Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – ตอนที่ 138 เรื่องตลกยามค่ำคืน

สภาพอากาศในช่วงครึ่งหลังของเดือนแห่งปรารถนา (มิถุนายน) ร้อนมาก เหงื่อไหลซึมออกมาจากใบหน้าของโจแอนนาและเบ็ตตี้ ขณะที่พวกเขาคอยปกป้องรถม้าในแต่ละด้าน ไม่ต้องพูดถึงไซม่อนซึ่งบัดนี้เสื้อผ้าในชุดเกราะของเขาเปียกโชกไปหมด

แต่ไม่มีใครบ่นเลยแม้แต่คนเดียว ไซม่อนผู้เดินนำหน้ารถม้าได้ขับไล่สัตว์ร้ายหลายตัวที่วิ่งลงมาจากภูเขา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นความรับผิดชอบของเขาในฐานะผู้คุ้มกัน แต่ความจริงที่ว่าเขาเอาชนะสัตว์ร้ายได้โดยไม่ทำให้ม้าตกใจทำให้ลูเซียนประทับใจ

ตรงกันข้ามกับคริสที่คุยโวว่าตัวเองเป็น “คนจริง” อยู่ตลอดเวลาที่ตอนนี้กำลังเดินลากเท้าของเขาไปตามพื้นพร้อมกับร่างกายของเขาที่อิดโรยจากความร้อน

ภายในรถม้า เนื่องจากลูเซียนยังคงปิดตาอยู่ตลอดเวลา และลีนาก็ไม่พูดอะไรเลยดังนั้นไวส์จึงไม่มีใครพูดคุยด้วย ในที่สุดเขาก็หยิบแผ่นเพลงออกมาจากกระเป๋าเดินทางเพื่อฆ่าเวลาของเขา

เสียงเพียงอย่างเดียวที่ได้ยินคือเสียงร้องจากเด็กน้อยเป็นครั้งคราวจากนั้นลีน่าก็จะขอโทษและพยายามทำให้เด็กน้อยสงบลง

ประมาณเจ็ดโมงเย็นก็เริ่มตกกลางคืน หลังจากคุยกับลูเซียนแล้วไซม่อนก็เริ่มมองหาที่ตั้งค่ายที่ซึ่งพวกเขาสามารถใช้เวลายามค่ำคืนได้ จากประสบการณ์ของไซม่อนในไม่ช้าเขาก็หยุดพักจุดที่อยู่ด้านข้างของเนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง

ผู้คุมกันของลูเซียนทั้งสามคนสร้างเต็นท์สามหลังขึ้นอย่างรวดเร็ว หนึ่งเต็นท์สำหรับผู้หญิงสามคน หนึ่งเต็นท์สำหรับไซม่อน คนขับรถม้าและไวส์ แน่นอนว่าภายในรถม้าต้องเป็นที่พักของลูเซียน

เมื่อมองความวุ่นวายของผู้คุมกันที่เดินไปรอบๆ และถือสิ่งของต่างๆ ลูเซียนก็รู้สึกถึงความสำคัญของเงินขึ้นมา หากในอนาคตเขาวางแผนที่จะเดินทางด้วยตัวเอง เข้าต้องเป็นนักเวทระดับกลางเสียก่อนและเรียนรู้เวทมนตร์ระดับสามนั้นคือเวทเกี่ยวกับการสร้างที่พัก

บริเวณค่ายที่พักปรากฏกองไฟสว่างขึ้นและกลิ่นอาหารลอยอยู่ในอากาศ ในขณะที่โจแอนนาและเบ็ตตี้กำลังมุ่งหน้าไปยังลำธารที่อยู่ใกล้เคียงเพื่ออาบน้ำ ไซม่อนและไวส์นั่งรอบกองไฟและเริ่มพูดคุยกันอย่างจริงจัง

“มีคนกล่าวว่าในช่วงยุคมืดดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของนักเวทมนตร์ดำ” หลังจากได้ยินเรื่องราวระหว่างไซม่อนกับไวส์เกี่ยวกับเรื่องราวของแวมไพร์และนักเวทมนตร์ดำในทวีปนี้ ลูเซียนก็เข้าร่วมฟังด้วย “จากนั้นเขาก็ถูกฆ่าโดยศาสนจักร”

ลูเซียนยังจำสิ่งที่เขาอ่านในหนังสือของนาตาซาได้ดี

ไซม่อนเป็นคนช่างพูดอย่างน่าประหลาด “ผู้คนต่างชื่นชอบเรื่องสิ่งลึกลับและน่ากลัว เจ้ารู้ไหมว่าพวกเขามักจะใช้สายตาที่น่ากลัวข่มขู่เด็กที่ไม่อยากนอนตอนกลางคืน”

ไวส์ไม่เชื่อข่าวลือแบบนี้ “ทุกๆ เมืองและทุกหมู่บ้านมีโบสถ์ แต่ผู้คนต่างก็ชอบความรู้สึกที่น่าตื่นเต้น”

ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน โจแอนนากับเบ็ตตี้ก็กลับมาจากการอาบน้ำ ผมของพวกนางเปียกอยู่และมีน้ำหยดเล็กน้อย ภาพผู้หญิงสองคนที่เดินกลับไปที่ค่ายมันดึงดูดสายตาของนักกวีสองคนที่กำลังตั้งค่ายใกล้เคียงกันและคริสก็อยู่กับพวกเขาด้วย

พวกเขาเริ่มส่งเสียงดังใส่โจแอนนากับเบ็ตตี้ และหนึ่งในนั้นก็หยิบพิณออกมาวางบนตักและเริ่มบรรเลงเพลงท่องถิ่นที่เกี้ยวพาและเย้าแย่ขณะที่สายตาของพวกเขาก็มองไปที่ผู้หญิงสองคนด้วยความเจ้าชู้

มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับโจแอนนา และนางก็ยังคงเดินอย่างสุขุม ตรงกันข้ามกับเบ็ตตี้ นางโกรธมาก

“เบ็ตตี้อย่าไปสนใจพวกเขา มานี่สิ” โจแอนนานั่งข้างไซม่อนและกวนซุปเบาๆ ในหม้อที่แขวนอยู่เหนือกองไฟ

“แต่พวกเขาไม่หยุด!” ใบหน้าของเบ็ตตี้ขึ้นสีแดงและนางจ้องมองไปที่นักกวีด้วยความโกรธ

“ข้าจัดการเอง” ไซม่อนยืนขึ้นแล้วเดินไปยังที่ตั้งค่ายของพวกเขา

เมื่อไซม่อนมายืนต่อหน้านักกวีทั้งสอง คริสก็พูดกับเขาว่า “ไซม่อนมีอะไรผิดปกติกับเพื่อนๆ ของข้าที่กำลังร้องเพลง และเล่นดนตรีนี่เหรอ?” คริสเหลือบมองไซม่อน “พวกเขาเป็นเพื่อนของข้า ปล่อยให้พวกเราอยู่กันตามลำพังเถอะ”

ในขณะที่เขากำลังพูด คริสก็กำลังเช็ดดาบใหญ่ของเขาด้วยท่าทางสบายๆ

ไซม่อนเป็นผู้คุ้มกันที่ดี เขารู้ว่าเขายังอยู่ในสัญญาว่าจ้างและรู้ว่าเขาควรหลีกเลี่ยงปัญหา

“พวกเจ้าควรระวังให้มากกว่านี้” ไซม่อนพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงต่ำ

อีกด้านหนึ่ง โจแอนนาพยายามจะปลอบน้องสาวของนาง “เบ็ตตี้พวกเขาก็เหมือนกับพวกที่เราเจอในโรงแรมนั้นละ”

อย่างไรก็ตามเบ็ตตี้ตะโกนเสียงสูงใส่เหล่านักกวี “ดนตรีห่วยๆ! พวกเขาเรียกตัวเองว่านักกวี แต่ข้าไม่ยักรู้ว่าพวกเขาสามารถทำเงินกับการเล่นห่วยๆ แบบนี้ได้!” เสียงของเบ็ตตี้ชัดเจนมาก

จากนั้นนางก็หยุดราวกับว่านางกำลังพยายามหาวิธีที่ที่จะทำให้ประเด็นของนางที่พูดถึงน่าสนใจมากขึ้น “ท่านสุภาพบุรุษไวส์ที่อยู่กับเรา… เขาสามารถเล่นได้ดีกว่า!”

เบ็ตตี้มองไวส์ด้วยสีหน้าขอโทษเมื่อนางตระหนักว่านางไม่ควรให้นายจ้างเข้ามาเกี่ยวข้อง

อย่างไรเสียไวส์ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาพยักหน้าเบาๆ เพื่อแสดงความเข้าใจ

“จริงเหรอ? ผู้ชายที่เจ้าเสนอขึ้นมาจะสามารถเล่นดนตรีได้ดีกว่าพวกข้าเหรอ?” นักกวีทั้งสองยืนขึ้นและเดินเข้าไปใกล้พวกเขา

หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “หากสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริงข้าจะขอโทษ แต่ถ้าไม่ใช่ เจ้าจะต้องให้… ของใช้… ส่วนตัว… เช่น…” เขามองตรงไปที่ร่างของนางแล้วหัวเราะ

เบ็ตตี้หน้าแดง นางมองไปที่ไวส์อีกครั้งเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เขายังคงนั่งอยู่กับที่โดยไม่แสดงความตั้งใจที่จะ “ต่อสู้” เพื่อนางเลย

เบ็ตตี้รู้สึกเสียใจกับคำพูดของนาง ไวส์อาจไม่รู้วิธีเล่นจริงๆ เพราะเขาก็บอกว่าเขาแค่มุ่งหน้าเดินทางไปคอร์โซเพื่อศึกษาดนตรี

เบ็ตตี้เกือบจะร้องไห้แล้ว

ลูเซียนมองไซม่อนที่อยู่อีกด้านแล้วพยักหน้าส่งสายตาเป็นนัยให้เขา จากนั้นมือขวาของไซม่อนก็เอื้อมไปที่ดาบอย่างช้าๆ

ในเวลานี้เองไวส์ยืนขึ้นและยิ้ม “แม้ว่าข้าจะยังอยู่ในช่วงเรียนรู้แต่ข้าก็จะช่วย”

“ข้าไม่ให้เจ้ายืมเครื่องดนตรีของข้าหรอก” นักกวีคนหนึ่งพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ไวส์เดินกลับไปที่เต็นท์ของเขาแล้วหยิบพิณเล็กๆ ของตัวเองออกจากกระเป๋าเดินทาง

เมื่อเขาเริ่มเล่น ท่วงทำนองที่ไพเราะจับหูได้ดึงดูดหัวใจของทุกคนในทันที เพลงของไวส์เต็มไปด้วยความรู้สึกและเขาก็เก็บรายละเอียดทุกอย่างได้ดี

เมื่อการบรรเลงของเขาสิ้นสุดลง เบ็ตตี้ก็เป็นคนแรกที่เริ่มปรบมือ ขณะที่ตบมืออย่างร่าเริง ดวงตาของนางปรากฏร่องรอยของการบูชา ไวส์ และจากนั้นก็เปลี่ยนมามองนักกวีทั้งสองคน

ใบหน้าของนักกวีที่เดิมพันกับเบ็ตตี้ดูน่ากลัว เขาหวังว่าชายหนุ่มที่มีผมสีดำที่ยังคงนิ่งเงียบอยู่อีกด้านหนึ่งจะถูกเลือกแทนที่จะเป็นคนที่ชื่อไวส์

“ข้าขอโทษแล้วกัน” หลังจากนั้นไม่นานนักกวีก็รักษาคำพูดของเขาและกลับไปที่ค่ายของตัวเองกับเพื่อนของเขา ซึ่งคริสที่ยังคงนั่งอยู่มองดูอย่างไม่สบายใจ

หลังจากได้เห็นพรสวรรค์ของไวส์ ทั้งโจแอนนาและไซม่อนก็เริ่มกระตือรือร้นกับการพูดคุยกับชายหนุ่มมากขึ้น

“ไวส์เจ้าสามารถเล่นแคนอนของท่านอีวานส์ด้วยพิณของเจ้าได้ไหม?” ใบหน้าของเบ็ตตี้ส่องประกายด้วยความคาดหวัง

ไวส์พยักหน้าเบาๆ และเริ่มบรรเลงเพลงของลูเซียนซึ่งทำให้ลูเซียนนึกถึงเพื่อนๆ ของเขาในอัลโต้ จากนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะส่งจดหมายผ่านสมาคมนักดนตรีเมื่อเขามาถึงคอร์โซ

เพราะในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาลูเซียนส่งจดหมายถึงพวกเขาเพียงฉบับเดียว

เมื่อการบรรเลงของไวส์สิ้นสุดลงอาหารเย็นก็พร้อมพอดี เบ็ตตี้พูดกับไวส์โดยตรงๆ ว่า “ไวส์ถ้าข้าไม่ได้ตกหลุมรักเพลงของ ลูเซียน อีวานส์ ข้าจะเป็นแฟนคลับของเจ้า!”

“ข้าคิดว่าเจ้าเก่งกว่านักดนตรีบางคนในคอร์โซนะ” โจแอนนาเห็นด้วย

ใบหน้าของไวส์ปรากฏรอบยิ้มขนาดใหญ่ ท้ายที่สุดไวส์ก็ถือว่าการเปรียบเทียบระหว่างเขากับนักดนตรีที่มีความสามารถและมีชื่อเสียงคนนั้นเป็นเกียรติอย่างยิ่ง

เมื่อไวส์มองไปที่ลูเซียนเขาก็ยังคงแสดงรอยยิ้มที่อ่อนน้อมถ่อมตน

“ไวส์ เจ้าเป็นคนที่ถ่อมตัวจริงๆ” ลูเซียนพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าบรรเลงได้ดีมาก”

คืนนี้ดึกมากแล้วคนเกือบทั้งหมดกำลังหลับยกเว้นคนสองคน

แสงกองไฟของค่ายปรากฏเงาร่างเล็กที่ลับๆ ล่อๆ เดินเข้ามาใกล้ทำให้ความมืดที่อยู่ด้านหลังสั่นไหวตามจังหวะของเปลวไฟที่ส่องสว่างอยู่ตรงกลาง ทันใดนั้นเงาก็หยุดลงราวกับว่ากำลังรออะไรอยู่

ช่วงเวลาขณะที่เบ็ตตี้หาว ร่างเงาก็กระโดดขึ้นไปทางด้านหลังของรถม้าทันที มันเปิดหน้าต่างอย่างเงียบๆ และแอบเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว

นั้นคือคริสที่ชอบโอ้อวดว่าเขาเป็นผู้ชายที่แท้จริง

เขาปิดหน้าต่างรถม้าอย่างระมัดระวังและยืนขึ้น รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของเขา ทุกคนคิดว่าเขาเป็นนักดาบใหญ่ แต่ในความเป็นจริงคริสเป็นขโมยที่มีประสบการณ์และร่างเตี้ยๆ ของเขาก็ช่วยเขาได้อย่างมากในเรื่องนั้น

“…ไซม่อน โจแอนนา เบ็ตตี้ จะเป็นอย่างไรนะหากดาบหรูของนายจ้างพวกเจ้าหายไป” คริสคิดอยู่ในใจอย่างเงียบๆ “ข้าพนันได้เลยว่าเขาจะต้องเสียใจมาก”

ในขณะที่เขากำลังมองหาดาบของลูเซียน คริสรู้สึกตื่นเต้นเขารู้ว่าดาบหรูๆ มีค่ามากอย่างแน่นอน หลังจากขายแล้วเขาอาจจะมีเงินพอที่จะซื้อตำแหน่งลอร์ด

นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ปาหินก้อนเดียวฆ่านกสองตัว’

ภายในวินาทีต่อมาคริสก็พบว่าทั้งลูเซียนและดาบของเขาหายไป

“เกิดอะไรขึ้น?!”

เมื่อคริสกำลังจะลงจากรถม้า ดาบหรูเล่มนั้นที่เขามองหาก็กำลังกดทับลงบนคอของเขา

คริสตัวสั่นและคุกเข่าลงทันที

“นายท่าน! ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย!” คริสตระหนักแล้วว่าลูเซียนเป็นอัศวินจริงๆ ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถซ้อนแผนของเขาได้

“ขวาหรือซ้าย?” ลูเซียนถามอย่างใจเย็น

“อะ อะไรนะ?” คริสเหงื่อออก

“มือขวาหรือมือซ้าย? เจ้าต้องการให้ข้าตัดด้านไหน” ลูเซียนย้ำ

“ข้า… นายท่านโปรดอภัยให้ข้าด้วย!” จู่ๆ คริสก็ร้องไห้ออกมา “ข้ามีข้อมูล… ข้อมูลที่จะบอกท่าน!!”

……………………………………….

Throne of Magical Arcana

Throne of Magical Arcana

ซย่าเฟิง นักศึกษาปีสุดท้ายผู้อ่อนต่อโลก ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของลูเซียน อีวานส์ เด็กหนุ่มกำพร้าชนชั้นกรรมาชีพที่เฉลียวฉลาด บนโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ แม่มด ลัทธินอกรีต อัศวิน ปีศาจ และศรัทธาในพระเจ้า ลูเซียนประยุกต์ใช้ความรู้จากโลกเก่าพร้อมกับพลังวิเศษ ‘ห้องสมุดในห้วงสมอง’ ศึกษาเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์ เพราะ ‘ความรู้คืออำนาจ’ ที่จะช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายในการยกระดับชีวิต!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset