ขณะที่เฟลิเปกำลังพูดอยู่บนเวทีเหล่าหมอผีและนักเวทฝึกหัดก็เริ่มให้ความสนใจและเริ่มกระซิบกระซาบกัน
คาเรนเดียยืนถือแก้วอยู่ข้างหลังลูเซียน “ท่านศาสตราจารย์ข้าเดาได้ว่าท่านตั้งใจจะมางานฉลองแห่งความตาย แต่ข้าขอเตือนว่าถ้าพวกท่านต้องการการต่อสู้กันละก็ ข้าก็คงต้องขอให้ท่านทั้งสองออกไป แม้ว่าข้าจะอยากเห็นการต่อสู้ระหว่างนักเวทระดับสองในห้า แต่สิ่งสุดท้ายที่ข้าอยากจะเห็นคือปราสาทของข้าถูกทำลาย”
ลูเซียนเหลือบมองไวเคานต์อย่างรวดเร็วแล้วพูดด้วยความประชดว่า “ท่านรู้หรือว่าข้ามาที่นี้ทำไม แต่ทำไมข้าถึงไม่รู้เลยละว่าข้ามาทำอะไรอยู่ที่นี้”
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันอยู่นอกเหนือความคิดของ ลูเซียน ตอนนี้เขาได้ลิ้มรสความกล้าหาญอันขมขื่นของเขาแล้ว
“แล้วถ้าข้าแค่มาดูเฉยๆ ละ?” ใบหน้าของลูเซียนถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมขณะที่เขาตอบอย่างสุภาพ “บางครั้งการต่อสู้ก็เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์มาก”
“น่าสนใจ” ไวเคานต์แสดงความคิดเห็นแล้วจากนั้นก็หันไปมองคนที่ยืนอยู่บนเวที
นอกจากเฟลิเปแล้วตอนนี้มีหมอผีอีกสี่คนที่เป็นตัวแทนที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้คนที่อยู่ที่นี้ นั้นคือหมอผีเฒ่าเซสซี่ หมอผีหญิงที่ดูหน้าตาธรรมดาชื่อเทสส์ หมอผีหนุ่มชื่อเควนติน และหมอผีที่ดูน่ากลัวคนหนึ่งชื่อซีดนีย์ที่ใบหน้าและมือของเขาถูกคลุมด้วยเชื่อขนาดใหญ่ และพวกเขายังเป็นจอมเวทระดับกลางเพียงสี่คนเท่านั้นจากดินแดนดั้งเดิมของวิลเฟรดที่มีการสืบทอดประเพณีของอาณาจักรเวทมนตร์โบราณ สองคนเป็นนักเวทระดับสี่และอีกสองคนเป็นระดับสาม
“ท่านไม่ต้องการขึ้นไปบนเวทีเหรือ?” ไวเคานต์ถามอย่างล้อเล่น
ลูเซียนกลอกตาของเขาภายใต้เสื้อคลุมและตอบอย่างประชัดอีกครั้งในใจของเขา ‘แน่นอนว่าข้าจะขึ้นไปบนเวทีแล้วหาวิธีการฆ่าตัวตายอย่างสมบูรณ์แบบ… ทำไมล่ะ’
แน่นอนว่าลูเซียนไม่สามารถพูดอะไรแบบนั้นกับไวเคานต์ได้ ดังนั้นเขาจึงแกล้งทำเป็นว่าเขาเป็นคนลึกลับ แล้วพูดกับเซอร์คาเรนเดียว่า “บางครั้งการอยู่ห่างจากเวทีอาจทำให้ท่านเห็นอะไรมากกว่านี้”
ไวเคานต์ชนแก้วของเขากับลูเซียนและกล่าวว่า “ไม่แปลกใจที่นามแฝงของท่านคือ ศาสตราจารย์”
บนเวทีเซสซี่ยังคงมีใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ตามปกติและถามว่า “ท่านเฟลิเป ข้าขอขอบคุณที่ท่านเชิญพวกพวกเรามาที่นี่และให้โอกาสพวกเรารวมตัวกันแลกเปลี่ยนความรู้และวัตดุดิบเวทมนตร์ การชุมนุมเปรียบเสมือนงานฉลองสำหรับพวกเราที่ซ่อนอยู่ในความมืดตลอดเวลา เหมือนดั่งหนูที่อาศัยอยู่ในถ้ำ ข้าสงสัยว่าท่านต้องการจะพูดอะไรกับพวกพวกเราอีกบ้าง”
ดวงตาของเฟลิเปจดจ้องไปที่ลูเซียน เมื่อเห็นว่าศาสตราจารย์ไม่ได้วางแผนที่จะขัดคำพูดของเขา เขาก็หันไปหานักเวทและนักเวทฝึกหัดทุกคนที่เข้าร่วมประชุมและเริ่มพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงทุ่มลึกแต่กังวาล “ข้าแน่ใจว่าพวกท่านทุกคนต้องเคยผ่านการทนทุกข์ทรมานมามาก ทั้งที่ที่นี่คือดินแดนที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นของหมอผีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างวิลเฟรด พวกท่านกังวลว่าสักวันหนึ่งศาสนจักรจะบุกมาจาก พวกท่านเป็นกังวนทุกวันแม้ในระหว่างการทำสมาธิว่าซักวันหนึ่งพวกท่านจะถูกนักผจญภัย อัศวินหรือนักบวชซักคนสังหาร และพวกท่านก็ไม่สบายใจจนกระทั่งแม้แต่ในเวลากลางคืนก็ไม่สามารถจะนอนหลับได้…”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฟลิเปพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้ารับแม้กระทั่งลูเซียน ในเมืองที่ถูกควบคุมโดยศาสนจักร เหล่านักเวทและนักเวทฝึกหัดทุกคนต่างก็แบ่งปันประสบการณ์ที่คล้ายกันไม่มากก็น้อย
“ว้าว… ท่านศาสตราจารย์ ท่านเห็นด้วยกับท่านเฟลิเปใช่ไหม” ไวเคานต์คาเรนเดียรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าลูเซียนพยักหน้ารับด้วยเช่นกัน
“แน่นอน สิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง” ลูเซียนพูดอย่างอดทน
“พวกท่านไม่สามารถบอกญาติหรือเพื่อนของพวกท่านได้ว่าพวกท่านเป็นใคร” เฟลิเปกล่าวต่อ “พวกท่านไม่มีใครที่จะคอยแบ่งปันผลการวิจัยและการทดลอง พวกท่านไม่มีใครที่จะคอยแบ่งปันความสุขและความเศร้า และพวกท่านก็รู้ว่าเจ้าไม่มีทางจะได้ในสิ่งที่พวกท่านต้องการแม้ว่าพวกท่านสมควรที่จะได้รับมัน!”
ผู้คนถูกกดดันด้วยความเงียบ พวกเขาทุกคนมีความรู้สึกขมขื่นที่พวกเขาต้องจัดการด้วยตนเองจากสิ่งที่พวกเขาเป็น
“บอกข้า! ว่าพวกท่านอยากจะมีชีวิตที่น่าสังเวชแบบนี้ต่อไปหรือไม่” เฟลิเปถามเสียงดัง
นักเวทฝึกหัดคนหนึ่งตะโกนเสียงดังว่า “ไม่! ไม่เลยซักนิด!”
และคำตอบของเขาก็ไปกระตุ้นเหล่านักเวทและนักเวทฝึกหัดคนอื่นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาก็เริ่มร้องออกมา “ไม่!”
“พวกเราไม่สามารถรับมันได้อีกต่อไป!”
“พวกเราไม่ยอม!”
ผู้คนในห้องโถงเริ่มตะโกนออกมาด้วยความโกรธที่อดกลั้นมานาน
ลูเซียนไม่ได้พูดอะไรเลย แต่เขาจ้องมองไปที่เฟลิเปอย่างเงียบๆ เขากำลังรอดูว่าคำพูดของเฟลิเปจะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับเขาหรือไม่
จนกระทั่งผู้คนเริ่มสงบลงอย่างช้าๆ ตัวแทนทั้งสี่ก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดระหว่างกันและจากนั้นเซสซี่ก็พูดด้วยความเต็มใจว่า “พวกเราไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้มาก่อน ท่านเฟลิเป พวกเราใช้ชีวิตแบบนี้เพราะพวกเราไม่มีทางเลือก สภาเวทมนตร์แห่งทวีปสามารถช่วยเราได้หรือไม่”
รอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าสีซีดของเฟลิเป เขาพยักหน้าและตอบอย่างจริงจังว่า “ใช่ และข้ามาที่นี่เพื่อช่วยพวกท่านทุกคน”
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
“มีไม่กี่เมืองที่การศึกษาเวทมนตร์ได้รับการคุ้มครองโดยสภาเวทมนตร์แห่งทวีป และพวกเราไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตน พวกเราจะรู้สึกปลอดภัยอย่างสิ้นเชิงเมื่อพวกเรานั่งสมาธิที่บ้าน หรือทำการทดลองในห้องแล็บโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับศาสนจักร ไม่เพียงแค่นั้นอาณาจักรเหล่านี้ยังอนุญาตให้นักเวทกลายเป็นสมาชิกสภาเมืองของพวกเขาซึ่งเทียบเท่ากับสถานะของขุนนาง และถ้าพวกเจ้ามีพลังและชื่อเสียงเพียงพอพวกเจ้าก็สามารถเป็นสมาชิกของสำนักเวทมนตร์รอยัล และแม้แต่จะเป็นสมาชิกจากสภาขุนนาง…”
คำพูดของเฟลิเป ทำให้นักเวทและนักเวทฝึกหัดตกใจอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าบางคนในพวกเขาจะเคยได้ยินชื่อของสภามาก่อน แต่พวกเขาไม่เคยคิดว่าอาณาจักรที่ได้รับการคุ้มครองโดยสภาอาจจะเป็นสวรรค์สำหรับพวกเขา
“ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษโปรดให้ข้าพูด” เฟลิเปกดมือลงเพื่อให้ผู้คนเงียบลง “ที่สำคัญยิ่งกว่าในสภาเวทมนตร์แห่งทวีปตราบใดที่พวกท่านมีความสามารถเพียงพอ พวกท่านก็สามารถเรียนรู้การทำสมาธิในระดับที่แตกต่างกัน รับวัตถุเวทมนตร์และสิ่งของต่างๆ และยังสามารถเข้าถึงการเรียนรู้อาร์คานาและการวิจัยที่ล้ำสมัยที่สุดในสาขาของพวกท่าน ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีพวกท่านต้องการเข้าร่วมกับพวกเราหรือไม่?”
“แน่นอน!” นักเวทฝึกหัดบางคนตอบตรงๆ ด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่บางคนรู้สึกว่าสิ่งที่เฟลิเปเพิ่งอธิบายนั้นดีมากเกินไป
บางคนเริ่มรู้สึกสงสัย ท้ายที่สุดแล้วในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาฟรีๆ
“ท่านเฟลิเป” เซสซี่พูดกับเขาว่า “ข้าแน่ใจว่าพวกเราหลายคนยินดีที่จะเข้าร่วมอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ข้าต้องการให้ท่านพูดให้ชัดเจนก็คือ ท่านต้องการให้พวกเราทำอะไร”
เมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังไปในทิศทางที่ตั้งใจ เฟลิเปก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เพราะศาสนจักรได้ปิดกั้นเส้นทางไปยังสำนักงานใหญ่ของสภาแห่งเวทมนตร์ มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะพาพวกท่านข้ามไป”
จากนั้นเฟลิเปก็หยุดและไปอีกหัวข้อหนึ่ง “ย้อนกลับไปในสมัยที่อาณาจักรเวทมนตร์โบราณที่ยังคงมีความขัดแย้งในแปดกลุ่มหลัก และมันก็เหมือนกันกับสภาแห่งเวทมนตร์ในวันนี้เช่นกัน การเผชิญหน้ากับการแข่งขันและความขัดแย้ง ทางออกที่ดีที่สุดเพื่อความอยู่รอดคือความสามัคคี”
จากนั้นเฟลิเปก็กระแอมอีกครั้งและพูดกับผู้คนด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมว่า “ข้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของ หัตถ์แห่งร่างไร้ชีวิต ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดย วิเซนเต มิรันดา ผู้ใช้อาร์คานาที่ยิ่งใหญ่หรือที่รู้จักกันในนาม ‘ธานาทอส’ และตำนานอาร์ชเมจ ‘คอนกุส’ ที่รู้จักกันในชื่อ ‘จอมเวทสมมติเทพ’ ‘หัตถ์แห่งร่างไร้ชีวิต’ เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลและยังเติบโตอย่างรวดเร็วเพื่อความเป็นเอกภาพของเหล่านักเวทและนี่คือเหตุผลว่าทำไมมันจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุดสำหรับสำหรับพวกท่านที่จะเข้าร่วม”
ลูเซียนที่กำลังฟังคำปราศรัยของเฟลิเปด้วยความสนใจ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าสิ่งที่เฟลิเปสื่อสารออกมานั้นคือการตลาด
ถึงแม้ว่าหลายคนจะไม่รู้จักผู้ใช้อาร์คานาที่ยิ่งใหญ่คนนั้น แต่ในเวลานี้ เทสส์ได้ก้าวไปข้างหน้าและถามว่า “ถ้าหัตถ์แห่งร่างไร้ชีวิต ดีจริงๆ เหมือนที่ท่านเพิ่งอธิบาย ข้าก็จะเข้าร่วมโดยไม่มีข้อแม้ แต่สิ่งที่ข้าต้องการจะถามท่านก็คือพวกเราต้องทำอะไรหลังเข้าร่วมกลุ่ม”
เทสส์ส์ยังคงสงบ นางรู้ว่าทุกสิ่งมีราคาของมันเสมอ
“เป็นคำถามที่ดี” เฟลิเปพยักหน้า “มาดูกันว่าพวกท่านจะได้รับประโยชน์อะไรบ้างหลังจากเข้าร่วมกับพวกก่อน ก่อนอื่นพวกท่านสามารถรับไอเท็มเวทมนตร์ตามระดับพลังของพวกท่านได้ ประการที่สองพวกท่านจะมีนักเวทที่แข็งแกร่งเป็นพี่เลี้ยงเพื่อแนะนำสู่พวกท่านเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่ทันสมัย ประการที่สามพวกเราจะไม่นำผลการวิจัยและทรัพย์สินของพวกท่านไปใช้ กล่าวคือสิ่งที่พวกท่านเป็นเจ้าของก็จะเป็นพวกท่านตลอดไป”
“อย่างไรก็ตาม” เฟลิเปหยุดสักครู่ “พวกเรามีข้อกำหนดอย่างหนึ่งสำหรับสมาชิกของพวกเรา ก็คือเมื่อพวกท่านได้รับมอบหมายงานจากกลุ่ม พวกท่านจะไม่สามารถปฏิเสธได้ ถ้าหากพวกท่านทำงานเสร็จสมบูรณ์พวกท่านจะได้รับรางวัล แต่ถ้าพวกท่านทำไม่สำเร็จพวกท่านก็จะถูกลงโทษเช่นกัน”
“เป็นการตลาดมากขึ้นไปอีก…” ลูเซียนคิดกับตัวเอง เขายังคงรอข้อมูลที่เป็นไปได้จากเฟลิเปที่เกี่ยวกับการประสานงานในเมืองสเติร์ก
คำอธิบายของเฟลิเปดึงดูดใจอย่างมาก มันปลุกกระตุ้นเหล่าหมอผีและนักเวทฝึกหัดขึ้นทันที
แน่นอนว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ
“จะเป็นอย่างไรถ้ามีคนปฏิเสธที่จำทำงาน” เซสซี่ถามอย่างระมัดระวัง
“มีสองทางเลือก สำหรับผู้วิเศษระดับสูงคือบทลงโทษหรือเลือกงานอื่น ต่ำกว่าระดับนั้นจะเป็นการลงโทษทางร่างกาย จิตใจหรือความตาย… แต่มันก็ขึ้นอยู่กับงานที่ได้รับ” เฟลิเปตอบตามตรง “ จากการค้นพบอาร์คานาล่าสุดพบว่ามีการเก็บสะสมพลังงานได้ พวกท่านสามารถใช้มันจ่ายแทนได้แต่มันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกท่านเช่นกันว่าจะเลือกทางใด และเนื่องจากข้อจำกัด เราสามารถนำนักเวทไปยังสำนักงานใหญ่ของสภาเวทมนตร์ได้เท่านั้น ส่วนนักเวทฝึกหัดถ้าพวกท่านลงนามในสัญญาเวทมนตร์แล้ว ข้าจะฝากหนังสือและอุปกรณ์ต่างๆ ไว้ให้พวกท่านเพื่อช่วยให้พวกท่านเติบโตเป็นนักเวทโดยเร็วที่สุด และทุกๆ ปีจะมีผู้ประสานงานนำพานักเวทคนใหม่เข้าสู่สภาเวท” เฟลิเปอธิบายเพิ่มเติม
จากคำพูดของเขา นักเวทฝึกหัดระดับสูงบางคนเริ่มรู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง เนื่องจากพวกเขาดิ้นรนกับการพัฒนาระดับมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็พบทางออกที่เป็นไปได้ นอกจากนี้พวกเขายังคิดว่างานบางอย่างของกลุ่มอาจจะเป็นอันตรายอย่างมาก
หลังจากเฟลิเปพูดจบ เขาก็จ้องมองไปทางลูเซียนด้วยสายตาเย็นชา เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ที่ดีที่สุดที่ศาสตราจารย์จะทำลายการสรรหาของเขาได้
……………………………………….