ภายในพิพิธภัณฑ์นั้นค่อนข้างมืด หุ่นขี้ผึ้งในตู้กระจกที่ตั้งเรียงกันทั้งสองฝั่งทางเดินดูเหมือนจริงมากเสียจนผู้เข้าชมทั้งประทับใจและหวาดกลัวนิดๆ
“เป็นผลงานชั้นยอด! ความแตกต่างเดียวของหุ่นนี้ก็คือสีผิวที่เข้มกว่าของข้า!” ไวเคานต์ไรต์หัวเราะ “ทักษะทางศิลปะชั้นยอดจริงๆ ท่านซอกัส! หากข้าไปยืนข้างเขาตอนกลางคืน พนันได้เลยว่าไม่มีใครบอกได้ว่าคนไหนคือตัวจริง”
เพราะการโจมตีเมื่อครู่นี้ สีหน้าของซอกัสจึงดูค่อนข้างโศกสลด แต่เมื่อได้ยินคำชมจากไวเคานต์ ซอกัสก็ดูสดใสขึ้นเล็กน้อย “ท่านไวเคานต์ หุ่นนี้ปั้นขึ้นตอนที่ท่านเพิ่งกลับจากโฮล์มขอรับ ตอนนั้นสีผิวของท่านดูเข้มกว่าตอนนี้นิดหน่อย”
“ฮ่าๆ… ซอกัส เจ้านี่จะไม่ยอมให้ข้าติผลงานของเจ้าว่าไม่สมบูรณ์แบบเลยใช่หรือไม่” ไวเคานต์ไรต์หัวเราะอีกครั้ง เสียงยิ่งดังกว่าเดิม “เจ้าทำให้ข้านึกขึ้นได้ เป็นจริงเช่นนั้น ตอนที่ข้าเดินทางกลับมาในเดือนกรกฎาคม สีผิวข้าเข้มกว่านี้จริงๆ”
“ใช่ๆ ขอรับ… ตอนนั้นข้าเกือบจะจำท่านไม่ได้เลยเชียว” เกรนนิวฟ์เอ่ยคล้อยตามคำพูดของไวเคานต์ด้วยรอยยิ้มประจบประแจง จากนั้นเขาก็เหลือบไปมองทางแฮร์ริสัน บราวน์ แล้วพูดกับไรต์ว่า “ท่านไวเคานต์ขอรับ แฮร์ริสัน บราวน์ คือเป้าหมายของกลุ่มผู้โจมตีในครานี้ ข้านึกสงสัยว่าข้าควรจะอยู่ให้ห่างจากเขาหรือไม่ อย่างไรเสียข้าก็ไม่ใช่อัศวินน่ะขอรับ”
ไรต์จัดเสื้อผ้าของตนเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ “ไม่ต้องห่วง แม้พวกนักเวทจะอยากสังหารบราวน์ พวกมันก็ไม่อาจยอมสูญเสียคนของมันไปมากกว่านี้ได้ โดยเฉพาะสมาชิกคนสำคัญด้วยแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกมันคงจะส่งนักเวทระดับกลางมาที่นี่เพื่อจัดการบราวน์โดยตรง แต่หากทำเช่นนั้น นักเวทก็จะถูกจับกุมตัวหลังจากนี้แน่ๆ ดังนั้น แม้ว่าจะยังมีการโจมตีมาอีก พวกมันก็คงไม่เข้ามาใกล้เราหรอก”
“ขอรับ… นั่นฟังดูสมเหตุสมผลอย่างยิ่งขอรับท่านไวเคานต์” เกรนนิวฟ์ตอบ แม้จะยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่ก็ตาม
“ชื่นชมงานศิลป์ของท่านซอกัสต่อไปเถิด หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ข้าก็คอยคุ้มครองเจ้าอยู่”
“ขอบพระคุณ… ขอบพระคุณขอรับท่านไวเคานต์!” เกรนนิวฟ์ผู้มักอวดอ้างตนว่าเป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของไวเคานต์รีบแสดงความซาบซึ้ง
เมื่อได้ยินที่ไวเคานต์พูด ขุนนางที่เหลือต่างก็รู้สึกโล่งอกกว่าเดิม
อีกทางด้านหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ ลูเซียนเดินตรงไปยังสุดทางเดินอย่างนิ่งสงบพร้อมกับกระเป๋าถือในมือ
หลังจากเลี้ยวไม่กี่ครั้ง ลูเซียนก็เจอมุมที่ไม่มีใครอยู่นอกจากตู้กระจกว่างเปล่าสองสามตู้ที่กำลังรอให้หุ่นตัวใหม่มาตั้ง
หลังจากคำนวณระยะห่างระหว่างบราวน์กับตัวเขาอย่างรวดเร็ว ลูเซียนก็ซ่อนกระเป๋าหนังอย่างระมัดระวังหลังจากนำเหรียญทองออกมาและเปิดช่องลับเสร็จแล้ว
ข้างใต้นั้นมีหลอดแก้วบรรจุ ‘เจลเพลิง’ และมีดินปืนอีกห่อหนึ่ง เช่นเดียวกับเชือกเส้นยาวที่วางขดเป็นวงกลม
ยิ่งไปกว่านั้น เจลเพลิงในหลอดแก้วเหล่านี้มีอานุภาพที่ทำให้เกิดแรงระเบิดได้รุนแรงกว่าแบบเดิมมาก เพราะลูเซียนได้นำผงกำมะถัน ดินประสิว กับวัตถุดิบอื่นๆ มาผสมเป็นไนโตรกลีเซอรีน จากนั้นเขาก็เติมส่วนผสมนี้ลงในเจลเพลิงที่เตรียมไว้แล้ว
เหตุผลที่ลูเซียนไม่ใช้ไนโตรกลีเซอรีนโดยตรงนั้นเป็นเพราะเขาจำเป็นต้องใช้คลื่นพลังที่เกิดจากเจลเพลิงหลังจากนี้นั่นเอง
เมื่อคืนก่อน ลูเซียนได้คำนวณความเร็วจากการที่เชือกจะเผาไหม้ไว้แล้ว หลังจากจัดวางเชือกกับโรยดินปืนอีกห่อเรียบร้อยแล้ว ลูเซียนก็จุดไฟบนเชือกด้วยหินไฟ
แม้แต่เส้นเชือก ลูเซียนก็จัดเตรียมมาอย่างดี เขาได้แช่เชือกไว้ในสารเคมีเหลวล่วงหน้าเพื่อให้แน่ใจว่าการเผาไหม้จะเป็นไปอย่างมั่นคงและตรงตามที่วางแผนไว้
หลังจากเตรียมการเสร็จ ลูเซียนก็ลดหมวกทรงสูงลงมาปิดหน้าและเดินกลับไปในฝูงชนด้วยฝีเท้ารวดเร็วแต่สงบนิ่ง
เสียงเชือกเผาไหม้ตรงมุมลับตาผู้เส้นนั้นส่งเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่มีใครได้ยิน
กระบวนการดำเนินไปอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง
สองนาทีต่อมา ลูเซียนก็กลับเข้ามาปะปนกับฝูงชน เขามองเห็นขุนนางหลายคนยังคงพูดคุยกัน และเดินชื่นชมผลงานศิลปะไปรอบๆ
‘อีกหนึ่งนาที’ ลูเซียนคิดในใจ
…
บราวน์กำลังนึกหวังว่าสักวันหนึ่งพิพิธภัณฑ์ประจำเมืองจะปั้นหุ่นขี้ผึ้งให้แก่เขา
ใกล้ๆ กันนั้น ซอกัสกำลังยุ่งกับการพูดคุยกับขุนนางหลายๆ คน ถกเถียงหารือกันเรื่องปั้นหุ่นขี้ผึ้งตัวใหม่ให้กับพวกเขา
บราวน์เองก็อยากจะเข้าไปพูดคุยกับซอกัส แต่ตอนที่บราวน์กำลังเดินเข้าไปหา เขาก็เห็นชายหนุ่มผมดำตาดำที่กำลังจดจ้องหุ่นขี้ผึ้งตัวหนึ่งอย่างสนอกสนใจ ชายหนุ่มผู้นั้นสวมหมวกทรงสูงสีดำและมีแว่นตาข้างเดียวที่เสริมสร้างความสง่างาม ซึ่งเป็นการแต่งตัวแบบยอดนิยมจากอาณาจักรโฮล์ม
‘แฟชั่นจากโฮล์มกำลังแพร่หลายในสเติร์กแล้วตอนนี้’ บราวน์คิดในใจ ‘เป็นความจริงที่ขุนนางหนุ่มๆ หลายคนในเมืองสเติร์กกำลังตามติดกระแสนี้’
บราวน์รู้สึกว่าเขาควรจะลองสวมชุดประเภทนี้ในสักวันเช่นกัน
ขณะครุ่นคิดอยู่นั้น บราวน์ก็เข้ามายืนประชิดตัวซอกัสแล้ว
ผู้พิทักษ์ราตรีที่ปลอมเป็นนักผจญภัยตามประกบบราวน์อยู่ทางด้านซ้ายเพื่อคุ้มครองเขาจากการลอบจู่โจมใดๆ ก็ตาม
สิบห้าวินาที สิบสี่วินาที…
ลูเซียนผละออกห่างจากตู้แสดงและเดินตรงไปหาบราวน์
หก ห้า…
ลูเซียนเดินผ่านบราวน์ในระยะประชิด
ขณะที่ลูเซียนเดินอยู่นั้น เขาก็นับถอยหลังในใจไปด้วย ‘สี่ สาม…’
“ท่านซอกัสขอรับ ข้าสงสัยว่า…” บราวน์พูดกับเจ้าของพิพิธภัณฑ์
‘สอง หนึ่ง…’
ตู้ม! เสียงระเบิดดังปานฟ้าคำรามพลันดังขึ้น!
การระเบิดแสนรุนแรงนี้ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนจนทั้งพิพิธภัณฑ์ส่งเสียงครืนครั่น!
เสียงดังกระหึ่มนี้แท้จริงยังมีคลื่นจากแรงระเบิดตามมา รวมทั้งคลื่นพลังเวทมนตร์อันทรงพลังไม่ต่างกันอีกด้วย
แรงระเบิดเกิดขึ้นช้าไปหนึ่งวินาทีจากการคาดการณ์ของลูเซียน อาจเพราะทิศทางลมที่เปลี่ยนหรือปัจจัยอื่น แต่ในเมื่อลูเซียนมีความตื่นตัวสูงอยู่แล้ว ทันทีเกิดการระเบิดขึ้น เขาก็ลงมืออย่างรวดเร็ว
เวทมนตร์ระดับหนึ่ง ‘เวทลวงใจคน’
เป้าหมายของเวทมนตร์บทนี้ก็คือ ‘บราวน์’
หลังจากที่ได้รับ ‘ตำราว่าด้วยศาสตร์มืด’ มาและวิเคราะห์วิธีการเข้าฌานสมาธิแบบศาสตร์มืด ลูเซียนก็พบหลักปฏิบัติที่คาถาของศาสตร์มืดส่วนใหญ่มีร่วมกันคือการทำให้ฮอร์โมนของมนุษย์หลั่งและกระตุ้นการตัดสินใจโดยใช้คลื่นพลังสมองชนิดพิเศษบางประการ
จากข้อมูลนี้ ลูเซียนได้พัฒนา ‘เวทลวงใจคน’ แบบใหม่ขึ้นมาสองแบบ แบบหนึ่งเน้นไปที่อิทธิพลของเวทมนตร์ที่มีต่อดวงจิตของบุคคลนั้นๆ ซึ่งจะทำให้ลดพลังเวลาใช้คลื่นพลังสมองในการแทรกแซง ดังนั้น มันจึงใช้ได้ผลดีกับนักเวท แต่มันจะสร้างคลื่นเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งกว่าและจะเป็นที่สังเกตและระบุแหล่งที่มาได้ง่าย ในขณะที่อีกรูปแบบหนึ่งจะส่งผลตรงกันข้าม ซึ่งเหมาะแก่การใช้กับคนทั่วไปมากกว่า
เนื่องจากแบบที่สองนั้นสังเกตเห็นได้ยาก มันจึงใช้งานได้สมบูรณ์ในตอนนี้ และยังเป็นเพราะพลังของบราวน์นั้นถูกปลุกขึ้นด้วยการใช้ยาวิเศษ อำนาจจิตของเขาจึงไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอัศวินที่ปลุก ‘พร’ ได้ด้วยตนเอง
ในตอนนั้นเอง คลื่นเวทมนตร์เล็กจิ๋วจากคาถาของลูเซียนจึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแรงระเบิดนั้นรุนแรงท่วมท้น!
ไม่มีผู้ใดในที่นั้นสังเกตเห็นตอนที่ลูเซียนร่ายคาถาเลย
แสงสีขาวระเบิดโพลงจากเครื่องรางของบราวน์เป็นครั้งที่สาม เพียงแต่ว่ามันช้ากว่าลูเซียนไปวินาทีหนึ่ง ทว่าครู่หนึ่งนั้น บราวน์ดูสับสนมึนงงอย่างมากก่อนที่ขนนกจะเข้าปกคลุมรอบกาย
แรงระเบิดนี้ทำให้ทั้งพิพิธภัณฑ์สั่นไหวรุนแรง และคลื่นเวทมนตร์อันแข็งแกร่งก็เป็นตัวบ่งชี้ว่ามีความเป็นไปได้ที่นักเวทชั้นกลางจะเป็นผู้โจมตี ในขณะเดียวกัน ผู้พิทักษ์ราตรี ไวเคานต์ไรต์ และอัศวินคนอื่นๆ พลันชิงลงมือ ทั้งตั้งท่าป้องกัน แล้วยังมุ่งหน้าไปยังจุดที่เกิดการระเบิด
บรรดาสุภาพสตรีต่างกรีดร้องเสียงแหลม คนส่วนใหญ่ที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างตื่นตระหนก ทุกอย่างพลันตกอยู่ในความวุ่นวาย
พวกเขาต่างทั้งผลักทั้งดันเพื่อออกไปจากพิพิธภัณฑ์
เมื่อเห็นว่าบราวน์ปกป้องตนเองได้ด้วยเกราะขนนก ผู้พิทักษ์ราตรีก็กวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตัวขณะที่อัศวินหลวงส่วนใหญ่นั้นมุ่งหน้าออกไปสำรวจจุดที่เกิดการระเบิด
ใครหน้าไหนที่กล้าก้าวเท้าเข้ามาใกล้บราวน์จะถูกผู้พิทักษ์ราตรีสังหารในทันที
ขณะที่ผู้พิทักษ์ราตรีกำลังมองสำรวจไปรอบๆ อยู่นั้น เขาก็เห็นชายหนุ่มผู้สวมหมวกทรงสูงกำลังผลักคนอื่นๆ อย่างเร่งร้อนเพื่อให้เข้าใกล้ประตูมากที่สุด แว่นตาข้างเดียวแสนประณีตของเขาตอนนี้กลับห้อยอยู่ตรงหูดูเร่อร่า
‘ไร้ประโยชน์สิ้นดี…’ ผู้พิทักษ์ราตรีคิดอย่างดูถูก
ไม่นานชายหนุ่มผู้นั้นก็ออกไปจากพิพิธภัณฑ์พร้อมกับคนอื่นๆ
……………………………………….