ทันทีที่ลูเซียนตกอยู่ภายใต้สายตาสำรวจตรวจตราของเฟลิเป เขาก็พลันนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้
ในเมื่อทั้งไวเคานต์คาเรนเดียและเฟลิเปต่างคิดว่าเหตุผลที่ศาสตราจารย์มาที่นี่ก็คือเพื่อก่อกวนการชุมนุมในครั้งนี้ หากลูเซียนตัดสินใจว่าจะอยู่นิ่งและเฝ้ารอจนงานฉลองจบ นั่นคงจะเป็นเรื่องน่าสงสัยอย่างยิ่ง
ลูเซียนรู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องสร้างปัญหาบางอย่างในงานฉลองนี้เพื่อที่จะทำให้การปรากฏตัวของเขาดูสมเหตุสมผล ทว่า เขาต้องระมัดระวังตัวมากๆ เพื่อรักษาสมดุลและต้องก่อกวนในระดับที่มากพอจะทำให้เฟลิเปหัวเสีย ถ้าเอาตามที่คิดไว้ ปัญหาแบบที่ศาสตราจารย์จะก่อขึ้นควรร้ายแรงมากพอแต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่เฟลิเปสามารถแก้ไขได้
ลูเซียนจำต้องคิดเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง
ในขณะที่ลูเซียนตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน บนเวที เซสซี่ นักเวทศาสตร์มืดผู้แข็งแกร่งที่สุดในอดีตอาณาเขตการปกครองของวิลเฟรด ถามขึ้น “ท่านเฟลิเป ในเมื่อกฎขององค์กรที่ท่านเป็นตัวแทนนั้นเข้มงวดอย่างมาก ข้าไม่คิดว่าเราสี่คนจะตัดสินใจแทนทุกคนในที่นี้ได้ มันเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจริงๆ”
ขณะที่เขากล่าว เทสส์ ซิดนีย์ และเควนตินก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าเฟลิเป เซสซี่ก็รีบกล่าเพิ่ม “แน่นอนว่า ตัวข้าย่อมยินดีติดตามท่านไปยังสภาและเข้าร่วมหัตถ์ไร้ชีวา แต่ก่อนอื่น สิ่งที่ข้าอยากจะถามก็คือภายในอาณาจักรที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสภา ข้าสามารถออกล่าหาศพมาเก็บไว้ได้โดยไม่ต้องหลบซ่อนตลอดเวลาหรือไม่”
เฟลิเปส่งยิ้มให้เซสซี่ ซึ่งเป็นคนแรกที่เต็มใจจะเข้าร่วมองค์กรของตน “ท่านเซสซี่ ตามข้อตกลงกับทางสภาและอาณาจักรทั้งหลายแล้ว เราไม่สามารถบุกเข้าไปในสุสานหรือสังหารผู้คนเพื่อนำศพมาใช้ได้ตามต้องการ ท่านจำต้องทำข้อตกลงกับคนที่ยินยอมจะให้ท่านชำแหละร่างกายของเขาหรือนางหลังคนผู้นั้นเสียชีวิต แต่ แน่นอนว่า หากท่านสังหารศัตรู สัตว์เวทหรือสัตว์ประหลาดทุกชนิดได้ พวกมันก็จะเป็นของท่าน”
“เอ่อ… ข้าเกรงว่านั่นจะไม่เพียงพอ” เซสซี่ขมวดคิ้ว “เว้นแต่ว่าองค์กรของท่านจะมีศพให้เราใช้ทำการวิจัยได้อย่างเพียงพอ”
นักเวทศาสตร์มืดและนักเวทฝึกหัดคนอื่นๆ ต่างรู้สึกไปในทางเดียวกัน สำหรับนักเวทที่ได้เรียนรู้เวทมนตร์ตามแบบโบราณมา หากไร้ซึ่งศพ พวกเขาก็มองไม่เห็นความก้าวหน้าในการวิจัยเวทมนตร์เลยสักนิด
เมื่อเห็นว่านักเวทศาสตร์มืดและนักเวทฝึกหัดในที่นี้กำลังลังเล และศาสตราจารย์ก็ยังคงนิ่งสงบทำตัวลึกลับ เฟลิเปจึงเริ่มหัวเสีย และเริ่มขึ้นเสียง “พวกเจ้าคงจินตนาการไม่ออกเลยว่าเวทมนตร์และอาร์คานาตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมามีความก้าวหน้ามากน้อยเพียงใด ก็เหมือนกับที่พวกเจ้าจินตนาการไม่ออกว่า หากไร้ซึ่งศพเน่าเหม็น พวกเจ้าจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นและมีพลังอำนาจมากขึ้น!”
ผู้คนในห้องโถงนั้นไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เฟลิเปก็เกิดอารมณ์เสียขึ้น
แต่ทว่า เฟลิเปยังคงพูดต่อไปด้วยความกรุ่นโกรธและไม่สนใจผู้ใด “ยิ่งไปกว่านั้น การผสานรวมกันระหว่าง ‘คลื่นพลังจิต’ กับ ‘อนุภาคพลังจิต’ ทั้งสองทฤษฎีซึ่งเป็นวิธีการเข้าฌานขั้นสูงและมีผลลัพธ์ดีมากก็ได้นำมาประยุกต์ใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่ผู้มีพลังระดับต่ำ วิธีการเข้าฌานส่วนใหญ่ในหนังสือของพวกเจ้านั้นตกยุคไปแล้ว!”
ลูเซียนเฝ้าฟังถ้อยคำของเฟลิเปอย่างตั้งใจ ระหว่างที่คนอื่นๆ นั้นตกตะลึงไปแล้วตอนนี้
ขณะนี้แทบจะเรียกได้ว่าเฟลิเปกำลังตะโกนอยู่ “พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่าการเข้าฌานแบบที่นักเวทระดับสูงเท่านั้นที่จะใช้ได้ ตอนนี้นักเวทระดับใดก็สามารถทำได้แล้ว”
“พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่ามนต์คาถาบทใหม่มีออกมาในทุกๆ เดือน”
“พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่านักเวทระดับกลางนั้นอายุเพียงยี่สิบกว่าๆ เท่านั้น”
“พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่านักเวทระดับสูงมีอายุเพียงสามสิบต้นๆ เท่านั้น”
“พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่าอาร์ชเมจมีอายุเพียงห้าสิบปี และอาร์ชเมจระดับตำนานก็มีอายุเพียงแปดสิบปีเท่านั้น”
“มีเพียงที่สำนักงานใหญ่ของสภาเวทมนตร์แห่งทวีปเท่านั้นที่พวกเจ้าจะได้รู้ว่าอาร์คานาและเวทมนตร์มีความก้าวหน้าอย่างมาก ณ ตอนนี้!”
ลูเซียนไม่รู้ว่าคนอื่นๆ กำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้ แต่เขามั่นใจว่าตนเองจะต้องไปที่สภาเวทมนตร์ในสักวันหนึ่ง แม้ว่าเขาจะมีความรู้ลึกซึ้งเพราะห้องสมุดห้วงจิต แต่ความท้าทายยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขากำลังเผชิญคือช่องทางในการเปลี่ยนองค์ความรู้ของเขาเป็นพลังที่แท้จริง ท่ามกลางยุคเวทมนตร์สมัยใหม่นี้ ลูเซียนรู้ว่าเขาจำต้องมีความก้าวหน้าอยู่ตลอดเพื่อความแข็งแกร่ง!
จากนั้น หลังจากเหลือบมองลูเซียนด้วยความดูถูก เฟลิเปก็กล่าวกับคนอื่นๆ ต่อว่า “พวกเจ้าไม่ต้องกังวลว่าอาจจะโดนนักเวทที่สภาเวทมนตร์แบ่งแยกกีดกัน นักเวทศาสตร์มืดทั้งหลายของข้า ศาสตร์มืดในตอนนี้นับเป็นศาสตร์ที่มีผู้คนสนใจที่สุดรองลงมาจากศาสตร์แห่งกำลังและศาสตร์แห่งแม่เหล็กไฟฟ้า เพราะความพิเศษของเราคือการศึกษาความลับแห่งชีวิตและการยืดอายุขัยของมนุษย์ ส่วนศาสตร์แห่งธาตุนั้นไม่ได้มีอะไรใกล้เคียงกับเราเลย แม้ว่าร่างกายมนุษย์จะประกอบไปด้วยธาตุต่างๆ ก็จริง แต่หากไร้ซึ่งพลังแห่งชีวิต ธาตุเหล่านั้นก็ไม่มีทางเปลี่ยนตัวเองเป็นชิ้นส่วนบนร่างกายมนุษย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นเลือด กล้ามเนื้อ หรืออวัยวะภายใน… ไม่ได้เลยสักอย่าง! ความพยายามในการยืดอายุขัยมนุษย์โดยใช้ทฤษฎีของศาสตร์แห่งธาตุนั้นล้มเหลวไม่มีชิ้นดี!”
“ความลับแห่งต้นกำเนิดชีวิตและกุญแจสำคัญสู่การยืดอายุขัยนั้นมีเพียงศาสตร์มืดของเราเท่านั้นที่เปิดเผยและแสดงให้ทุกคนได้ประจักษ์ ศาสตร์อื่นๆ ไม่มีทางเอาชนะเราได้!” เฟลิเปประกาศกร้าว
นักเวทศาสตร์มืดและนักเวทฝึกหัดทุกคนต่างพยักหน้าด้วยความภาคภูมิใจ และเกิดความรู้สึกโหยหาอยากเข้าร่วมสภาเวทมนตร์
ในขณะเดียวกัน คำพูดของเฟลิเปเตือนให้ลูเซียนนึกขึ้นได้ว่า บนโลกใบนี้ ดูเหมือนว่าศาสตร์แห่งธาตุจะยังไม่มีความก้าวหน้ามากพอที่จะสังเคราะห์อินทรีย์วัตถุขึ้นมา
ด้วยการค้นพบของศาสตร์มืด ทำให้ทฤษฎีแห่งพลังชีวิตมีอิทธิพลมากกว่าทฤษฎีอื่นๆ ของศาสตร์แห่งธาตุ เท่าที่ลูเซียนรู้ในตอนนี้ ร่างกายมนุษย์ ดวงจิต และพลังชีวิตนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่เป็นสามสิ่งนี้ที่หลวมรวมเข้าหากันด้วยหลักการที่ตอนนี้ลูเซียนยังหาคำตอบไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ลูเซียนก็ยังเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสังเคราะห์อวัยวะของมนุษย์โดยแยกออกเป็นชิ้นส่วนต่างๆ
‘บางทีข้าอาจจะเริ่มจากตรงนี้…’ ลูเซียนคิดในใจ
ขณะที่สมองของลูเซียนกำลังทำงานอย่างรวดเร็ว เฟลิเปก็ยกมือขึ้นทั้งสองข้างพร้อมกับเอ่ยเสียงดัง “ในยุคสมัยใหม่แห่งเวทมนตร์ การเข้าร่วมกับหัตถ์ไร้ชีวาจะทำให้พวกเจ้าได้รับความรู้มากมายมหาศาลในแบบที่ไม่อาจคาดเดาได้ และหัตถ์ไร้ชีวาก็จะเจริญก้าวหน้าได้เพราะพวกเจ้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง! ดังนั้น ข้าขอเสนอให้พวกเจ้าลงนามบนสัญญาเวทมนตร์กับข้า พวกเจ้าทุกคนเลย”
เฟลิเปก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วเริ่มออกท่าออกทางราวกับคนคลุ้มคลั่ง “นั่นคือข้อเสนอของข้า ไหนใครเห็นด้วย ไหนใครคัดค้าน”
หลังจากเงียบไปนาน เควนติน นักเวทศาสตร์มืดหนุ่มก็กล่าวกับเฟลิเปด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ท่านเฟลิเปขอรับ ขอบพระคุณอย่างยิ่ง แต่ข้าคิดว่าข้ายังอยากมีชีวิตอิสระ แทนที่จะถูกจำกัดอยู่ภายใต้องค์กรใดองค์กรหนึ่ง”
อย่างไรเสีย ที่นี่ก็ยังมีคนจากสภาเวทมนตร์อีกผู้หนึ่งอยู่ด้วย อาจจะมีวิธีการเข้าสู่สภาแบบอื่นที่มีข้อแลกเปลี่ยนน้อยกว่านี้ก็ได้
เฟลิเปหันหลับมาจ้องมองเควนตินด้วยสายตาเย็นยะเยือก “ท่านแน่ใจหรือ ท่านเควนติน”
“…ใช่” เควนตินตอบด้วยความรู้สึกตื่นตัวเล็กน้อย
“ก็ได้” เฟลิเปพยักหน้า จากนั้นเปลวไฟสีซีดก็ปรากฏขึ้นในดวงตาเขาพร้อมกับที่เขาชี้นิ้วมือขวาไปทางเควนติน ฉับพลันนั้น ควันดำที่ปกคลุมรอบตัวเควนตินซึ่งควรจะปกป้องเขาจากภัยอันตรายก็ถูกขับไล่ออกไป แล้วร่างของเควนตินก็พลันแห้งเหี่ยวลงราวกับว่าของเหลวภายในทั้งหมดระเหยหายไป
เฟลิเปสังหารเขาได้ภายในไม่ถึงหนึ่งวินาที เฟลิเปสังหารนักเวทระดับสามได้ภายในไม่ถึงหนึ่งวินาที!
ใบหน้าของวิญญาณแค้นมากมายปรากฏขึ้นรอบกายเฟลิเปแล้วก่อร่างขึ้นเป็นกำแพงโปร่งใส จากนั้นเขาจึงถามอีกครั้ง “ข้อเสนอของข้า ไหนใครตกลง ไหนใครคัดค้าน”
เวทป้องกันที่เฟลิเปใช้อยู่นี้เป็นเวทมนตร์มาตรฐานระดับห้า ‘กำแพงวิญญาณแค้น’ และเวทมนตร์ที่เขาเพิ่งใช้สังหารเควนตินก็เป็นเหมือนเวทมนตร์ระดับแปดที่ชื่อ ‘ชีวีแห้งเหือด’ แบบที่ลดระดับลงมาเพื่อโจมตีเป้าหมายเดียว ซึ่งคงจะเป็นเวทมนตร์คาถาใหม่ที่ทางสภาเวทมนตร์พัฒนาขึ้น
ผู้คนในที่นั้นต่างหวาดกลัวเขา หวาดกลัวชายผู้บ้าคลั่ง และพวกเขาก็ยอมตายในภายหลังดีกว่าตายตอนนี้
“ข้าขอถามอีกครั้ง ข้อเสนอของข้า ไหนใครตกลง ไหนใครคัดค้าน”
ไม่มีผู้ใดอาจหาญพอจะจ้องสบตากับเฟลิเป
“ข้าคัดค้าน” เสียงเรียบนิ่งดังขึ้นจากมากฝูงชน
นั่นไม่ทำให้เฟลิเปประหลาดใจ ศาสตราจารย์เดินขึ้นมาบนเวทีขณะยังสวมเสื้อคลุมมีหมวก
……………………………………….