แม้ว่าเสียงระเบิดจะแผ่วลงและอาคารพิพิธภัณฑ์ก็หยุดสั่นสะเทือนแล้ว แต่หลายๆ คนยังรู้สึกปวดหูและมีเสียงหึ่งๆ ดังอยู่ข้างใน ราวกับมีแมลงวันนับพันบินอยู่รอบๆ และต่างไม่ค่อยได้ยินเสียงอื่นๆ
“ผนังฝั่งหนึ่งกับเสาหลายต้นถูกระเบิดจนเหลือเพียงซากขอรับ… หนึ่งในสี่ของพิพิธภัณฑ์เสียหายหนัก” อัศวินผู้หนึ่งรายงานกับผู้พิทักษ์ราตรี “แต่โชคดีที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ และท่านไวเคานต์ก็ส่งข้ามาบอกให้ท่านอย่าลดระดับการป้องกันลง ตามที่ท่านไรต์คาดการณ์ ผู้โจมตีอาจเป็นนักเวทระดับสี่ที่สามารถใช้ ‘เวทลูกไฟ’ หรือบางอย่างที่มีพลังในการระเบิดเทียบเท่ากันขอรับ”
แม้ว่าระดับของเวทมนตร์คาถาจะยึดตามระดับพลังของผู้ร่าย แต่ผลลัพธ์ก็แตกต่างกันออกอย่างใหญ่หลวง แม้ว่าความแตกต่างนั้นจะเป็นเพียงระดับเดียวก็ตาม
“ข้าจะระวังตัว” ผู้พิทักษ์ราตรีพยักหน้า “ข้าจะเรียกผู้พิทักษ์ราตรีคนอื่นๆ มาเสริมเพื่อช่วยเหลือท่านไวเคานต์และคุ้มครองท่านบราวน์ด้วย”
ผู้พิทักษ์ราตรีเองก็รู้สึกหัวเสียไม่น้อยกับความจริงที่ว่ายังไม่มีผู้ใดพบตัวผู้ลอบโจมตี
“ดีขอรับ ท่านไวเคานต์กำลังโกรธมากเลยตอนนี้” อัศวินผู้นั้นพยักหน้าแล้วเดินไปหาซอกัสเพื่อส่งต่อคำปลอบโยนจากไวเคานต์
“โฮลีส์ ข้าอยากออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของบราวน์สั่นพร่า
“ข้าจะส่งท่านกลับทันทีที่ผู้พิทักษ์ราตรีคนอื่นๆ มาถึง” โฮลีส์ ผู้พิทักษ์ราตรีที่ปลอมเป็นนักผจญภัยพยักหน้า เขาเข้าใจได้ถึงความประหม่ากลัวของบราวน์
อย่างไรเสีย ก็ไม่มีอะไรจะน่ากลัวไปกว่าภัยร้ายไร้ที่มา ซึ่งผู้โจมตีอาจยังอยู่ที่ไหนสักแห่งในนี้ก็เป็นได้
“ทำไมเล่า ข้ายังต้องรออีกนานแค่ไหนกัน” บราวน์เร่งเร้าผู้พิทักษ์ราตรีด้วยความโมโหและหวาดกลัว “ให้บาทหลวงกับพระคาร์ดินัลที่อยู่ใกล้ๆ มาที่นี่สิ!”
โฮลีส์ยักไหล่ “บาทหลวงกับพระคาร์ดินัลจะยังไม่มาตอนนี้หรอก และพวกท่านจะมาก็ต่อเมื่อเราจับกุมตัวผู้โจมตีได้แล้ว”
“ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว โฮลีส์! ปล่อยข้าไปสักที!” บราวน์คร่ำครวญ “ข้าไม่อยากจะเป็นเหยื่อล่ออีกต่อไปแล้ว! ข้าจะไปจากสเติร์กทันที!”
“ใจเย็นๆ ท่านบราวน์… ได้โปรดใจเย็นๆ” โฮลีส์พยายามปลอบใจเขา “ผู้พิทักษ์ราตรีคนอื่นๆ กำลังมาที่นี่แล้ว”
“ช่วยเร็วๆ หน่อยเถิด!” บราวน์เริ่มเดินไปมาภายในพื้นที่แคบๆ นั้น เพราะความหวาดกลัวกำลังทรมานเขา
“เจ้าต้องไป… เจ้าต้องไปเดี๋ยวนี้… เจ้าต้องไป…” บราวน์พึมพำกับตนเอง เขาใกล้จะสติแตกแล้ว
ในขณะที่เขาเดินไปมานั้น ขนนกส่วนใหญ่ได้ร่วงลงกับพื้นและเลือนหายไป
‘เจ้าต้องไป… ไปจากที่นี่… จากไปชั่วนิรันดร์…’ เสียงในหัวบราวน์เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงของบราวน์เอง แต่ก็คล้ายกับจะเป็นเสียงของผู้อื่นด้วยเช่นกัน
และในที่สุดบราวน์ก็สติแตก ฉับพลันนั้นเขาก็หันหลังขวับแล้วโผไปยังประตูอย่างรวดเร็วเท่าที่เขาจะทำได้ เขาวิ่งไปเร็วมาก และความเร็วนี้ก็มาจากความหวาดกลัวมหาศาลในใจ
ทันทีที่โฮลีส์สังเกตเห็นว่าบราวน์วิ่งหนีไป หัวใจเขาก็กระตุกวูบ เขาสังหรณ์ใจไม่ดีเลย
“เดี๋ยว! อย่าไป!” โฮลีส์ตะโกน
เมื่อบราวน์กำลังจะไปถึงประตู เขาก็สัมผัสได้ถึงอันตรายใหญ่หลวง และนั่นทำให้เขาตื่นจากความกลัวและความตื่นตระหนกอย่างรวดเร็ว
ทว่า มันสายเกินไปแล้ว ลูกไฟขนาดเท่าศีรษะคนพุ่งเข้าปะทะท่อนบนของบราวน์ทันที!
ในชั่ววินาทีสุดท้ายของชีวิตบราวน์ เขาเห็นชายหนุ่มสวมหมวกทรงสูงที่ซ่อนตัวอยู่ข้างบานประตูทางหางตา ชายหนุ่มผู้นั้นดันแว่นตาข้างเดียวขึ้นด้วยมือซ้าย ขณะที่ในเวลาเดียวกันนั้น เปลวไฟยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่บนข้อมือขวาของเขา
ตู้ม!
เมื่อลูกไฟอีกลูกแตกออก ร่างกายท่อนบนของบราวน์ก็ระเบิดโพลง และเปลวเพลิงร้ายแรงนั้นก็หยุดยั้งไม่ให้ร่างกายเขางอกอวัยวะใดๆ ขึ้นมาใหม่
บราวน์ถูกสังหารแล้ว
…
“!!” โฮลีส์ตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง
นั่นคือจุดจบของบราวน์ โฮลีส์ตระหนักถึงข้อนี้ด้วยความสิ้นหวัง แม้ว่าเขาจะไม่อยากเชื่อว่าบราวน์จะถูกลอบสังหารทั้งๆ ที่ได้รับการคุ้มครองจากผู้พิทักษ์ราตรีและอัศวินมากมายเช่นนี้ก็ตาม
เมื่อเขารีบออกมายังประตูหน้าพิพิธภัณฑ์ สิ่งที่โฮลีส์เห็นก็มีเพียงเศษซากร่างกายของบราวน์ และมีเพียงท่อนล่างเท่านั้นที่พอจะยังจำได้
หัวใจโฮลีส์พลันหล่นวูบ และในวินาทีต่อมาเขาก็ตะโกนบอกอัศวินและทหารรักษาการณ์คนอื่นๆ ด้วยความโกรธเกรี้ยว “มันอยู่ที่นั่น! ทางนั้น!”
เขาสามารถบอกได้ถึงทิศทางที่ผู้ร้ายส่งการโจมตีมาโดยดูจากตำแหน่งของซากที่เหลืออยู่ของบราวน์ ดวงตาของโฮลีส์แดงก่ำ
คนกลุ่มหนึ่งรีบตรงไปยังมุมด้านขางพิพิธภัณฑ์
แต่ว่า ที่นั่นกลับไม่มีใคร
แม้แต่ถนนทั้งสายนั้นก็ว่างเปล่าเพราะผู้ผ่านไปมาต่างถูกเสียงระเบิดทำให้หวาดกลัวจนรีบหนีไปหมดแล้ว
ผู้ร้ายลอบโจมตี เจ้าคนชั่วช้านั่นยังลบร่องรอยการใช้เวทมนตร์ไปหมดอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาแทบไม่รีบร้อนหนีไปเลยด้วยซ้ำ
“ไปจับตัวมันมา!” โฮลีส์ตะโกนก้อง เขาไม่มีทางยอมแพ้ เขาจะต้องจับคนผู้นี้ให้ได้!
ทว่า เนื่องจากคลองและถนนทุกสายบนเกาะแห่งนี้ต่างเชื่อมโยงกันเป็นเหมือนดั่งใยแมงมุมแสนซับซ้อน มันจึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะติดตามโดยใช้เพียงร่องรอยเล็กน้อยจากคลื่นพลังเวทที่ผู้ร้ายทิ้งไว้
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เมื่อโฮลีส์นำกลุ่มคนที่เหลือข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แม้แต่ร่องรอยเล็กน้อยของคลื่นพลังเวทนั้นก็หายไป
เรือไม้หัวแหลมจำนวนนับไม่ถ้วนแล่นไปตามลำน้ำ โฮลีส์หมดหนทางติดตามหาคนร้ายแล้ว
“บัดซบ!!” โฮลีส์สบถ
แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงอัศวินระดับสอง แต่เพราะ ‘พร’ พิเศษของโฮลีส์ เขาจึงสามารถระเบิดพลังให้เทียบเท่าอัศวินหลวงระดับสามได้ ทว่า ถึงจะมีพลังนั้น คนร้ายก็ยังสามารถหลบหนีไปได้
โฮลีส์ไม่มีทางปล่อยให้คนร้ายลอยนวลไปเช่นนี้ เขารีบติดต่อไปหาหัวหน้ากลุ่มผู้พิทักษ์ราตรีและพระคาร์ดินัล และยังพร้อมสำหรับการเสาะหาทุกซอกทุกมุม
…
ข้างลำคลองด้านหลังโฮลีส์ มีร้านอาหารหรูอยู่ร้านหนึ่ง และลูเซียนก็อยู่ในห้องน้ำเล็กๆ ห้องหนึ่งในร้านนั้น
ลูกไฟเล็กจิ๋วปรากฏขึ้นบนปลายนิ้วของลูเซียน จากนั้นเขาก็ใช้มันเผาทำลายเสื้อผ้าและหมวกที่เขาสวมใส่เมื่อครู่นี้
ตอนนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีแดงเข้ม กางเกงสีดำและรองเท้าหนัง
นี่คือรูปลักษณ์ของลูเซียนตอนที่เขาออกมาจากห้องพักโรงแรมยามเช้านี้ เมื่อคืนก่อน เขาซ่อนชุดสำหรับลงมือทำภารกิจไว้ในห้องน้ำนี้
หลังจากกลิ่นไหม้หมดไป ลูเซียนก็โยนแว่นตาข้างเดียวแตกๆ กับร้องเท้าที่เขาสวมเมื่อครู่ทิ้งลงคลองผ่านทางหน้าต่างห้องน้ำ
จากนั้นเขาก็จัดแจงความเรียบร้อยของตนเอง เดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วเข้าไปยังเฉลียงของร้านอาหาร
ตรงเฉลียงนั้น เกรซกำลังเดินกลับไปกลับมาด้วยความวิตก เมื่อเห็นว่าลูเซียนกลับมาในที่สุด นางก็รีบถามไถ่ “ท่านอีวานส์เจ้าคะ ท่านได้ยินเสียงระเบิดหรือไม่”
เกรซวิตกกังวลเกินกว่าจะสังเกตเห็นว่าลูเซียนใช้เวลามากกว่าสิบห้านาทีจึงกลับมาจากห้องน้ำ และแน่นอนว่า มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดที่คนคนหนึ่งจะใช้เวลาสิบห้านาทีในห้องน้ำ
“ได้ยินสิ มันดังมาก” ลูเซียนปิดประตูเฉลียงตามหลัง “ข้าพยายามจะมองจากหน้าต่างในห้องน้ำแต่ไม่เห็นอะไรเลย ไว้เราค่อยถามบริกรทีหลังก็ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องกังวลไปหรอก เราจะปลอดภัย เกรซ”
เกรซพยักหน้าแล้วสูดหายใจเข้าออกสองสามครั้ง “จริงของท่านอีวานส์ค่ะ เรามาต่อกันดีกว่า ท่านเพิ่งพูดถึงการใช้นิ้วของข้าว่ามัน…”
ลูเซียนปรับตนเองให้กลับเข้าสู่อารมณ์สุนทรีทันทีหลังจากที่เพิ่งทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงภายในสิบห้านาทีที่ผ่านมา
“ใช่ ถูกต้อง… เจ้ายังยึดติดกับการฝึกฝนแบบเดิมอยู่ค่อนข้างมาก” ลูเซียนอธิบาย “แต่นี่ไม่ถือเป็นเรื่องแย่เสียทีเดียว ในฐานะนักเปียโน เจ้าต้องหารูปแบบของตัวเอง…”
ลูเซียนนับเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางด้านเปียโนอย่างแท้จริง และเขาก็มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมันอย่างถ่องแท้ เกรซพยักหน้าหงึกๆ ขณะรับฟังเขาอย่างตั้งใจ
ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น บริกรก็มาเคาะประตูอย่างแผ่วเบา
“ว่าไง” เกรซหาไม่ได้ยินเสียงระหว่างการเรียนของนางถูกขัดจังหวะ
“ท่านหญิงเกรซขอรับ อัศวินฝึกหัดสองนายจากทางศาสนจักรจำเป็นต้องตรวจสอบภายในร้านน่ะขอรับ” บริกรตอบกลับด้วยความสุภาพนอบน้อม
ทั้งเฉลียงนี้ถูกจับจองในนามของเกรซ
“เอ้อ… เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเข้ามาเถิด” เกรซตอบ แม้ว่านางจะค่อนข้างเป็นที่รู้จักในเมืองสเติร์ก นางก็ยังจำเป็นต้องให้เกียรติคนจากทางศาสนจักร
……………………………………….