สภาพอากาศในช่วงครึ่งหลังของเดือนแห่งปรารถนา (มิถุนายน) ร้อนมาก เหงื่อไหลซึมออกมาจากใบหน้าของโจแอนนาและเบ็ตตี้ ขณะที่พวกเขาคอยปกป้องรถม้าในแต่ละด้าน ไม่ต้องพูดถึงไซม่อนซึ่งบัดนี้เสื้อผ้าในชุดเกราะของเขาเปียกโชกไปหมด
แต่ไม่มีใครบ่นเลยแม้แต่คนเดียว ไซม่อนผู้เดินนำหน้ารถม้าได้ขับไล่สัตว์ร้ายหลายตัวที่วิ่งลงมาจากภูเขา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นความรับผิดชอบของเขาในฐานะผู้คุ้มกัน แต่ความจริงที่ว่าเขาเอาชนะสัตว์ร้ายได้โดยไม่ทำให้ม้าตกใจทำให้ลูเซียนประทับใจ
ตรงกันข้ามกับคริสที่คุยโวว่าตัวเองเป็น “คนจริง” อยู่ตลอดเวลาที่ตอนนี้กำลังเดินลากเท้าของเขาไปตามพื้นพร้อมกับร่างกายของเขาที่อิดโรยจากความร้อน
ภายในรถม้า เนื่องจากลูเซียนยังคงปิดตาอยู่ตลอดเวลา และลีนาก็ไม่พูดอะไรเลยดังนั้นไวส์จึงไม่มีใครพูดคุยด้วย ในที่สุดเขาก็หยิบแผ่นเพลงออกมาจากกระเป๋าเดินทางเพื่อฆ่าเวลาของเขา
เสียงเพียงอย่างเดียวที่ได้ยินคือเสียงร้องจากเด็กน้อยเป็นครั้งคราวจากนั้นลีน่าก็จะขอโทษและพยายามทำให้เด็กน้อยสงบลง
ประมาณเจ็ดโมงเย็นก็เริ่มตกกลางคืน หลังจากคุยกับลูเซียนแล้วไซม่อนก็เริ่มมองหาที่ตั้งค่ายที่ซึ่งพวกเขาสามารถใช้เวลายามค่ำคืนได้ จากประสบการณ์ของไซม่อนในไม่ช้าเขาก็หยุดพักจุดที่อยู่ด้านข้างของเนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ผู้คุมกันของลูเซียนทั้งสามคนสร้างเต็นท์สามหลังขึ้นอย่างรวดเร็ว หนึ่งเต็นท์สำหรับผู้หญิงสามคน หนึ่งเต็นท์สำหรับไซม่อน คนขับรถม้าและไวส์ แน่นอนว่าภายในรถม้าต้องเป็นที่พักของลูเซียน
เมื่อมองความวุ่นวายของผู้คุมกันที่เดินไปรอบๆ และถือสิ่งของต่างๆ ลูเซียนก็รู้สึกถึงความสำคัญของเงินขึ้นมา หากในอนาคตเขาวางแผนที่จะเดินทางด้วยตัวเอง เข้าต้องเป็นนักเวทระดับกลางเสียก่อนและเรียนรู้เวทมนตร์ระดับสามนั้นคือเวทเกี่ยวกับการสร้างที่พัก
บริเวณค่ายที่พักปรากฏกองไฟสว่างขึ้นและกลิ่นอาหารลอยอยู่ในอากาศ ในขณะที่โจแอนนาและเบ็ตตี้กำลังมุ่งหน้าไปยังลำธารที่อยู่ใกล้เคียงเพื่ออาบน้ำ ไซม่อนและไวส์นั่งรอบกองไฟและเริ่มพูดคุยกันอย่างจริงจัง
“มีคนกล่าวว่าในช่วงยุคมืดดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของนักเวทมนตร์ดำ” หลังจากได้ยินเรื่องราวระหว่างไซม่อนกับไวส์เกี่ยวกับเรื่องราวของแวมไพร์และนักเวทมนตร์ดำในทวีปนี้ ลูเซียนก็เข้าร่วมฟังด้วย “จากนั้นเขาก็ถูกฆ่าโดยศาสนจักร”
ลูเซียนยังจำสิ่งที่เขาอ่านในหนังสือของนาตาซาได้ดี
ไซม่อนเป็นคนช่างพูดอย่างน่าประหลาด “ผู้คนต่างชื่นชอบเรื่องสิ่งลึกลับและน่ากลัว เจ้ารู้ไหมว่าพวกเขามักจะใช้สายตาที่น่ากลัวข่มขู่เด็กที่ไม่อยากนอนตอนกลางคืน”
ไวส์ไม่เชื่อข่าวลือแบบนี้ “ทุกๆ เมืองและทุกหมู่บ้านมีโบสถ์ แต่ผู้คนต่างก็ชอบความรู้สึกที่น่าตื่นเต้น”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน โจแอนนากับเบ็ตตี้ก็กลับมาจากการอาบน้ำ ผมของพวกนางเปียกอยู่และมีน้ำหยดเล็กน้อย ภาพผู้หญิงสองคนที่เดินกลับไปที่ค่ายมันดึงดูดสายตาของนักกวีสองคนที่กำลังตั้งค่ายใกล้เคียงกันและคริสก็อยู่กับพวกเขาด้วย
พวกเขาเริ่มส่งเสียงดังใส่โจแอนนากับเบ็ตตี้ และหนึ่งในนั้นก็หยิบพิณออกมาวางบนตักและเริ่มบรรเลงเพลงท่องถิ่นที่เกี้ยวพาและเย้าแย่ขณะที่สายตาของพวกเขาก็มองไปที่ผู้หญิงสองคนด้วยความเจ้าชู้
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับโจแอนนา และนางก็ยังคงเดินอย่างสุขุม ตรงกันข้ามกับเบ็ตตี้ นางโกรธมาก
“เบ็ตตี้อย่าไปสนใจพวกเขา มานี่สิ” โจแอนนานั่งข้างไซม่อนและกวนซุปเบาๆ ในหม้อที่แขวนอยู่เหนือกองไฟ
“แต่พวกเขาไม่หยุด!” ใบหน้าของเบ็ตตี้ขึ้นสีแดงและนางจ้องมองไปที่นักกวีด้วยความโกรธ
“ข้าจัดการเอง” ไซม่อนยืนขึ้นแล้วเดินไปยังที่ตั้งค่ายของพวกเขา
เมื่อไซม่อนมายืนต่อหน้านักกวีทั้งสอง คริสก็พูดกับเขาว่า “ไซม่อนมีอะไรผิดปกติกับเพื่อนๆ ของข้าที่กำลังร้องเพลง และเล่นดนตรีนี่เหรอ?” คริสเหลือบมองไซม่อน “พวกเขาเป็นเพื่อนของข้า ปล่อยให้พวกเราอยู่กันตามลำพังเถอะ”
ในขณะที่เขากำลังพูด คริสก็กำลังเช็ดดาบใหญ่ของเขาด้วยท่าทางสบายๆ
ไซม่อนเป็นผู้คุ้มกันที่ดี เขารู้ว่าเขายังอยู่ในสัญญาว่าจ้างและรู้ว่าเขาควรหลีกเลี่ยงปัญหา
“พวกเจ้าควรระวังให้มากกว่านี้” ไซม่อนพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงต่ำ
อีกด้านหนึ่ง โจแอนนาพยายามจะปลอบน้องสาวของนาง “เบ็ตตี้พวกเขาก็เหมือนกับพวกที่เราเจอในโรงแรมนั้นละ”
อย่างไรก็ตามเบ็ตตี้ตะโกนเสียงสูงใส่เหล่านักกวี “ดนตรีห่วยๆ! พวกเขาเรียกตัวเองว่านักกวี แต่ข้าไม่ยักรู้ว่าพวกเขาสามารถทำเงินกับการเล่นห่วยๆ แบบนี้ได้!” เสียงของเบ็ตตี้ชัดเจนมาก
จากนั้นนางก็หยุดราวกับว่านางกำลังพยายามหาวิธีที่ที่จะทำให้ประเด็นของนางที่พูดถึงน่าสนใจมากขึ้น “ท่านสุภาพบุรุษไวส์ที่อยู่กับเรา… เขาสามารถเล่นได้ดีกว่า!”
เบ็ตตี้มองไวส์ด้วยสีหน้าขอโทษเมื่อนางตระหนักว่านางไม่ควรให้นายจ้างเข้ามาเกี่ยวข้อง
อย่างไรเสียไวส์ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาพยักหน้าเบาๆ เพื่อแสดงความเข้าใจ
“จริงเหรอ? ผู้ชายที่เจ้าเสนอขึ้นมาจะสามารถเล่นดนตรีได้ดีกว่าพวกข้าเหรอ?” นักกวีทั้งสองยืนขึ้นและเดินเข้าไปใกล้พวกเขา
หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “หากสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริงข้าจะขอโทษ แต่ถ้าไม่ใช่ เจ้าจะต้องให้… ของใช้… ส่วนตัว… เช่น…” เขามองตรงไปที่ร่างของนางแล้วหัวเราะ
เบ็ตตี้หน้าแดง นางมองไปที่ไวส์อีกครั้งเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เขายังคงนั่งอยู่กับที่โดยไม่แสดงความตั้งใจที่จะ “ต่อสู้” เพื่อนางเลย
เบ็ตตี้รู้สึกเสียใจกับคำพูดของนาง ไวส์อาจไม่รู้วิธีเล่นจริงๆ เพราะเขาก็บอกว่าเขาแค่มุ่งหน้าเดินทางไปคอร์โซเพื่อศึกษาดนตรี
เบ็ตตี้เกือบจะร้องไห้แล้ว
ลูเซียนมองไซม่อนที่อยู่อีกด้านแล้วพยักหน้าส่งสายตาเป็นนัยให้เขา จากนั้นมือขวาของไซม่อนก็เอื้อมไปที่ดาบอย่างช้าๆ
ในเวลานี้เองไวส์ยืนขึ้นและยิ้ม “แม้ว่าข้าจะยังอยู่ในช่วงเรียนรู้แต่ข้าก็จะช่วย”
“ข้าไม่ให้เจ้ายืมเครื่องดนตรีของข้าหรอก” นักกวีคนหนึ่งพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ไวส์เดินกลับไปที่เต็นท์ของเขาแล้วหยิบพิณเล็กๆ ของตัวเองออกจากกระเป๋าเดินทาง
เมื่อเขาเริ่มเล่น ท่วงทำนองที่ไพเราะจับหูได้ดึงดูดหัวใจของทุกคนในทันที เพลงของไวส์เต็มไปด้วยความรู้สึกและเขาก็เก็บรายละเอียดทุกอย่างได้ดี
เมื่อการบรรเลงของเขาสิ้นสุดลง เบ็ตตี้ก็เป็นคนแรกที่เริ่มปรบมือ ขณะที่ตบมืออย่างร่าเริง ดวงตาของนางปรากฏร่องรอยของการบูชา ไวส์ และจากนั้นก็เปลี่ยนมามองนักกวีทั้งสองคน
ใบหน้าของนักกวีที่เดิมพันกับเบ็ตตี้ดูน่ากลัว เขาหวังว่าชายหนุ่มที่มีผมสีดำที่ยังคงนิ่งเงียบอยู่อีกด้านหนึ่งจะถูกเลือกแทนที่จะเป็นคนที่ชื่อไวส์
“ข้าขอโทษแล้วกัน” หลังจากนั้นไม่นานนักกวีก็รักษาคำพูดของเขาและกลับไปที่ค่ายของตัวเองกับเพื่อนของเขา ซึ่งคริสที่ยังคงนั่งอยู่มองดูอย่างไม่สบายใจ
หลังจากได้เห็นพรสวรรค์ของไวส์ ทั้งโจแอนนาและไซม่อนก็เริ่มกระตือรือร้นกับการพูดคุยกับชายหนุ่มมากขึ้น
“ไวส์เจ้าสามารถเล่นแคนอนของท่านอีวานส์ด้วยพิณของเจ้าได้ไหม?” ใบหน้าของเบ็ตตี้ส่องประกายด้วยความคาดหวัง
ไวส์พยักหน้าเบาๆ และเริ่มบรรเลงเพลงของลูเซียนซึ่งทำให้ลูเซียนนึกถึงเพื่อนๆ ของเขาในอัลโต้ จากนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะส่งจดหมายผ่านสมาคมนักดนตรีเมื่อเขามาถึงคอร์โซ
เพราะในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาลูเซียนส่งจดหมายถึงพวกเขาเพียงฉบับเดียว
เมื่อการบรรเลงของไวส์สิ้นสุดลงอาหารเย็นก็พร้อมพอดี เบ็ตตี้พูดกับไวส์โดยตรงๆ ว่า “ไวส์ถ้าข้าไม่ได้ตกหลุมรักเพลงของ ลูเซียน อีวานส์ ข้าจะเป็นแฟนคลับของเจ้า!”
“ข้าคิดว่าเจ้าเก่งกว่านักดนตรีบางคนในคอร์โซนะ” โจแอนนาเห็นด้วย
ใบหน้าของไวส์ปรากฏรอบยิ้มขนาดใหญ่ ท้ายที่สุดไวส์ก็ถือว่าการเปรียบเทียบระหว่างเขากับนักดนตรีที่มีความสามารถและมีชื่อเสียงคนนั้นเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
เมื่อไวส์มองไปที่ลูเซียนเขาก็ยังคงแสดงรอยยิ้มที่อ่อนน้อมถ่อมตน
“ไวส์ เจ้าเป็นคนที่ถ่อมตัวจริงๆ” ลูเซียนพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าบรรเลงได้ดีมาก”
…
คืนนี้ดึกมากแล้วคนเกือบทั้งหมดกำลังหลับยกเว้นคนสองคน
แสงกองไฟของค่ายปรากฏเงาร่างเล็กที่ลับๆ ล่อๆ เดินเข้ามาใกล้ทำให้ความมืดที่อยู่ด้านหลังสั่นไหวตามจังหวะของเปลวไฟที่ส่องสว่างอยู่ตรงกลาง ทันใดนั้นเงาก็หยุดลงราวกับว่ากำลังรออะไรอยู่
ช่วงเวลาขณะที่เบ็ตตี้หาว ร่างเงาก็กระโดดขึ้นไปทางด้านหลังของรถม้าทันที มันเปิดหน้าต่างอย่างเงียบๆ และแอบเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว
นั้นคือคริสที่ชอบโอ้อวดว่าเขาเป็นผู้ชายที่แท้จริง
เขาปิดหน้าต่างรถม้าอย่างระมัดระวังและยืนขึ้น รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของเขา ทุกคนคิดว่าเขาเป็นนักดาบใหญ่ แต่ในความเป็นจริงคริสเป็นขโมยที่มีประสบการณ์และร่างเตี้ยๆ ของเขาก็ช่วยเขาได้อย่างมากในเรื่องนั้น
“…ไซม่อน โจแอนนา เบ็ตตี้ จะเป็นอย่างไรนะหากดาบหรูของนายจ้างพวกเจ้าหายไป” คริสคิดอยู่ในใจอย่างเงียบๆ “ข้าพนันได้เลยว่าเขาจะต้องเสียใจมาก”
ในขณะที่เขากำลังมองหาดาบของลูเซียน คริสรู้สึกตื่นเต้นเขารู้ว่าดาบหรูๆ มีค่ามากอย่างแน่นอน หลังจากขายแล้วเขาอาจจะมีเงินพอที่จะซื้อตำแหน่งลอร์ด
นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ปาหินก้อนเดียวฆ่านกสองตัว’
ภายในวินาทีต่อมาคริสก็พบว่าทั้งลูเซียนและดาบของเขาหายไป
“เกิดอะไรขึ้น?!”
เมื่อคริสกำลังจะลงจากรถม้า ดาบหรูเล่มนั้นที่เขามองหาก็กำลังกดทับลงบนคอของเขา
คริสตัวสั่นและคุกเข่าลงทันที
“นายท่าน! ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย!” คริสตระหนักแล้วว่าลูเซียนเป็นอัศวินจริงๆ ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถซ้อนแผนของเขาได้
“ขวาหรือซ้าย?” ลูเซียนถามอย่างใจเย็น
“อะ อะไรนะ?” คริสเหงื่อออก
“มือขวาหรือมือซ้าย? เจ้าต้องการให้ข้าตัดด้านไหน” ลูเซียนย้ำ
“ข้า… นายท่านโปรดอภัยให้ข้าด้วย!” จู่ๆ คริสก็ร้องไห้ออกมา “ข้ามีข้อมูล… ข้อมูลที่จะบอกท่าน!!”
……………………………………….