เมื่อโดนไล่ตะเพิดออกจากร้านตัดเสื้อเล็กๆ มาสามร้าน ลูเซียนรู้สึกหดหู่ใจอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะเอาผ้าสีดำออกมาตั้งแต่แรก ช่างตัดเสื้อก็ยังไม่ยอมไว้ใจ และไม่เต็มใจจะดูว่าเป็นผ้าชนิดใด พวกเขาระแวดระวังตัวกับคนแปลกหน้าอย่างลูเซียนยิ่งนัก
ตลาดแห่งนี้กินพื้นที่กว้างขวาง มีตรอกซอกซอยมากมายพาดผ่านตัดกัน ผู้คนเดินกันขวักไขว่ และบ่อยครั้งยังเห็นคนแคระ เอล์ฟ และเผ่าพันธุ์อื่นๆ อีกด้วย แม้คนจะพลุกพล่าน แต่ไม่นานลูเซียนก็เจอร้านตัดเสื้ออีกร้านที่ดูสะอาดและสง่างามที่ตรงท้ายซอยแห่งหนึ่ง
ข้างหลังเคาน์เตอร์คือเด็กหนุ่มผมบลอนด์อายุสิบห้าสิบหกปีท่าทางเหนียมอายที่ส่งยิ้มมาให้ “ท่านอาจารย์กำลังตัดเสื้ออยู่ข้างหลังขอรับ ช้ามีชื่อว่าบัสเตอร์ มีอะไรให้ข้าช่วยไหมขอรับ”
“เจ้าช่วยดูผ้าคลุมหน้าผืนนี้หน่อยได้หรือไม่” ลูเซียนได้รับบทเรียนมาแล้วหลายครั้ง เขาจึงถามโดยไม่อ้อมค้อม
บัสเตอร์คิดว่าลูเซียนคงจะอยากหาซื้อผ้าที่เนื้อใกล้เคียงกันกับผ้าคลุมหน้าผืนนี้ เขาจึงรับไปโดยไม่สงสัยอะไร เขาลูบดูเนื้อผ้า และส่องมันกับแสงแดด สีหน้าเขาเริ่มกลายเป็นประหลาดใจขึ้นเรื่อยๆ “นายท่าน นี่คือผ้า ‘ไนติงเกลดำ’ จากอาณาจักรโฮล์ม เป็นผ้าสีดำแบบที่ชนชั้นขุนนางที่แท้จริงเท่านั้นจะมีมันในครอบครองได้ ท่านได้มันมาอย่างไรกัน”
เขาแสดงอาการตื่นตัวระแวดระวังและกังวลเหมือนกับช่างตัดเสื้อคนอื่นๆ ลูเซียนที่สวมเพียงชุดลินินไม่มีทางมีเงินพอจะซื้อ ‘ไนติงเกลดำ’ เป็นแน่ แม้แต่คนมีอันจะกินหลายๆ คนยังไม่มีเงินพอจะซื้อมันเลย แล้วเช่นนี้จะไม่ให้เขาสงสัยได้อย่างไร
ลูเซียนเห็นปฏิกิริยาแบบนี้มาแล้วจากทุกคนก่อนหน้า จึงทำเพียงลดเสียงลง “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่มีทางสร้างปัญหาให้เจ้าหรอก”
“จริงหรือ” ชายในวัยสามสิบกลางๆ ผู้มีใบหน้าเรียวยาวเดินออกมาจากหลังร้าน เขาคือแม็กโดเวลล์ เจ้าของร้านตัดเสื้อแห่งนี้ ก่อนหน้านี้ เขาประหลาดใจเพราะบัสเตอร์ส่งเสียงดังรบกวน เขาจึงออกมาดูและทันได้ยินคำอธิบายของลูเซียน
ไม่ไล่ออกจากร้านงั้นหรือ เมื่อเห็นว่าในที่สุดเขาก็ได้รับการตอบรับที่ดี ลูเซียนจึงอดคาดหวังและตื่นเต้นเล็กน้อยไม่ได้ “ข้าขอสาบานในนามของพระผู้เป็นเจ้า แล้วก็ ท่านเห็นตรงนี้ไหม มันขาดเป็นรูไปแล้ว ไม่มีท่านหญิงหรือท่านภริยาคนใดจะยังสนใจมันหรอกขอรับ ตราบใดที่ท่านตัดมันเป็นเพียงเศษผ้าลูกไม้หรือที่ประดับชุดกระโปรงยาว ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันเคยเป็นอะไรมาก่อน”
แม็กโดเวลล์รับผ้าคลุมหน้าสีดำมาจากบัสเตอร์ เพ่งพินิจมองมัน และหลังจากเงียบอยู่นาน เขาก็เอ่ยขึ้นอย่างสุขุม “เจ้าต้องการเท่าไหร่”
ลูเซียนตื่นเต้นจนกำมือแน่น แทบจะชูขึ้นโบกไปมา แต่ประสบการณ์จากการเผชิญหน้ากับหนูดวงตาสีแดงเลือดทำให้ลูเซียนรักษาอาการสงบไว้ได้ และมองแม็กโดเวลล์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าเชื่อว่าท่านจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังขอรับ”
แม็กโดเวลล์สบตากับลูเซียนครู่หนึ่ง และเห็นว่าลูเซียนดูไม่ประหม่าเลยสักนิด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า “สี่สิบเฟลล์ ผ้าผืนนี้ไม่ได้ใหญ่มาก ทั้งยังมีรูขาด และคงนำไปใช้ประโยชน์ได้ไม่มากนัก”
“หนึ่งนาร์ขอรับ หากชุดกระโปรงยาวงามๆ ได้ประดับด้วยผ้า ‘ไนติงเกลดำ’ แสนประณีตที่ดูคล้ายท้องฟ้ายามราตรี ย่อมเหมาะสมกับท่านหญิงและท่านภริยาทั้งหลายมากกว่าเป็นแน่” ลูเซียนข่มความตื่นเต้นแล้วต่อรองด้วยกฎการต่อรองแบบสองเท่า
แม็กโดเวลล์ส่ายหน้า ก่อนจะคืนผ้าลูกไม้สีดำให้ลูเซียน “ข้าให้ได้แค่ห้าสิบเฟลล์ หากไม่เอา เจ้าก็เอามันกลับไปเถิด”
“น่าเสียดายยิ่งนัก” ลูเซียนแสร้งทำเป็นรับผ้าคลุมหน้ากลับมาอย่างใจเย็น หมุนกายหันหลังจะเดินออกไปจากร้าน แต่แท้จริงแล้ว ในใจเขาเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกังวลสับสน เขาจะรั้งตัวฉันไว้ไหมนะ จะได้ราคาสูงขึ้นหรือเปล่า หากพลาดไปจากร้านนี้ ลูเซียนคงจะหาใครที่เต็มใจซื้อสินค้าไร้ที่มาไม่ได้อีกแล้ว!
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…ลูเซียนใกล้จะเดินไปถึงประตูหน้าร้านแล้ว แต่ในที่สุดเสียงแม็กโดเวลล์ก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง “แปดสิบเฟลล์ หากไม่ใช่ว่าผ้าไนติงเกลดำผืนนี้เหมาะจะใช้เป็นลูกไม้ประดับให้กับชุดกระโปรงยาวของข้าอย่างยิ่งแล้วล่ะก็ ข้าไม่มีทางจ่ายมากขนาดนี้แน่”
เยี่ยมไปเลย! ลูเซียนที่ยังคงหันหลังให้แม็กโดเวลล์ กระตุกมือขวาขึ้นมากำหมัดอย่างแรงด้วยความตื่นเต้นดีใจ จากนั้นจึงหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มเรียบนิ่ง “ตามที่ท่านต้องการขอรับ”
เหรียญทองแดงแปดสิบเหรียญอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขา มันส่งเสียงดังกรุ๋งกริ๋งและทำให้กระเป๋าของเขาตุงขึ้นดูเทอะทะ แต่ลูเซียนคิดว่ามันดูน่ารักดี
แม็กโดเวลล์รั้งลูเซียนไว้อีกครั้งก่อนที่เขาจะจากไป “ข้าไม่รู้จักเจ้าและข้าก็ไม่ได้อยากรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเจ้า แต่ในอนาคต หากเจ้ายังมีผ้าล้ำค่าเช่นนี้อีก และตราบใดที่มันไม่นำปัญหามาให้ เจ้านำมันมาให้ข้าก็ได้”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งขอรับ” ลูเซียนอารมณ์ดีอย่างยิ่ง เขาจึงโค้งตัวเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
หลังจากออกมาจากร้านของแม็กโดเวลล์ ลูเซียนก็พบว่าท้องฟ้าช่างดูสดใส ดวงอาทิตย์ช่างสาดแสงแรงจ้า ทั้งอากาศยังสดชื่นอย่างยิ่ง และทุกอย่างก็ช่างงดงามเหลือเกิน
แปดสิบเฟลล์ถือว่าไม่มากแต่ก็ไม่น้อย นอกจากมันจะทำให้ลูเซียนเข้าใกล้เป้าหมายในการห้าเงินห้านาร์แล้ว มันยังพิสูจน์อีกด้วยว่าวิธีการเก็บของเก่ามาขายทำเงินนั้นได้ผลดีจริงๆ สำหรับลูเซียนแล้ว นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด!
…
“ลูเซียน พี่กลับมาเสียที พี่ชายข้ากลับบ้านมาแน่ะ แม่ข้าให้ข้ามาเรียกพี่ไปกินมื้อค่ำด้วย”
เมื่อลูเซียนใกล้จะถึงบ้านของเขา ก็เห็นไอเวินยืนอยู่หน้าประตู ไอเวินเองก็หันมาเห็นเขาในเวลาเดียวกัน แล้วโบกไม้โบกมือให้อย่างดีใจ
‘ลูกชายคนโตของท่านน้าอะลิซ่าที่ชื่อจอห์นน่ะเหรอ คนที่ได้เป็นอัศวินฝึกหัดน่ะนะ’ ลูเซียนนึกถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพี่ชายของไอเวิน ก่อนจะยิ้มให้ไอเวิน “สักครู่นะ ข้าขอเช็ดเหงื่อก่อน” เขาไม่อาจให้ไอเวินเห็นเหรียญทองแดงกว่าเก้าสิบสองเฟลล์บนตัวเขาได้ ใครจะไปรู้ว่าเด็กช่างคุยอย่างไอเวินจะนำเรื่องนี้ไปป่าวประกาศหรือไม่ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเก็บค่าเรียนได้ครบห้านาร์ ก็จะไม่มีปัญหาอะไรอีก ลูเซียนเชื่อว่าเขาจะไม่ทำสิ่งนี้ตลอดไป
ไอเวินตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง “ได้สิ ลูเซียน เอ้อนี่ พี่ชายข้าเอาเนื้อกระทิงกลับมาด้วยชิ้นหนึ่งล่ะ มันเป็นกระทิงที่อัศวินทหารม้าใช้ฝึกและล่าจากป่าเมื่อไม่นานมานี้ เซอร์เวนน์มอบให้กับทุกๆ ครอบครัวอย่างเท่าเทียมกัน”
“ในที่สุดข้าก็จะได้กินหัวมันกับสตูเนื้อแล้ว ตั้งแต่พี่ชายข้าได้รับเลือกจากเซอร์เวนน์ให้ไปฝึกฝนที่คฤหาสน์ของท่านตลอดสองปีมานี้ ข้าได้กินน้อยกว่ายี่สิบครั้งเสียอีก!”
ใบหน้ามอมแมมของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง
โจเอลถือเป็นศิลปินข้างถนนที่ทำการแสดงได้ดีพอสมควร แม้ว่ารายได้จะดีบ้างแย่บ้าง แต่ก็ยังนับว่าดีกว่าผู้ที่เป็นแรงงานหาเช้ากินค่ำ นอกจากนี้แล้ว อะลิซ่ายังทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่สมาคมสิ่งทออีกด้วย รายได้ของทั้งครอบครัวจึงใกล้เคียงกับของชนชั้นกลางมากกว่า ทว่าเมื่อก่อนพวกเขาจำต้องเก็บเงินเพื่อให้จอห์นได้รับการฝึกฝน จึงทำให้ซื้ออาหารได้ไม่เพียงพอ ต้องลำบากกันไม่น้อย กระทั่งบางคราวยังต้องขอความช่วยเหลือจากพ่อของลูเซียนอีกด้วย
หลังจากที่จอห์นผ่านการคัดเลือกจากเซอร์เวนน์ได้สำเร็จ ทั้งสองจึงหมดห่วง และอะลิซ่าอยากเริ่มหันมาวางแผนอนาคตให้กับไอเวิน แต่ผลที่ออกมากลับย่ำแย่กว่าเมื่อก่อนเสียอย่างนั้น
แม้ลูเซียนจะไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้ แต่เขาก็ไม่ประหลาดใจกับเรื่องนี้ ที่จริงแล้ว ยังนับว่าดีที่คนยากจนยังได้กินเนื้อวัวอย่างน้อยเดือนละครั้ง
หลังจากที่เขาซ่อนเงิน และเช็ดเหงื่อไคลออกจากตัวเสร็จ ลูเซียนก็ตามไอเวินไปที่บ้านของอะลิซ่า
ด้านนอกบ้านอะลิซ่านั้น กลุ่มเพื่อนบ้านที่ลูเซียนคุ้นหน้าคุ้นตามารวมตัวกัน และต่างพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
“ข้าได้ยินว่าจอห์นน้อยได้เป็นอัศวินฝึกหัดของเซอร์เวนน์แล้วงั้นรึ”
“อะลิซ่าเป็นคนบอกเอง นางไม่โกหกหรอก!”
“ได้เป็นอัศวินฝึกหัดตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบเก้าปีเช่นนี้ จอห์นน้อยอาจจะปลุกพรในตัวให้ตื่นขึ้นและกลายเป็นอัศวินที่แท้จริงก็เป็นได้”
“จิ๊ๆ ถ้าถึงตอนนั้นเจ้าก็เรียกเขาว่าจอห์นน้อยไม่ได้แล้ว เจ้าต้องเรียกเขาว่าท่านจอห์น หรือลอร์ดจอห์น”
“เจ้าจะเรียกส่งเดชไม่ได้อีกแล้ว อีกหน่อยเขาอาจมีคุณสมบัติมากพอจะเป็นผู้บัญชาการของเหล่าอัศวินที่สาบานตนกับศาสนจักรก็ได้!”
“โจเอลกับอะลิซ่าโชคดีจริงๆ พวกเขาจะต้องมีชีวิตที่ดีในอนาคตเป็นแน่!”
ลูเซียนเหลือบมองไอเวินด้วยความสงสัย เห็นไอเวินกำลังพยักหน้าหงึกหงักอย่างภาคภูมิใจ
หลังจากเข้ามาในห้องนั่งเล่น ลูเซียนก็เห็นชายหนุ่มผมบลอนด์ ดวงตาสีน้ำตาล ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ ด้วยลักษณะที่เหมือนกับบิดา จอห์นจึงดูเป็นคนหนุ่มที่หล่อเหลาและรูปร่างสูงโปร่ง แต่ที่น่าประทับใจที่สุดสำหรับลูเซียนแล้วคือท่าทางนิ่งสงบสง่างามของเขา
“ข้าได้ยินมาว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเจ้า ข้าจึงเป็นกังวลอย่างยิ่ง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนี่ แบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย” จอห์นยิ้มกว้างพลางตบบ่าลูเซีย “อย่ากังวลมากนักล่ะ เรื่องแบบนี้ก็แค่อุบัติเหตุ ข้าว่านั่นคงเป็นบททดสอบจากพระผู้เป็นเจ้าสำหรับเจ้าแน่ๆ”
แม้ว่าเขาจะแก่กว่าลูเซียนเพียงปีหรือสองปี จอห์นกลับดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก และชุดอัศวินสีเทาที่เขาสวมอยู่ก็ทำให้เขาดูไม่สามัญสักนิด
ลูเซียนตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง “ข้าไม่ได้ป่วยหนักอะไร ท่านน้าอะลิซ่ากังวลเกินไป จึงเครียดเล็กน้อย”
ไอเวินร้องรับสนับสนุน “ใช่แล้วๆ ท่านแม่ไม่ยอมเชื่อข้าเลย”
จอห์นลูบศีรษะไอเวินด้วยรอยยิ้ม “ไปล้างหน้าล้างตา เตรียมตัวสำหรับมื้อเย็นเถอะ”
เมื่อไอเวินจากไป จอห์นก็หันมายิ้มอ่อนโยนให้และโบกมือเป็นเชิงเชิญลูเซียนนั่งลง “ทำไมกันนะ ข้าไม่พบเจ้าเสียนานแต่กลับรู้สึกถึงความห่างเหินเช่นนี้ ลูเซียน เราเป็นเพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกันนะ”
“มันน่าอึดอัดใจเล็กน้อยน่ะ เอ่อ คือข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้” ลูเซียนพยายามสรรหาข้ออ้าง
จอห์นพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “การฝึกของอัศวินไม่ใช่แค่การฝึกเพียงร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฝึกด้านบุคลิกภาพและสภาพจิตใจอีกด้วย มันเหนื่อยมากแต่ข้าก็ได้รับอะไรมามากมาย”
เพียงพูดคุยเกี่ยวกับการฝึกฝนของจอห์นในคฤหาสน์ของเซอร์เวนน์ไม่นาน อะลิซ่าก็เรียกลูเซียนกับจอห์นให้ไปกินมื้อเย็น
แม้ว่าบนโต๊ะจะมีเพียงสตูเนื้อวัวกับปลาย่าง แต่ลูเซียนที่ได้กินแต่ขนมปังดำมาตลอด รู้สึกว่าอาหารมื้อนี้อร่อยเลิศล้ำเสียจนเขาแทบจะกินลิ้นตัวเองเข้าไปด้วย เพราะจอห์นกลับมาในฐานะอัศวินฝึกหัด บรรยากาศการพบหน้ากันครั้งนี้จึงอบอุ่นเสียจนโจเอลได้รับอนุญาตจากอะลิซ่าให้ดื่มไปกินเนื้อไปได้
ตลอดมื้อเย็น อะลิซ่าคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้อย่างมีความสุขไม่หยุด บางครั้งโจเอล ลูเซียน และไอเวินที่กำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารหรือเครื่องดื่มก็ตอบกลับไป ซึ่งเพียงเท่านั้นก็ทำให้นางพอใจอย่างยิ่ง ส่วนจอห์นที่ยังคงรักษากฎความประพฤติของอัศวิน เขาแทบจะเงียบตลอดเวลาที่กินอาหาร
“เอิ้ก…” มื้อเย็นแสนสุขจบลงด้วยเสียงเรอยาวๆ ของไอเวิน
จอห์นส่ายหน้ายิ้มๆ “ไอเวิน กินมากไปไม่ดีต่อร่างกายนะ อย่าทำแบบนี้อีกเล่า”
จากนั้นเขาก็หันมามองลูเซียน “ลูเซียน เจ้าคิดไว้บ้างหรือยังว่าอยากจะทำอะไรในอนาคตน่ะ”
เมื่อประเด็นนี้ถูกยกขึ้นมา ทั้งโจเอลและอะลิซ่าจึงมองไปทางลูเซียนอย่างจริงจัง
ลูเซียนตอบกลับไปอย่างระมัดระวัง “ข้ายังไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไรไว้ แต่ข้าไม่อยากจะอยู่ในสภาพนี้อีกต่อไปแล้ว”
“เยี่ยม ความไม่พอใจกับชีวิตในตอนนี้คือพลังที่จะผลักดันเจ้าให้ก้าวไปข้างหน้า” จอห์นพยักหน้าอย่างพออกพอใจ “ช่วงนี้ที่คฤหาสน์ของเซอร์เวนน์กำลังขาดคนอบขนมปังกับดูแลเครื่องดื่ม และอยากจะรับสมัครลูกมือฝึกหัดสองสามคน เจ้าจะได้ไปอยู่ในคฤหาสน์เชียวนะ ลูเซียน ลองพิจารณาตัวเลือกนี้ดู ข้าจะกลับมาอีกทีวันจันทร์ เจ้าค่อยตอบข้าก็ได้”
หลังจากที่ได้เป็นอัศวินฝึกหัด จอห์นก็มีความสามารถมากพอจะเปลี่ยนชีวิตของครอบครัวและเพื่อนของเขาได้ แม้จะเล็กน้อย แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
ผู้คนบนโลกนี้ยังเชื่อเกี่ยวกับตำนานที่ว่าพระเจ้าคือผู้สร้างทุกสิ่งในเจ็ดวันอีกด้วย ดังนั้นทุกๆ เจ็ดวันหรือหนึ่งสัปดาห์ พวกเขาจะไปโบสถ์กัน
“ขอบคุณมาก จอห์น” ลูเซียนเพิ่งจะได้เงินก้อนแรกมา และเขาก็มีแผนการระยะยาวแสนงดงามสำหรับอนาคตแล้ว เขาไม่เคยคิดว่าจะเสียเวลาเพื่อเป็นลูกมือฝึกหัดถึงสิบปีเลย แต่มันคงจะเป็นเรื่องแปลกเกินไปหากจะปฏิเสธไปตรงๆ ทางเลือกนี้ไม่เหมาะกับวิถีชีวิตของเขาในตอนนี้ เขาจึงคิดว่าจะปฏิเสธหลังจากนี้ไม่กี่วัน ก่อนจะถึงสัปดาห์หน้า
จอห์นยืนขึ้น “เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้ลูเซียนไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าคงต้องขอตัวกลับไปที่คฤหาสน์ของเซอร์เวนน์ก่อนที่ประตูจะปิด” จากนั้นเขาก็เข้าไปกอดโจเอล อะลิซ่า ไอเวิน และสุดท้ายก็กอดลูเซียนแน่น “เสียดายจริงๆ ลูเซียน ที่เจ้าอ่านหนังสือไม่ออก พ่อบ้านดาวน์นี่กำลังต้องการเสมียนไว้คอยช่วยงานในคฤหาสน์ มันเป็นงานที่ได้เงินดีและมั่นคงมาก”
“ข้าวางแผนไว้ว่าจะเรียนหนังสือ” ลูเซียนฉวยโอกาสนี้บอกออกไป
จอห์นนิ่งงันไป ก่อนจะหัวเราะออกมา “ลูเซียนของเราช่างทะเยอทะยานยิ่งนัก เอาเป็นว่า ข้าจะช่วยมองหาลู่ทางให้ เผื่อว่าเจ้าจะมีโอกาส แต่เจ้าอย่าคาดหวังอะไรมากนักเล่า อาจใช้เวลาไม่นานนัก เจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อมไว้ล่ะ”
“ขอบคุณนะ จอห์น” ลูเซียนไม่ได้คิดฝากความหวังไว้กับจอห์น เขามั่นใจกับการเดินไปบนเส้นทางนี้ด้วยตนเองมากกว่า
…
สามวันต่อมา แม้ว่าลูเซียนจะไม่ได้ค้นพบสิ่งมีค่าอย่างผ้า ‘ไนติงเกลดำ’ อีก เขาก็ยังสามารถเก็บเงินได้ถึงหนึ่งนาร์กับหกสิบสี่เฟลล์ ตอนนี้เขาจึงเดินออกจากประตูเมืองด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง
อังเดรเฝ้ามองแผ่นหลังของลูเซียน ก่อนจะพูดกับแม็กด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดเจ้าหนุ่มนั่นถึงออกไปนอกเมืองทุกๆ เช้ากัน”
“อังเดร เจ้าพูดถึงเรื่องอะไรงั้นหรือ” น้ำเสียงอันเป็นมิตรดังมาจากด้านหลังอังเดร
สีหน้าอังเดรพลันเปลี่ยนเป็นจริงจัง ก่อนจะรีบหันตัวกลับไป “อรุณสวัสดิ์ขอรับ ท่านแจ็คสัน”
แจ็คสัน ลีโอดอส หัวหน้ากลุ่มของแก๊งอารอน ผู้มีใบหน้าที่ดูธรรมดา เป็นมิตร และถ่อมตนอย่างยิ่ง หากผู้ใดหลงเชื่อรูปลักษณ์ภายนอกนี้ จะต้องพบกับจุดจบเลวร้ายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเล่ห์กลร้ายกาจ หรือความโหดเหี้ยม เขาถือเป็นที่หนึ่งแห่งแก๊งอารอน
————————————————