บนชั้นสองของร้านฉลาม
ตรงปลายโต๊ะยาวทั้งสองฝั่ง ประดับด้วยเชิงเทียนสวยงามประณีต เปลวไฟบนเทียนวูบไหวให้ความรู้สึกสุดแสนโรแมนติกแบบแฝงนัยคลุมเครือ พร้อมกันนี้ยังมีเสียงเพลงอ่อนหวานที่บรรเลงโดยวงดนตรีเล็กๆ
ขณะใช้ช้อนตักสตูด้วยท่าทางสง่างามอยู่นั้น เกรซก็นึกหวังให้ชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามไม่ใช่เกรนนิวฟ์ผู้อัปลักษณ์หยาบคายในสายเกรซ นางเงยหน้าขึ้นแล้วเหลือบมองเกรนนิวฟ์ ใบหน้าอวบบวมและศีรษะล้านเลี่ยนของเขาทำให้นางขยะแขยง
ในทางตรงกันข้าม เกรนนิวฟ์ที่จับก้านแก้วทองคำอยู่นั้นกลับมั่นใจในเสน่ห์ของตนอย่างยิ่ง “เกรซ ข้าต้องขอบอกว่าอารมณ์สุนทรีของเจ้านั้นน่าประทับใจยิ่งกว่าความงามของเจ้าเสียอีก โดยเฉพาะเวลาที่เจ้าเล่นเปียโน… ช่างงามล้ำ”
แม้ว่าเกรซจะค่อนข้างไม่ชอบเขา นางก็ต้องยอมรับว่านางเองก็เพลิดเพลินไปกับความรู้สึกดีๆ ยามได้รับคำชม เกรนนิวฟ์ในวัยสี่สิบผู้นี้คือมหาเศรษฐีหนึ่งในยี่สิบคนของเมืองสเติร์ก และเขายังสนิทสนมกับขุนนางคนสำคัญอย่างไวเคานต์ไรต์เป็นอย่างมาก แม้ว่านางจะไม่ชอบเกรนนิวฟ์เลยสักนิด แต่การมีชายเช่นเขามาติดพันย่อมถือเป็นเรื่องน่าภูมิใจ
นับแต่ที่เกรซเริ่มแนะนำตัวเองว่าเป็นลูกศิษย์ของอีวานส์และเริ่มได้รับความเคารพจากนักดนตรี ผู้ชายมากหน้าหลายตาที่ไม่เคยนึกสนใจใยดีนางต่างก็หันมาเกี้ยวพาราสีนางกันทุกคน ในสายตานางแล้ว พวกผู้ชายเพียงชมชอบการเอาชนะเท่านั้น
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านเกรนนิวฟ์” เกรซตอบกลับพร้อมกับส่งยิ้มสุภาพให้
จากนั้นนางก็หยิบผ้าเช็ดปากสีขาวขึ้นมาซับปากเบาๆ “ข้าขอตัวไปห้องน้ำสักครู่นะเจ้าคะ”
เมื่อนางลุกขึ้นยืน ผู้อารักขาคนหนึ่งของเกรนนิวฟ์ก็ก้าวออกมาแล้วพูดว่า “ขออภัยขอรับ ท่านหญิงเกรซ ห้องน้ำบนชั้นสองใช้การไม่ได้ในตอนนี้ ท่านอาจต้องลงไปใช้ที่ชั้นล่างขอรับ”
“นี่พวกเขาทำอะไรกันอยู่?!” เกรนนิวฟ์ถามด้วยโทสะพลุ่งพล่าน ความจริงแล้วเขาก็คือเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านเกรนนิวฟ์ ก็แค่อุบัติเหตุเท่านั้น” เกรซเอ่ยด้วยท่าทางสง่างาม “ข้าลงไปชั้นล่างก็ได้เจ้าค่ะ”
เกรนนิวฟ์พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ข้าว่าตอนนี้เจ้ายิ่งดูงดงามกว่าเดิมเสียอีก เกรซ”
เกรซเค้นรอยยิ้มออกมาแล้วพยักหน้า ก่อนจะเดินตามบริกรที่นำทางไปยังห้องน้ำชั้นล่าง
ด้านนอกห้องน้ำสำหรับชายและหญิง มีกระจกบานใหญ่และอ่างล้างมือสะอาดสะอ้านอยู่สองจุด
หลังเดินออกมาจากห้องน้ำหญิง เกรซก็ตรวจดูใบหน้าของตนบนกระจก ขณะจ้องมองใบหน้าแสนงดงามของตน เกรซก็อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเป็นทำนองสดใสร่าเริง
ท่วงทำนองนี้เหมือนกับอารมณ์ของนางในตอนนี้ หลังการเดินทางแสนยากลำบากจากนครอัลโต้มายังสเติร์ก ชีวิตนางก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งชื่อเสียง เงินทอง และคำสรรเสริญเยินยอจู่ๆ ก็โถมเข้าหานางราวกับความฝัน
“ปีที่แล้วเจ้ายังเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาแสนยากจนที่ต้องใช้เงินเก็บทั้งหมดของพ่อแม่และพี่ชายในการเดินทางไปนครอัลโต้เพื่อทำให้ความฝันของเจ้าเป็นจริง” เกรซพึมพำกับตนเองขณะจ้องสบตากับเงาในกระจก “ตอนนี้ดูเจ้าสิ… เจ้าคือ ‘ดอกทิวลิปแห่งสเติร์ก’ เจ้าคือหนึ่งในนักดนตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองสเติร์ก เจ้าได้ซื้อบ้านสามชั้นให้กับครอบครัว มีขุนนางและพ่อค้าผู้มั่งคั่งมากมายมาติดพัน เจ้ากำลังใช้ชีวิตหรูหราในแบบที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลย”
“เจ้าควรจะจำไว้ เกรซ” นางพูดต่อเสียงแผ่ว “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าคือนักเปียโนหนึ่งเดียวของวง ไม่ใช่ปิโอลา ไม่ใช่ชารอน ไม่ใช่กรีนและเลสลี่ เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าเจ้าต้องผ่านอะไรมาบ้างเพื่อมาอยู่จุดนี้ จงอย่าลืมเสียงเพลงและเปียโนของเจ้า”
“และ…” เสียงของเกรซแผ่วเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน “ห้ามลืมว่าแท้จริงแล้วชื่อเสียงของเจ้ามาจากนักดนตรีมากความสามารถแห่งอัลโต้ผู้นั้น” แม้นางจะไม่คิดว่าลูเซียน อีวานส์ จะเดินทางจากนครอัลโต้มายังเมืองสเติร์กแห่งนี้ นางก็ยังอดเป็นกังวลมิได้ นางรู้สึกไม่มั่นคง ราวกับว่าชีวิตดั่งความฝันนี้จะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
นางสูดหายใจเข้าลึกและพร้อมจะออกไปจากห้องน้ำแล้ว ทว่า เมื่อเงยหน้าขึ้น เกรซก็เห็นชายหนุ่มผู้มีเส้นผมและดวงตาสีดำเดินเข้ามา
แม้ว่าชายหนุ่มจะหล่อเหลาดูดีอย่างยิ่ง แต่เกรซกลับมีสีหน้าหวาดกลัว ทั้งยังทำกระเป่าถือหล่นลงพื้น
“ท่าน… ท่านอีวานส์…” เสียงของเกรซสั่นเทา
ลูเซียนก้มลงไปเก็บกระเป๋าถือมายื่นให้นางด้วยท่าทางสุภาพอ่อนโยน ก่อนจะสิ่งยิ้มให้ “สวัสดี เกรซ ยินดีที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง ตอนที่เจ้าเดินเข้ามาในร้านอาหาร ข้าแทบจำเจ้าไม่ได้เลย เจ้าดูดีขึ้นมากนะ”
“ท่านอีวานส์… เหตุใด… เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่เมืองสเติร์กกันเล่า” เกรซยิ้มอย่างประหม่ากลัว “ข้าหมายถึง… หากท่านมา หนังสือพิมพ์ก็น่าจะ…”
“น่าจะป่าวประกาศไปทั่วสเติร์กแล้วใช่หรือไม่” ลูเซียนมองหน้านาง “พูดถึงหนังสือพิมพ์… ข้าเพิ่งอ่านสเติร์กนิวส์ฉบับล่าสุดเมื่อครู่ จึงได้รู้ว่าวงของเจ้ากำลังจะจัด…”
เกรซกำลังอ้อนวอนพระเจ้าว่าขออย่าให้ลูเซียน อีวานส์ รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่พวกนางกำลังทำอยู่ในตอนนี้เลย ดังนั้น ทันทีที่นางได้ยินลูเซียนพูดถึงวงดนตรีของนาง เกรซก็พลันรู้สึกวิงเวียนและแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น
มือแข็งแรงจับแขนนางและช่วยนางให้ยืนนิ่งกับที่
เกรซช้อนสายตาขึ้นมองสบกับลูเซียน อีวานส์ แล้วร้องไห้โฮ “ท่านอีวานส์ ข้าขออภัยเจ้าค่ะ ข้าขออภัยที่ขโมยชื่อเสียงแล้วอ้างตัวว่าเป็นลูกศิษย์ท่านนะเจ้าคะ ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย… ข้าจะบอกความจริงกับทุกคนในวันพรุ่งนี้เอง”
หลังจากพูดจบประโยคนั้น เกรซก็รู้สึกว่าแข้งขาอ่อนแรงเสียจนแทบจะยืนต่อไปไม่ไหว แม้ว่านางจะจับขอบอ่างล้างมือช่วยพยุงกายแล้วก็ตาม เกรซรู้ว่า ทันทีที่นางออกมากล่าวขอโทษผ่านทางสเติร์กนิวส์ ทั้งเงิน ชื่อเสียง และสถานะของนางก็จะหายวับไป หรืออาจแย่กว่านั้น นางอาจต้องทุกข์ทนกับการดูถูกด่าทอจากผู้คนในเมือง นางคงจะถูกเรียกว่าจอมหลอกลวง
แต่นางก็เข้าใจดีว่ามีเพียงการขอโทษด้วยความจริงใจเท่านั้นที่จะช่วยให้นางหลีกเลี่ยงผลลัพธ์อันขมขื่นได้ เช่น การถูกจับตัวไปขังในคุกประจำเมืองด้วยข้อหาหลอกลวงต้มตุ๋น
ลูเซียนฟังถ้อยคำเหล่านั้นแล้วส่งยิ้มให้ “เกรซ เจ้าอ้างตัวว่าเป็นศิษย์ข้ามาได้นานถึงเพียงนี้โดยที่ไม่มีผู้ใดนึกสงสัย นั่นก็หมายความว่าเจ้าเป็นนักเปียโนมากความสามารถไม่ใช่น้อย ข้าเพียงแต่นึกสงสัยว่าทำไมเจ้าถึงไม่พึ่งพาตนเอง กลับเลือกที่จะโกหกผู้อื่น เจ้าก็รู้นี่ว่าเรื่องโกหกไม่มียั่งยืน”
เมื่อได้ยินที่ลูเซียนกล่าว เกรซก็ร้องไห้โฮอีกครั้ง “ข้ามาจากครอบครัวธรรมดาๆ แต่เพื่อที่จะสนับสนุนข้าให้ได้เรียนดนตรี และส่งข้าไปยังนครอัลโต้ ครอบครัวข้าถึงกับใช้เงินเก็บทั้งหมดที่มี”
“ตอนที่เรากลับมาจากนครอัลโต้ แผนเดิมของเราคือใช้บทเพลงแฟนตาซีที่เราแต่งขึ้นในการนำเสนอวงของเรา แต่ว่า นับแต่ที่เราประสบความสำเร็จครั้งแรก เราก็เริ่มละโมบมากขึ้น ในตอนนั้น ธุรกิจเล็กๆ ของครอบครัวข้าประสบกับปัญหา และข้าก็ต้องการเงิน ไม่เช่นนั้นพ่อแม่ข้าจะต้องติดคุก สุดท้าย ข้าจึงอวดอ้างว่าเป็นศิษย์ของท่านอีวานส์ เพราะว่าข้าเป็นนักเปียโนคนเดียวของวงเจ้าค่ะ และนับแต่นั้นมา ข้าก็ยิ่งถลำลึกลงเรื่อยๆ” เกรซยังคงสะอึกสะอื้น
“เป็นเช่นนี้เอง…” ท่าทางของลูเซียนยังคงเดาได้ยาก
“ท่านอีวานส์…” เกรซชะงักไปนิด ก่อนจะกล่าวด้วยความมุ่งมั่นแรงกล้า “ข้ายินดีทำทุกอย่างตามที่ท่านต้องการเพื่อให้ท่านยกโทษให้ข้า! แม้แต่… แม้แต่…”
เกรซไม่ได้อยากให้ชีวิตเหมือนฝันนี้กลายเป็นเพียงฟองอากาศ นางไม่อยากจะกลับไปจุดเดิมอีกแล้ว!
เมื่อเห็นว่าแผนการของเขาดำเนินไปด้วยดี ลูเซียนก็รู้สึกว่าความพยายามในการขึ้นไปทำลายอ่างล้างมือบนห้องน้ำชั้นสองนั้นคุ้มค่ายิ่ง เขาพยักหน้า “ข้าเข้าใจความลำบากของเจ้า แต่การโกหกไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด”
ลูเซียนเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสีหน้าสิ้นหวังของเกรซ “เกรซ เจ้ารู้จักกับท่านเกรนนิวฟ์เช่นนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ เป็นท่านเกรนนิวฟ์ที่เชิญข้ามากินมื้อค่ำคืนนี้” เกรซตอบด้วยความงุนงง ทว่า นางอยากจะให้ความร่วมมือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้ เพื่อขอความเมตตาจากท่านอีวานส์ นางจึงอธิบายต่อ “ท่านเกรนนิวฟ์กำลังตามเกี้ยวพาข้าอยู่เจ้าค่ะ”
“ข้ามีเพื่อนผู้หนึ่งที่ฝากข้อความให้ข้าส่งให้ท่านเกรนนิวฟ์น่ะ เกรซ” ลูเซียนยิ้ม “มันเขียนไว้ในเศษกระดาษแผ่นนี้ เจ้าจะช่วยข้าสักเล็กน้อยได้หรือไม่”
“ได้แน่นอนเจ้าค่ะ” เกรซรีบร้อนพยักหน้าตอบรับ
“แต่เจ้าจะบอกท่านเกรนนิวฟ์ไม่ได้ว่าข้าเป็นผู้มอบกระดาษแผ่นนี้ให้เจ้า บอกท่านเพียงว่าเจ้าบังเอิญพบใครสักคนหน้าห้องน้ำและเจ้าก็ไม่รู้จักเขา” ลูเซียนกล่าวเสริม
แม้ว่าเกรซอยากจะถามว่าเพราะเหตุใด แต่นางก็ตัดสินใจทำตามคำสั่งอีวานส์เพียงเท่านั้น
“ห้ามเปิด และห้ามอ่าน” ลูเซียนยื่นเศษกระดาษที่พบไว้แน่นหนาให้นาง “หากว่าผลออกมาดี ข้าอาจพิจารณาแบ่งปันความรู้และทักษะการเล่นเปียโนให้เจ้า”
“จริงหรือเจ้าคะ?!” เกรซประหลาดใจอย่างยิ่ง นางรีบพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง
เมื่อเกรซออกไปจากห้องน้ำหลังจากใจเย็นลงแล้ว ลูเซียนก็ออกไปจ่ายเงินและเดินออกจากร้านอาหารไปอย่างอารมณ์ดี
……………………………………….