็นเครื่องประดับนั่นจึงทำให้มันเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับผู้บ่มเพาะระดับต่ำทั้งหลาย
เทียนหลางนำไข่มุกฟ้าครามทั้งสามเม็ดมาและโยนมันลงไปที่น้ำตกของสวนก่อนจะหยิบขวดน้ำตามังกรที่เจือจางแล้วมาและหยดมันลงไปในน้ำ ทันทีที่น้ำตามังกรนั้นผสมเข้ากับน้ำในทะเลสาบมันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากที่มันกลายเป็นเพียงน้ำเปล่าสะอาดธรรมดาๆ ทันทีที่มันได้ผสมรวมเข้ากับน้ำตามังกรมันก็กลายเป็นทะเลสาบน้ำทิพย์ที่ใสราวกับกระจกสะท้อนไปเสียอย่างงั้น
เฟิงหยวนที่มองดูเหตุการณ์ตรงหน้าก็มองเทียนหลางเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”คุณต้องทำถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ ?”
”ทำยังไงได้ไข่มุกฟ้าครามต้องการสภาพการเป็นอยู่ที่พิเศษ ไม่อย่างงั้นมันจะเติบโตอย่างเชื่องช้ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถเพาะเลี้ยงมันได้”
เดิมที่เทียนหลางก็ไม่ต้องการที่จะทำเช่นนี้แต่หากเทียนหลางเลี้ยงไข่มุกฟ้าครามด้วยน้ำธรรมดาแล้วละก็เขาคงต้องรออีกเป็นร้อยปีกว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวมันได้ทำให้เขาไม่มีทางเลือก แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ยังมีเรื่องดีอยู่ก็คือน้ำในทะเลสาบนั้นจะกลายเป็นน้ำทิพย์บริสุทธิ์ที่ไม่มีการปนเปื้อนใดๆ และไม่สามารถปนเปื้อนได้
เทียนหลางมองไข่มุกฟ้าครามทั้งสามเม็ดที่นอนอยู่ก้นทะเลสาบก่อนจะเลิกสนใจมัน พร้อมกับคิดถึงเรื่องที่จะต้องไปรักษาคุณนายตงเสวียเทียนหลางกล่าวลาเฟิงหยวนเล็กน้อย
”งั้นผมไปที่บ้านตระกูลตงเสวียก่อนนะ”
”อืม… อย่าลืมของฝากละ”
”เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากพูดจบร่างกายของเทียนหลางก็ค่อยๆ หายไปจากจุดเดิมและมาโผล่ที่ด้านหน้าประตูรั้วของบ้านตระกูลตงเสวีย พวกยามเมื่อเห็นเทียนหลางปรากฏตัวออกมาอย่างกระทันหันก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ทันที บางคนถึงกับชักปืนขู่ด้วยซ้ำ ทำเอาเทียนหลางตกใจเล็กน้อย
”ใจเย็นก่อนครับ ผมไม่ใช่คนน่าสงสัยผมแค่มาหาคุณหนูตงเสวีย”
เมื่อยามได้ยินแบบนั้นก็ต่างมองหน้ากันก่อนจะหยิบโทรศัพและโทรไปยังหมายเลขหนึ่งเมื่อปลายสายรับทั้งคู่ก็คุยอยู่พักหนึ่งก่อนที่ยามจะยื่นโทรศัพมาให้กับเทียนหลาง ก่อนที่เทียนหลางจะรับและพูดขึ้น
”ฮัลโหล ?”
”โอ้ ~ นั่นคงเป็นคุณชายเทียนหลาง ผมพ่อบ้านของตระกูลตงเสวียเองขอรับ”
เทียนหลางคิดเล็กน้อยก่อนจะนึกถึงพ่อบ้านที่เคยมารับเขาคราวก่อน
”ผมจำได้ครับ”
”ขอรับ ตอนนี้คุณชายเทียนหลางคงอยู่ที่ประตูหน้าเช่นนั้นผมจะนำรถออกไปรับเองนะขอรับ”
เทียนหลางที่ได้ยินดังนั้นก็กล่าวปฏิเสธทันที
”ไม่ต้องหรอกครับ เดียวผมจะเดินเข้าไปเอง”
”มันดีเหรอครับ ?”
”ถือว่าเป็นการออกกำลังกายยามเช้าแล้วกันครับ”
”ถ้าเช่นนั้นผมจะรอคุณอยู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์แล้วกันนะครับ”
”เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากวางสายพวกยามก็เปิดประตูให้เทียนหลางเดินเข้าไปด้านใน เทียนหลางตัดสินใจเดินแทนการนั่งรถที่จะมารับก็เพียงเพราะเขานั้นอยากเดินชมบรรยากาศเท่านั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษในขณะที่เทียนหลางกำลังเดินดูต้นไม้ข้างทางอยู่นั้นโทรศัพมือถือของเขาก็ดังขึ้นและเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักโทรมา
”ฮัลโหล ?”
”ว่าไงครับ คุณเทียนหลางผมเลขาไป๋เองนะครับ”
”โอ้ ~ เลขาไป๋โทรมาหาผมแต่เช้านั้นมีเรื่องอะไรงั้นเหรอครับ ?”
”พอดีผมมีเรื่องภาระกิจมาแจ้งกับคุณนะครับ”
”ภาระกิจงั้นเหรอครับ ? ไวงี้เชียว ?”
”คือมันเป็นภาระกิจด่วนนะครับ”
”ผมเข้าใจครับ แต่ว่าอีกไม่กี่วันมหาลัยของผมจะเปิดแล้ว”
”เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงครับทางผมจะพูดคุยกับทางมหาลัยให้เอง”
เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้น
”ถ้างั้นก็โอเคครับเดียวผมจะไปหาที่ศูนย์แล้วกันนะครับ แต่ตอนนี้ผมติดธุระอยู่คงไปในตอนนี้ไม่ได้”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเลขาไป๋ก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ
”เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากคุยกันอีกเล็กน้อยเรื่องรายละเอียดของภาระกิจเทียนหลางก็ตัดสินใจรับงาน ไม่นานนักเทียนหลางเทียนหลางก็มาถึงด้านหน้าของคฤหาสน์ตระกูลตงเสวียซึ่งมีพ่อบ้านชราคนเดิมที่เขาเคยเจอนั้นยืนรออยู่ เขาเดินเข้ามาทักทายเทียนหลางทันทีก่อนจะเชิญเข้ามาด้านในเมื่อเข้ามาเทียนหลางก็เห็นคุณหนูตงเสวียกำลังนั่งคุยกับชายหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันคนหนึ่งอยู่แต่ดูเหมือนคุณหนูตงเสวียจะไม่ค่อยจะอยากคุยกับชายหนุ่มตรงหน้าสักเท่าไหร่ใบหน้าของเธอนั้นดูเย็นชาและน้ำเสียงก็ดูเหมือนจะเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก แม้ชายหนุ่มตรงหน้าจะหล่อเหลาแต่ก็ไม่พอที่จะเรียกความสนใจของเธอได้เลย ทำเอาเทียนหลางรู้สึกสงสารชายหนุ่มคนนี้จริงๆ
เมื่อเทียนหลางปรากฏตัวใบหน้าที่แสนเย็นชาของคุณหนูตงเสวียก็พลันปรากฏรอยยิ้มออกมาเธอลุกขึ้นจากโซฟาและเดินเข้ามาหาเทียนหลางทันที
”ในที่สุดคุณก็มาสักที คุณชายเทียน”
”ผมต้องมาอยู่แล้วครับ”
เทียนหลางไม่รอช้ารีบถามถึงอาการของคุณนายตงเสวียทันที
”แล้วอาการของแม่คุณเป็นยังไงบ้างครับ”
”ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วต้องขอบคุณยาของคุณจริงๆ ไม่อย่างงั้นฉันคงเสียคุณแม่ไปแล้ว”
เมื่อได้ยินที่คุณหนูตงเสวียพูดเทียนหลางก็มองเห็นความเจ็บปวดผ่านทางสายตาของเธอ เทียนหลางถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
”เอาละมารักษาแม่ของคุณให้หายดีกันดีกว่า ให้ผมได้ตรวจร่างกายของเธอก่อนแล้วกันนะ”
”งั้นตามฉันมาเลยค่ะ”
คุณหนูตงเสวียนำทางเทียนหลางด้วยรอยยิ้มโดยที่เธอได้ลืมชายหนุ่มที่คุยกันเมื่อกี้ไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกลืมโดยสมบูรณ์เขาก็ยอมรับไม่ได้จึงได้หันมาและพูดขึ้น
”คุณหนูตงเสวียครับ ไม่ทราบว่าชายคนนี้คือใครงั้นเหรอครับ ?”
เมื่อได้ยินคำถามคุณหนูตงเสวียก็หันมาพร้อมกับพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
”โอ้ จริงสิคุณชายเทียนหลางทางด้านนี้คือ คุณชายจากตระกูลฟู่ ชื่อฟู่จงฉิน คุณชายฟู่นี่คือคุณชายเทียนหลาง จากตระกูลฉวี”
เมื่อได้ยินคำแนะนำของคุณหนูตงเสวียชายตาของฟู่จงฉินที่มองเทียนหลางก็เปลี่ยนไปทันทีจากเย็นชากลายเป็นเหยียดหยาม แม้เทียนหลางจะสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมเขาถึงถูกมองด้วยสายตาแบบนั้นแต่หากจะให้เดาก็คงเป็นเพราะตระกูลฉวีนั้นไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักในเมืองหลวงเพราะธุรกิจของตระกูลฉวีส่วนใหญ่นั้นอยู่ที่ต่างประเทศ จึงมีบ้างที่หลายคนไม่จักและคิดว่าตระกูลฉวีนั้นเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ และแน่นอนว่าตระกูลเล็กๆ ย่อมถูกมองแบบนี้โดยเหล่าตระกูลใหญ่ต่างๆ
แม้เขาจะไม่ได้สนใจสายตาเหยียดหยามพวกนี้แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะชอบที่ถูกมองด้วยสายตานั้น เขาจึงจ้องมองฟู่จงฉินเล็กน้อยก่อนจะเลิกให้ความสนใจไปอย่างรวดเร็วและกลับไปคุยกับคุณหนูตงเสวีย
”เราอย่ามาเสียเวลาเลยดีกว่าครับ ต่อจากนี้ผมยังมีธุระต่ออีกหากเป็นไปได้ควรจะรีบหน่อยดีกว่า”
”เข้าใจแล้วค่ะ”
คุณหนูตงเสวียรีบนำเทียนหลางไปที่ห้องของแม่เธอทันทีแต่ในขณะที่เทียนหลางกำลังจะเดินตามคุณหนูตงเสวียไปนั้นไหล่ของเขาก็ถูกจับโดยฟู่จงฉิน เทียนหลางมองเขาด้วยหางตาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”มีอะไร ? ไม่เห็นรึไงว่าฉันกำลังรีบ”
”ไม่ใช่ว่าเรายังคุยกันไม่จบ ไม่ใช่เหรอ ?”
”คุย ? ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนายฉะนั้นช่วยปล่อยมือของนายจากแขนของฉันด้วย”
เมื่อได้ยินแบบนั้นใบหน้าของฟู่จงฉินก็ขึ้นสีเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
”ฉันบอกว่าจะคุยกับแกฉะนั้นแกก็ต้องหยุดทุกอย่างเพื่อคุยกับฉัน”
เทียนหลางได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจกับอีโก้ที่สูงทะลุแพดานของชายตรงหน้า ก่อนจะเอื้อมมือของเขาออกไปพร้อมกับบีบอัดปราณเล็กน้อยลงไปที่ปลายนิ้วก่อนที่จะ
เปรี้ยง !!!
บรรจงดีดหน้าผากของเขาอย่างแรง ทันทีปลายนิ้วของเทียนหลางสัมผัสกับหน้าผากของฟู่จงฉิน ฟู่จงฉินก็รู้สึกว่ามีแรงจำนวนมหาศาลมาปะทะกับหน้าผากของเขาก่อนที่เขาจะหมดสติไปพร้อมกับร่างที่กระเด็นออกไปที่ประตูหน้า
เมื่อคุณหนูตงเสวียเห็นฉากตรงหน้าก็ถึงกับตกตะลึงไปเล็กน้อยเธอไม่คิดว่าเทียนหลางจะแข็งแกร่งขนาดนี้แม้ว่าเธอจะรู้จากคุณพ่อบ้านมาบ้างว่าเทียนหลางเป็นผู้ฝึกยุทธ์แต่ตอนนั้นเธอก็ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่เมื่อเธอเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วก็มีแต่จะต้องเชื่อเท่านั้น
หลังจากเทียนหลางจัดการฟู่จงฉินเสร็จก็หันกลับมาหาคุณหนูตงเสวียพร้อมกับพูดขึ้น
”เอาละ เราไปรักษาแม่ของคุณกันดีกว่า”