ลูเซียนถือแหวนไว้ในมือ เขาพูดกับนาตาซาอย่างจริงใจ “ขอบพระทัยพะยะค่ะ นาตาซา มารดาของพระองค์เป็นอัจฉริยะจริงๆ กระหม่อมหวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถสร้างผลงานยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้เช่นกัน”
“ใช่ นางเป็นอัจฉริยะ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะทำได้เช่นกัน” เมื่อทอดสายตาออกไปไกล นาตาซาก็หวนคิดถึงความทรงจำกับมารดา “ตอนที่ท่านแม่ข้าได้รับรางวัล นางเป็นเพียงนักเวทชั้นต้น แต่ต่อมา นางยอมทิ้งสถานที่ที่เหมาะสำหรับการศึกษาเวทมนตร์ที่สุด และมาที่เมืองนี้ เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการจัดการกับนักเวท ก็เพราะความรักของนาง”
“สำหรับท่านแกรนด์ดยุก… เรื่องราวความรักของบิดาและมารดาของพระองค์เป็นเรื่องราวความรักที่โรแมนติกที่สุดในทวีปนี้” ลูเซียนยิ้ม
“ท่านแม่รู้ตัวชัดเจนว่าต้องการอะไร” นาตาซาพยักหน้า “หลังจากนางพยายามใช้ยาวิเศษต่างๆ เพื่อปลุก ‘พร’ หลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลวเพราะสุขภาพท่านแม่ไม่สู้ดี นางพบเส้นทางในโลกเวทมนตร์ ซึ่งลงตัวกับความต้องการของนาง”
“แต่ละคนล้วนมีค่าในตัวเองทั้งนั้นพะยะค่ะ” ลูเซียนชื่นชมแกรนด์ดัชเชสผู้นี้อย่างยิ่ง เขาถามด้วยความใคร่รู้ “เกิดอะไรขึ้นกับพระนางหลังจากนั้นหรือพะยะค่ะ”
“อย่างที่ข้าบอก สุขภาพของท่านแม่ไม่สู้ดีนัก และไม่ดีขึ้นเลยหลังจากท่านพ่อกับท่านแม่เข้าพิธีอภิเษกสมรส ร่างกายและวิญญาณของท่านแม่ถูกกัดกร่อนด้วยธาตุเวทมนตร์นานาชนิดมานานหลายปี ตอนที่พี่ชายข้าสิ้นในสนามรบ อยู่ๆ อาการของนางก็ทรุดหนัก ตั้งแต่นั้นมานางก็ไม่สามารถฟื้นตัวได้อีกเลย”
“กระหม่อมเสียใจด้วยพะยะค่ะ นาตาซา กระหม่อมเชื่อว่าพระนางต้องภูมิใจมากอยู่บนสวรรค์ ถ้าได้เห็นว่าธิดาของนางเป็นอัศวินที่มากพรสวรรค์” ลูเซียนกล่าวอย่างจริงใจ
นาตาซาส่ายหัวเล็กน้อยและยิ้ม “เจ้าเป็นนักเวทนะ เจ้าเชื่อในสวรรค์จริงๆ หรือ?”
“ …กระหม่อมก็ไม่แน่ใจ” ลูเซียนพูดอะไรไม่ออกสักพักใหญ่ก่อนจะตอบ เนื่องจากไม่เคยได้รับคำถามนี้มาก่อน
“ข้ายังสงสัยเลยว่าท่านแม่เชื่อในสวรรค์ไหม ในฐานะนักเวท” นาตาซาแหงนหน้ามองท้องฟ้า “แต่ข้ารู้ว่าหลังจากที่ท่านแม่อภิเษกสมรสกับท่านพ่อ นางก็ยังแอบศึกษาเวทมนตร์อย่างลับๆ”
“จริงหรือพะยะค่ะ?” ลูเซียนประหลาดใจมาก “แล้วศาสนจักรล่ะพะยะค่ะ?”
“ท่านแม่คิดถึงโฮล์มมาก ดินแดนมหัศจรรย์แห่งการศึกษาเวทมนตร์ และท่านพ่อก็รักนางมากเกินกว่าจะห้ามไม่ให้ท่านแม่ทำการทดลองเวทมนตร์ อีกอย่าง สุขภาพของนางทำให้นางทำอย่างอื่นไม่ได้มาก ส่วน ‘ศาสนจักร’… ”
นาตาซาแสยะยิ้มที่ดูซ่อนปริศนา
“แหวนวงนี้ต้องมีความหมายกับพระองค์มาก นาตาซา” เมื่อรู้ว่านาตาซาไม่สามารถอธิบายเหตุผลต่อได้ ลูเซียนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “กระหม่อมไม่คิดว่าควรรับไว้ไหม”
“ไม่เป็นไร ลูเซียน” นาตาซาก้มหน้ามองดูที่วงแหวน “วัตถุไม่สำคัญอะไรหรอก สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือความรักที่ข้าที่มีต่อท่านแม่ ไม่ว่าแหวนวงนี้จะอยู่กับข้าหรือไม่ ความรักที่มีต่อนางจะคงอยู่ชั่วชีวิตของข้า”
ลูเซียนพยักหน้าแล้วใส่แหวนลงใส่กระเป๋าเสื้อคลุมของเขา
“แต่ว่า” นาตาซาเตือนเขา “อย่าให้ใครเห็นแหวนพร่ำเพรื่อ บางทีความช่วยเหลือพิเศษก็อาจทำให้เจ้าเดือดร้อนได้เช่นกัน จำไว้”
“เข้าใจพะยะค่ะ” ลูเซียนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “‘โลหิตแวมไพร์’ ออกฤทธิ์หรือยังพะยะค่ะ? ให้กระหม่อมแบกพระองค์กลับอัลโต้เถอะ”
“ขอบใจเจ้ามา แต่ดูข้าสิ… ข้าไม่เป็นไรแล้ว” นาตาซาโบกมือ “เจ้าควรจะเดินออกทางโดยเร็วที่สุด คนจาก ‘ศาสนจักร’ คงกำลังเดินทางมาที่นี่”
“ถ้าเช่นนั้น… นาตาซา ดูแลตัวเองด้วยพะยะค่ะ” ลูเซียนไม่รู้ว่าควรจะกล่าวคำลาอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่แน่ใจว่าทั้งสองจะพบกันอีกหรือไม่
อีกฝั่งหนึ่ง นาตาซายังค่อนสงวนท่าทีสงบ และก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นในหัวนาง “ลูเซียน เจ้าจะใช้ชื่อ ‘ลูเซียน อีวานส์’ นักดนตรี ต่อหรือเปล่า หลังจากออกเดินทาง?”
“ดีไหมพะยะค่ะ?” ลูเซียนรู้สึกประหลาดใจมาก เขาวางแผนจะเปลี่ยนเป็นตัวตนใหม่ตนของเขาเมื่อเดินทางถึง ‘โฮล์ม’ เพื่อไม่ให้คนที่เขารู้จัก ต้องมีปัญหาเพราะเขา
“ข้าคิดว่าไม่เป็นไร ชื่อเจ้าเกร่อมาก แม้แต่ในอัลโต้ แต่อย่าบอกคนที่โฮล์มว่าเจ้าเป็นนักดนตรีก็พอ” นาตาซายักไหล่ “ข้าแนะนำให้เจ้าเผยแพร่บทเพลงใหม่ๆ บ้าง ถ้าเจ้าสามารถส่งเพลงมาให้ข้าได้ น่าจะเป็นประโยชน์ในการแฝงตัวของเจ้า”
“จะพยายามสุดความสามารถพะยะค่ะ” ลูเซียนเองก็ไม่ต้องการเลิกเล่นดนตรีเสียทีเดียว หลังเดินทางออกจากนครอัลโต้
หลังจากตกลงกันเรื่องวิธีการส่งจดหมาย ลูเซียนพก ‘กำไลเชือกอัคคี’ ‘กริชดูดพลัง’ ของอารอน ‘กริชเหล็กกล้า’ และ ‘ดาบอะเลิร์ต’ ติดตัวไปด้วย และมอบลูกตุ้มเหล็กสามหัวให้กับนาตาซา เพราะมันเทอะทะเกินกว่าที่เขาจะพกติดตัว
“ข้าจะดูแลสหายของเจ้าเอง ไม่ต้องกังวลนะ ลูเซียน” นาตาซายิ้ม
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ กระหม่อมโชคดีมากที่ได้เป็นสหายของพระองค์ นาตาซา” ลูเซียนแสดงความขอบคุณออกมาจากใจ จากนั้นเขาก็หันหลังเดินไป
“ลูเซียน…” นาตาซาเรียกชื่อเขาจากด้านหลัง
“พะยะค่ะ?” ลูเซียนหันกลับไปมอง
“จงจำไว้ว่า ‘ชีวิตไม่ได้มีแค่เวทมนตร์’ เจ้ายังมีดนตรี และเจ้ายังมีสหาย” นาตาซาโบกมือของนางร่ำลา
“กระหม่อมจะไม่มีวันลืม” ลูเซียนยิ้มกว้าง
…
หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ เมื่อลูเซียนหายเข้าไปในป่าไม่เหลือร่องรอย รอยยิ้มบนใบหน้าของนาตาซาก็หายไปและนางก็ออกคำสั่งน้ำเสียงจริงจัง
“แสดงตัวออกมา เจ้าแอบฟังอยู่พักใหญ่แล้ว”
“ตามพระประสงค์ ฝ่าบาท” ซัลวาดอร์ ‘ผู้คุมกฎ’ ผู้นำของเหล่าผู้พิทักษ์ราตรี ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า และลอยตัวลงยืนอยู่ตรงหน้านาตาซา มือของเขายังมีผ้าสีขาวผูกไว้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนคำปฏิญาณว่าจะสังหาร ‘ศาสตราจารย์’ ล้างแค้นให้เหล่าผู้พิทักษ์ราตรี
“ทำไมเจ้าถึงยังไม่ลงมือ” นาตาซาถามตรงๆ
“เห็นได้ชัดว่า พระองค์ทรงเป็นห่วงชายผู้นี้มาก ฝ่าบาท กระหม่อมคงไม่ใช้โอกาสนี้สังหารเขาต่อหน้าพระองค์ แม้ว่า ใช่ กระหม่อมอยากฆ่ามันมาก… ‘ศาสตราจารย์ผู้ชั่วช้า’”
“ข้าเข้าใจแล้ว” นาตาซาพูดอย่างเยือกเย็น “แล้วทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่? มีอะไรอยากคุยกับข้าหรือไม่?”
“พะยะค่ะ ฝ่าบาท” ซัลวาดอร์ตอบ “กระหม่อมมีข้อแลกเปลี่ยนกับการรักษาความลับนี้ให้พระองค์ พะยะค่ะ”
“ฮ้า?” นาตาซาเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา “เจ้าไม่อยากแก้แค้นให้เหล่าผู้พิทักษ์ราตรีที่ถูกสังหารแล้วอย่างนั้นหรือ? ข้าคิดว่าเจ้าจะเด็ดเดี่ยวกว่านี้เสียอีก”
“อยากพะยะค่ะ และยังอยากฆ่ามันอยู่” ซัลวาดอร์พูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น “แต่กระหม่อมก็ไม่อยากพลาดโอกาสนี้… โอกาสที่จะได้เลื่อนยศสูงขึ้นใน ‘ศาสนจักร’ และร่วมมือกับเจ้าหญิง กระหม่อมต้องยอมเสียสละหลายอย่าง แล้วต้องมาคอยพิทักษ์ยามราตรี… ทั้งหมดก็เพราะ…”
“ไม่เห็นจะน่าสนใจ” นาตาซาพูดตัดบทเขาตรงๆ
“ก็ได้พะยะค่ะ…” ซัลวาดอร์หยุดคิดพักหนึ่ง “ขอทูลตรงประเด็นเลยนะพะยะค่ะ พูดตรงๆ แล้ว กระหม่อมอยากขอ…!!!”
ก่อนที่คำต่อมาจะออกมาจากปากซัลวาดอร์ นาตาซาพุ่งพรวดและลงดาบฟันร่างของเขาโดยไม่ลังเล
ในอีกวินาทีต่อมา ร่างของซัลวาดอร์ถูกหั่นออกเป็นสองซีกด้วย ‘ดาบธันเดอร์’ ของเจ้าหญิงนาตาซา
“ไม่มีใครกล้าขู่ข้า” นาตาซาเอ่ยปากอย่างเยือกเย็น
ไม่มีเลือดกระเซ็นออกจากร่างของซัลวาดอร์และร่างของเขาก็สลายกลายเป็นอนุภาคเล็กๆ ส่องแสงวิบวับในอากาศ ก่อนที่ร่างของเขาจะสลายไปทั้งหมด แรงปรารถนาสุดท้ายที่เหลืออยู่กลายเป็นเสียงลอยออกมา “อัศวิน… อาภา?”
อีกสิบนาทีหลังจากนั้น คามิลก็ปรากฏตัวมาจากอีกฟากหนึ่งของป่า แบกวายออนและคาชาเรลที่หมดสติทั้งคู่ไว้ใต้แขน
“นาตาซา พระองค์ทรงเป็น ‘อัศวินอาภา’ แล้ว” คามิลรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของนาตาซาได้ในทันที “ดูเหมือนว่าการต่อสู้อันดุเดือดครั้งนี้เป็นโอกาสให้พระองค์ก้าวหน้าถึงขั้นนี้ ยินดีด้วยเพค่ะ นาตาซา หม่อมฉันภูมิใจในตัวพระองค์มาก”
นาตาซายิ้ม แต่เต็มไปด้วยอารมณ์เศร้า
…
เมื่อนาตาซาและคามิลกลับมาที่นครอัลโต้ พระอาทิตย์ก็ขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้า หลังจากปลอบประโลมแกรนด์ดยุกที่ต้องทรมานใจด้วยความกังวลและความโกรธตลอดทั้งคืน นาตาซามุ่งหน้าไปยัง ‘มหาวิหารทองคำ’ ทันที
ในการสารภาพบาป นาตาซาพบซาร์ด กำลังสวดมนต์อย่างเงียบๆ ที่นั่น
“ท่านคาร์ดินัลหลวง ข้ามีเรื่องต้องสารภาพ” นาตาซาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“พระเจ้าประทับอยู่ที่นี่” ซาร์ดลืมตาค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ข้าสังหารผู้พิทักษ์ราตรี… ข้าสังการซัลวาดอร์” นาตาซาทำเครื่องหมายกางเขน
“หม่อมฉันสัมผัสไม่ได้ถึงความสำนึกผิดของพระองค์” ถึงแม้ได้รู้ว่าผู้นำผู้พิทักษ์ราตรีถูกสังการ ซาร์ดก็ไม่แสดงอารมณ์ออกมา
“ข้าไม่เสียใจ นั่นเป็นสิ่งที่ข้าเลือก ข้ายินดีรับการลงโทษต่อสิ่งที่ข้าเลือก” นาตาซาตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“พระองค์สังหารเขาทำไม” ซาร์ดถาม
นาตาซาไม่ตอบ
ซาร์ดค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อวาน วันนี้เขาดูแก่ขึ้นมาก “หม่อมฉันจะรายงานพระสันตะปาปา ท่านจะทรงตัดสินโทษต่อบาปของพระองค์ รออยู่ที่นี่นะ นาตาซา”
หลังจากที่ซาร์ดเดินออกไป เส้นเลือดบนใบหน้าและมือของนาตาซาเริ่มบวมเป่งและปวดแสบปวดร้อน ใบหน้าอันงดงามของนางบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวดรุนแรง อย่างไรเสีย นางยังคงคุกเข่าบนพื้นต่อหน้าไม้กางเขนขนาดใหญ่โดยไม่ส่งเสียงแสดงความเจ็บปวดแม้แต่นิดเดียว
…
ณ ห้องหนังสือที่สว่างจ้าและตกแต่งอย่างเรียบง่าย ชายชราผมหงอกขาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะหนังสือ
เขาพูดกับพระคาร์ดินัลหลวงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “นาตาซาสารภาพบาปของนางแล้ว พระเจ้าทรงให้อภัยทุกคนที่เต็มใจสารภาพบาป ด้วยความซื่อสัตย์ของนาตาซา และตอนนี้นางก็เป็นถึงอัศวินอาภา การลงโทษต้องไม่รุนแรงเกินไป ส่งตัวนางไปยังอารามชั้นต่ำสุดเป็นเวลาสามปี”
“รับทราบขอรับ ฝ่าบาท” พระคาร์ดินัลหลวงค่อยๆ เดินออกจากห้องหนังสือ
พระสันตะปาปาหยิบกองกระดาษเล็กๆ ตรงหน้า ซึ่งถ้อยคำต่างๆ เขียนไว้ที่ดูไม่สมเหตุสมผล
“เขาดูเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อนกับคำพูดของข้า…”
“บางคราวเขาดูสับสน…”
“บางครั้งเขาดูลังเล…”
…
ลูเซียนทำตามคำแนะนำการกลบร่องรอยการเดินป่าที่ได้ความรู้มาจากนาตาซา เขากลับมายัง ‘แม่น้ำมัสซอล’ เวลาประมาณเก้านาฬิกา ดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างจ้าในอากาศ
ก่อนจะเข้าเมืองเล็กๆ เมืองนี้ ลูเซียนเอาข้าวของทั้งหมดออกจากกระเป๋า และเผาเสื้อคลุมนักเวทสีดำทิ้ง
ลูเซียนไม่เห็นจอยซ์และสารถีของเขาอยู่แถวนั้น หลังจากพูดคุยกับเจ้าของโรงแรม ลูเซียนก็รู้ว่าคนที่เขาจ้างมาพากันหนีไปหมดแล้ว เพราะความโกลาหลที่เกิดขึ้นใน ‘เมืองบอนน์’ เมื่อคืน
แม้จะแสร้งทำท่าเป็นกังวล แต่ลึกๆ แล้วลูเซียนแอบดีใจ เขาพูดกับเจ้าของโรงแรมว่า “แย่ชะมัด แล้วข้าต้องจ้างรถม้าคันอื่น ไหนจะทหารคุ้มกันอีก ท่านช่วยส่งข้อความถึงสมาคมว่าข้ายกเลิกสัญญาจ้างกับพวกเขาเองได้ไหม? สมาคมจะได้ไม่เอาเรื่องคนพวกนั้น ข้าเข้าใจว่าทุกคนก็กลัวกันทั้งนั้น”
“ท่านช่างเป็นสุภาพบุรุษเสียจริงๆ!” เจ้าของโรงแรมหยิบปากกาและกระดาษออกมาและชื่นชมลูเซียน “คงไม่ยากเกินไปถ้าท่านจะหาคนใหม่ ใต้เท้า เพราะนักผจญภัยและชาวบ้านจากเมืองบอนน์ ตอนนี้มาพักอยู่ในเมืองของเราเต็มไปหมดขอรับ”
หลังจากลงนามชื่อในจดหมายที่เจ้าของโรงแรมร่างให้ ลูเซียนก็กลับไปยังห้องพักและเริ่มเตรียมตัวสำหรับการเดินทางครั้งใหม่ของเขา
(จบเล่มหนึ่ง)
……………………………………….