เมื่อมองไปที่ถนนด้านนอกหน้าต่าง ลิลิธและซาลาไม่กล้าแม้แต่จะนอนหลับ
“ข้าได้ยินมาว่ามีคนหายตัวไปเป็นครั้งคราวในเมืองนี้และมันก็เกิดขึ้นบ่อยขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา” ลิลิธถามพี่ชายของนางว่า “เจ้าคิดว่าเป็นเพราะเมจิกล็อคหรือเปล่า”
ซาลาส่ายหัว “ข้าไม่แน่ใจ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเมจิกล็อคคืออะไร ข้ารู้ว่าศาสนจักรเคยส่งบาทหลวงหลายคนมาที่นี่ แต่พวกเขาไม่พบสิ่งที่น่าสงสัย ท้ายที่สุดพวกเขาเดาว่าเป็นสัตว์ประหลาดหรือสิ่งมีชีวิตบางอย่างบนภูเขาลักพาไป”
จากนั้นซาลาก็ชี้ไปที่บ้านหลังเล็กๆ อีกฝั่งหนึ่งของถนน “บ้านหลังนั้นเคยเป็นบ้านของชายชนชั้นล่างคนหนึ่งในกรุงบอนน์ เมื่อสิบปีก่อนในวันที่สิบเมษายน ลูกสาววัยเจ็ดขวบของเขาหายตัวไปและเขาก็ไม่เคยเจอนางอีกเลย ในที่สุดเขาก็ย้ายไปทางทิศตะวันออกที่ห่างจากบอนน์พร้อมกับภรรยาของเขา เพราะพวกเขาโศกเศร้าเกินกว่าที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปได้”
“วันที่สิบของเดือนเมษายน…” ลิลิธครุ่นคิด
เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ผู้ซึ่งดูเหมือนจะเป็นร่างที่ออกมาจากภาพถ่ายขาวดำยิ้มให้ลูเซียน นางยกแขนขึ้นช้าๆ จากนั้นก็เริ่มวิ่งมาหาลูเซียนราวกับลูกสาวที่ไร้เดียงสาที่มีชีวิตชีวากำลังวิ่งมาหาพ่อของนาง
แต่ในสายตาของลูเซียนฉากนี้น่ากลัวมาก ร่างกายของเด็กผู้หญิงกำลังลอยอยู่ในอากาศและดวงตาของนางก็ว่างเปล่า
ลูเซียนเริ่มร่ายเวทมนตร์ แต่เขาไม่ได้ยินเสียงของเขา อากาศรอบๆ เด็กผู้หญิงเริ่มที่จะยุ่งเยิงและกลายเป็นเหมือนเสื้อคลุมที่มองไม่เห็นและพยายามที่จะยับยั้งนาง
เวทมนตร์ฝึกหัดโซ่พันธนาการ
ทันทีที่เด็กผู้หญิงก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นรอบตัวนาง ใบหน้าของนางพลันบิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชังและความชั่วร้าย นางอ้าปากแล้วเริ่มกรีดร้อง
ลูเซียนเคยมีประสบการณ์มาก่อนในระหว่างการทดลองของเขา หลังจากที่เขาใช้โซ่พันธนาการ ลูเซียนก็เริ่มใช้งาน เวทกำแพงเสียงเพื่อป้องกันตัวเองจากการโจมตีของคลื่นเสียง
ในการต่อสู้ที่แท้จริง ความรู้มีความสำคัญมาก
ลูเซียนเห็นระลอกคลื่นเสียงกระแทกกับกำแพงที่มองไม่เห็นรอบตัวเขา ก่อนที่เขาจะทันได้ลำพองใจ กำแพงเสียงของเขาก็พังทลายลงเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!
แม้ว่าคลื่นเสียงที่เหลืออยู่จะถูกทำให้อ่อนไป แต่มันก็ยังกระแทกเข้าที่หน้าอกของลูเซียน
เขาล้มลงกับพื้นและเกือบจะอาเจียนออกมา เขารู้สึกว่าท้องฟ้าและแผ่นดินกำลังหมุนคว้าง อวัยวะภายในของลูเซียนเขย่าไปทั้งตัวในร่างกายของเขา
โชคดีที่เมื่อลูเซียนถูกโจมตี แสงสีเทาก็ครอบคลุมผิวของเขาทันที พรแสงจันทร์ของเขาถูกใช้งานโดยที่เขาไม่ต้องออกคำสั่งเพื่อปกป้องเขา หากปราศจากความสามารถของพรแสงจันทร์ลูเซียนอาจตายไปแล้ว
ลูเซียนตระหนักว่านี่เป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก มันเทียบเท่ากับอัศวินที่แท้จริง!
เขาวิเคราะห์อย่างรวดเร็วว่าพลังของเด็กผู้หญิงเป็นประเภทใดและทรงพลังเพียงใด ลูเซียนรีบหันไปอีกด้านหนึ่ง จากนั้นริมฝีปากของเขาก็ขยับ
ลูเซียนร่ายเวทแสงสว่างออกมา
แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังสามารถต้านทานทักษะธาตุส่วนใหญ่ได้ มีแค่คลื่น แสง ไฟและเสียงเท่านั้นที่สามารถทำอันตรายพวกเขาได้
โลกนี้ไม่สามารถทำให้พลังแห่งแสงแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้ ลูกบอลแสงสีเทาในท้องฟ้าดูค่อนข้างสลัวและริบหรี่
เด็กผู้หญิงหยุดชะงักแล้วกระโดดเข้าใส่ลูเซียนโดยตรง
ด้วยพรแสงจันทร์ของเขา ลูเซียนหลบได้ราวกับร่างเงาสีเทา ในเวลาเดียวกันเขาก็คว้าดาบของเขาและฟันเข้าที่เด็กผู้หญิงอย่างแรง จากนั้นเขาก็เริ่มวิ่ง
ลูเซียนรู้ว่าการโจมตีนั้นไร้ประโยชน์ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น เนื่องจากเขาต้องการเวลาในการหลอกล่อ
เมื่อเห็นดาบไม่สามารถทำร้ายนางได้เด็กผู้หญิงก็เอียงศีรษะเล็กน้อยและยิ้ม
จากนั้นนางก็หายตัวไปและอีกไม่กี่วินาทีต่อมานางก็ปรากฏตัวต่อหน้าลูเซียน
ลูเซียนตอบสนองอย่างรวดเร็ว กดเท้าลงกับพื้นแล้วเปลี่ยนทิศทางแล้วเริ่มร่ายคาถา ‘เวทแกว่งกวัดโฮมาน’
คราวนี้เด็กผู้หญิงได้รับบาดเจ็บ ลูเซียนเห็นร่างของนางสั่นระรัวเหมือนน้ำกระเพื่อม
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธที่รุนแรงมากขึ้นและชั่วร้ายมากขึ้น นางเงยหน้าขึ้นแล้วกรีดร้องอย่างเงียบๆ แล้ววิ่งตรงมาที่เขา
อีกครั้งที่เขาสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีของคลื่นเสียงที่มาจากทางด้านหน้าด้วยพรแสงจันทร์ แต่ข้อเท้าของเขาก็รู้สึกอ่อนแรงและการเคลื่อนไหวของเขาหยุดชะงักไป
วิญญาณแค้นกำลังครอบงำเขานั้นเป็นหนึ่งวินาทีที่สติสัมปชัญญะของลูเซียนจางหายไป จากนั้นเขาก็รู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้าเป็นอย่างมาก ความร้อนในร่างกายของเขากำลังหายไป เขากำลังรู้สึกหนาว
เด็กหญิงตัวน้อยเดินผ่านร่างของลูเซียนและหยุดที่อีกด้านหนึ่ง แต่นางดูตกใจและสับสน
ลูเซียนที่สวมแหวนน้ำแข็งแห่งความแค้นนั้นมันช่วยให้เขามีสมาธิ ลูเซียนร่ายเวทมนตร์อีกครั้งโดยไม่ลังเล
ลมหนาวพัดผ่านรอบตัวพวกเขา ลูเซียนเรียกผู้ล้างแค้นออกมา
เขาตัดสินใจที่จะใช้วิญญาณแค้นเพื่อต่อสู้อีกครั้ง เพราะเขาสังเกตเห็นว่าในมิติที่แปลกประหลาดนี้ขณะที่เวทมนตร์แสงอ่อนแรงลงอย่างมากแต่เหล่าอันเดดนั้นแข็งแกร่งขึ้น
ลูเซียนควบคุมวิญญาณแค้นที่อัญเชิญออกมาโจมตีไปยังเด็กผู้หญิง
ระหว่างการต่อสู้ แขนของพวกเขาเจาะทะลุ “ร่างกาย” ของกันและกัน อย่างไรก็ตามดูเหมือนวิญญาณแค้นของลูเซียนที่ถูกเรียกออกมานั้นอ่อนแอกว่าเด็กผู้หญิง ภายในไม่กี่วินาทีมันก็เริ่มเลือนลางขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลาไม่ถึงสิบวินาทีก่อนที่เด็กผู้หญิง ก็ทำลายได้ทั้งหมด
ลูเซียนมีเวลาพอที่จะเปลี่ยนสถานการณ์
ลูเซียนเดินถอยหลังไปไม่กี่ก้าวแล้วเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าของเขาและหยิบน้ำยาเคมีธาตุสองขวดแล้วปาออกไปกลางการต่อสู้ กำแพงไฟสีขาวล้อมรอบพวกเขาเมื่อลูเซียนร่ายเวทเสร็จสิ้น
กำแพงไฟกำมะถัน นี่คือเวทที่ลูเซียนคิดค้นขึ้นมาเอง มันมาจากแรงบันดาลใจตอนที่เขาเผชิญหน้ากับซอมบี้ในน้ำและภายในสองสามเดือนที่ผ่านมาลูเซียนก็ปรับปรุงมันจนกลายเป็นหนึ่งในเวทมนตร์ทั่วไปของเขา
ปัญหาเดียวของกำแพงไฟกำมะถัน คือไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างโครงสร้างของรูปแบบเวทมนตร์ขึ้นมา ดังนั้นลูเซียนจึงต้องการเวลาและพลังจิตที่จะใช้งานมัน
การถูกเผาด้วยไฟกำมะถันทำให้ลูเซียนผู้อัญเชิญหายไปทันทีและอีกไม่กี่วินาทีต่อมาเด็กผู้หญิง ก็เริ่มแสดงอาการเจ็บปวด
อย่างไรเสียคาถาฝึกหัดก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับนางได้ แต่เมื่อนางอยู่ในกำแพงไฟ ดูเหมือนว่านางจะกลัวไฟมากและแทนที่จะพยายามบังคับไฟให้ผ่านไป นางกลับยืนอยู่ตรงใจกลาง
ลูเซียนรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยและกำลังจะหนีจากเด็กผู้หญิงเหมือนการเผชิญหน้ากับผู้มีอิทธิพลในฐานะอัศวินความสำคัญสูงสุดสำหรับลูเซียนคือต้องอยู่ห่างจากนางแทนที่จะพยายามกำจัดมัน
ทันทีที่เขาหันกลับมา ลูเซียนก็มองดูสถานที่ที่เด็กผู้หญิงปรากฏตัวขึ้น ลูเซียนมองผ่านประตูที่เปิดออก เขาเห็นโครงกระดูกขนาดเล็กที่มีลักษณะบางและโค้งบนโต๊ะไม้
ฉากนี้ทำให้เขานึกถึงหนังสือที่เขาอ่านเกี่ยวกับการวิญญาณแค้น ทันใดนั้นลูเซียนก็เปลี่ยนทิศทางของเขาและวิ่งไปที่บ้านอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเขาเข้ามาใกล้บ้านเด็กผู้หญิงก็ตื่นตระหนก นางรีบวิ่งผ่านกำแพงไฟไปหาลูเซียนโดยไม่ลังเล
เมื่อเด็กหญิงทะลุผ่านกำแพงไฟมาได้ ลูเซียนก็ยืนอยู่หน้าโครงกระดูกเล็กๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลูเซียนโรยผงกำมะถันหนึ่งกำมือบนกระดูกและเผามัน
ไฟสีขาวโอบล้อมกระดูกทันที
ในกองไฟ ลูเซียนเห็นภาพวาดบนโต๊ะไม้แกะสลักด้วยของที่คม เช่น เล็บ มันเป็นภาพวาดที่น่าอึดอัดของครอบครัวสามคน แต่หลังจากนั้นภาพก็เปลี่ยนไปเป็นเด็กผู้หญิง ที่รออยู่ข้างประตู
ใต้ภาพวาดมีตัวอักษรที่บิดเบี้ยวอยู่ พ่อ… แม่… บ้าน…
เด็กผู้หญิงหยุดดิ้นรนเมื่อนางเห็นโครงกระดูกติดไฟ นางตกใจเล็กน้อยในตอนแรก แต่จากนั้นก็ลดสายตาลงนางดูเศร้า
แล้วร่างกายของนางก็เริ่มโปร่งแสงมากขึ้น นางเริ่มจางหายไป
จากตัวอักษรและการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของประตูเมจิกล็อค ลูเซียนมีความคิดว่าทำไมเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ถึงมาอยู่ที่นี่ในโลกนี้ ความเห็นอกเห็นใจของเขาเข้ามาแทนที่ความกลัวของเขาทันที
“พ่อ… แม่… บ้าน” ลูเซียนกระซิบในความเงียบ
หัวใจของเขาพลันอ่อนโยนขึ้น ลูเซียนหันไปหาเด็กผู้หญิงที่ใกล้จะหายไปเกือบหมด แล้วพูดกับนางว่า “ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน”
ในโลกแห่งขาวดำ โลกแห่งความเงียบงัน เด็กผู้หญิงมีน้ำตาร่วงหล่นบนใบหน้าของนาง แต่นางยิ้มอย่างอ่อนหวานราวกับว่านางอ่านการเคลื่อนไหวของริมฝีปากของลูเซียนออกและเข้าใจสิ่งที่เขาพูด
ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่นางจะหายไปอย่างสิ้นเชิง เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็พยักหน้าให้ลูเซียน
เมื่อโครงกระดูกถูกเผาเป็นเถ้าถ่านจากไฟเวทมนตร์เด็กผู้หญิงก็หายตัวไปเช่นกัน และโต๊ะไม้หายไปพร้อมกับโครงกระดูกที่กำลังลุกไหม้
ลูเซียนรวบรวมขี้เถ้าอย่างระมัดระวังและใส่ไว้ในกระเป๋าของเขา
ตอนนี้เขายิ่งสับสนกับโลกนี้มากขึ้น เพราะมันดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหาแกรนด์ครอส สถานที่ทั้งหมดมันน่ากลัวเกินไป
ลูเซียนเริ่มกังวลมากขึ้นกับความเงียบในโลกนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นใบ้และหูหนวก เขาจับดาบของเขาแน่นและเริ่มเดินไปที่ทะเลสาบเอลซีนอร์
เมื่อเขากำลังจะออกจากเมืองเล็กๆ นี้ เขาสังเกตเห็นว่าสุสานที่เขาเห็นเมื่อเขามาถึงเมืองบอนน์กลับหายไปและแทนที่ด้วยที่ดินรกร้างตรงหน้าเขา
“โลกแห่งเวทมนตร์ไม่ได้เป็นเหมือนกับโลกดั้งเดิมหรือ” ลูเซียนถามตัวเองด้วยความประหลาดใจอย่างมาก
ลูเซียนเดินผ่านพื้นที่ที่รกไปด้วยวัชพืช จากนั้นสิ่งที่เขาเห็นทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก
ทะเลสาบเอลซีนอร์ในโลกนี้เป็นสีแดง เป็นเหมือนสระเลือดขนาดใหญ่และมันสะท้อนภาพกลับด้านของแกรนด์ครอสที่ประกอบด้วยดาวฤกษ์สว่างเก้าดวงที่ส่องแสงบนท้องฟ้าและแสงของพวกมันก็ส่องกระทบทะเลสาบ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสีอื่นๆ นอกเหนือจากสีดำสีขาวและสีเทาตั้งแต่ลูเซียนเข้ามาในโลกใบนี้
……………………………………….