การแบ่งห้องบนชั้นสามนั้นแตกต่างจากชั้นสองอย่างมาก ลูเซียนเห็นห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ทาสีฟ้ากับขาว ทั้งสองด้านของห้องนั่งเล่นมีหน้าต่างบานใหญ่เรียงรายอยู่ แสงอาทิตย์จึงส่องลอดเข้ามาและทำให้ภายในห้องสว่างไสว
แม้ว่าห้องนั่งเล่นจะยังถือว่าเล็กกว่าห้องโถงชั้นหนึ่ง ทุกอย่างในนี้กลับดูมีชีวิตชีวากว่ามาก ทั้งเก้าอี้ยาวที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ โต๊ะเล็กๆ สำหรับวางชาที่มีอยู่ทั่วห้อง กระดานดำเล็กๆ ที่แขวนอยู่รอบผนัง พืชพรรณสีเขียว และอื่นๆ อีกมากมาย
มีหนุ่มสาวหลายคนอยู่ในห้องนั้น คนที่อายุมากที่สุดอาจจะอยู่ที่ราวๆ สิบสี่หรือสิบห้า และคนที่ดูเด็กที่สุดก็อาจจะสักสิบสองปี บางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว กำลังคิดคำนวณและขีดเขียนบางอย่างอย่างตั้งอกตั้งใจ ในขณะที่มีบางคนยืนอยู่หน้ากระดานดำเล็กๆ กำลังถกเถียงถึงเรื่องบางอย่างด้วยท่าทางจริงจัง ในชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง ลูเซียนนึกว่าตนเพิ่งจะเข้ามาในห้องเรียนหรืออะไรประมาณนั้น
ด้วยการออกแบบแสนแปลกแตกต่างของสถานที่และพรมหนาๆ บนพื้น การมาถึงของลูเซียนและทอมจึงไม่ดึงดูดความสนใจจากวัยรุ่นเหล่านั้นเลยสักนิด
“แอนนิค ข้าเจอตำราเล่มนี้ล่ะ ‘หลักคณิตศาสตร์เชิงปรัชญาเวทมนตร์’ มันน่าสนใจมาก แม้ว่าสามกฎพื้นฐานของสนามพลังจะดูง่าย แต่เมื่อเจ้าคิดดูแล้ว เวลาที่เราร่ายคาถา ทั้งหมดนั้นกลับใกล้เคียงกับชีวิตประจำวันของเราเลย” เด็กสาวผู้หนึ่งเอ่ยเสียงเบากับสหายที่นั่งข้างๆ นางบนเก้าอี้ตัวยาว
เด็กหนุ่มอีกคนผู้มีผมหยักศกสีทองเงยหน้าขึ้นมาตอบ “เลย์เรีย ข้าเห็นด้วยกับเจ้า เจ้ารู้ไหมว่าท่านแอสตาร์เคยพูดครั้งหนึ่งว่า ‘หลักคณิตศาสตร์เชิงปรัชญาเวทมนตร์’ คือหนึ่งในสองทฤษฎีหลักที่สนับสนุนระบบเวทมนตร์สมัยใหม่ ถ้าเจ้าสามารถเข้าใจได้ทั้งหมด ไม่นานเจ้าก็อาจได้เป็นนักเวทจริงๆ!”
เด็กสาวผมสีม่วงอ่อนดอกลินินที่นั่งข้างๆ ทั้งสองเข้ามาร่วมวงสนทนา “แอนนิค เลย์เรีย เจ้าสองคนยังอ่านบทแรกอยู่เลยหรือ เมื่อวันก่อนข้าอ่านตำรานั้นผ่านๆ และพบว่าบทที่สามนั้นเหนือจินตนาการอย่างยิ่ง บทที่สามพยายามอธิบายการเคลื่อนที่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ รวมถึงดวงดาวและสายน้ำ ด้วยการแนะนำให้รู้จักกับแนวคิดเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง แรงที่มีอยู่ระหว่างดวงดาวกับผืนดิน และนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมการเคลื่อนที่ของดวงดาวจึงทำนายได้ ข้าเชื่อว่านั่นคือเรื่องสำคัญมากๆ สำหรับการศึกษาโหราศาสตร์ต่อไป”
หางม้าน่ารักของเลย์เรียเด้งขึ้นลงเล็กน้อยเมื่อนางพยักหน้า “ใช่ๆ… แต่ข้าไม่เข้าใจต้นกำเนิดนี่สิ และข้าก็ยังไม่เข้าใจถึงระเบียบวิธีเชิงคณิตศาสตร์ที่ชื่อ… แคลคูลัส เจ้าสองคนล่ะ ไฮดี้ แอนนิค”
“ไม่เลย… ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด” ไฮดี้ตอบด้วยท่าทางสบายๆ “แต่ก็เหมือนกับที่ท่านแอสตาร์บอก ก่อนที่เราจะเป็นนักเวทจริงๆ เราเพียงจำเป็นต้องจำหลักการกับสูตรไม่กี่อย่าง แทนที่จะเข้าใจถึงเหตุผล”
“ถึงกระนั้น… เราก็จำเป็นต้องอ่านตำรามากมายตามที่ท่านแอสตาร์บอก…” เลย์เรียถอนหายใจ “‘เรขาคณิตพื้นฐานเวทมนตร์’ ‘แผนที่หลักการเวทมนตร์’ และ ‘การสร้างรูปแบบ’ และ… และ…”
“และ ‘ตำราว่าด้วยความสำคัญของการจำลอง’ ‘สมาการธาตุเบื้องหลังสูตรเวทมนตร์’ ‘ธาตุพื้นฐาน’ ‘พีชคณิตทั่วไป’ ‘การจำแนกวิธีเข้าฌานสมาธิระดับต่ำ’ ‘การวิเคราะห์แก่นความเย็นและความร้อนอย่างง่าย’ ‘แรงและการเคลื่อนที่ในเวทมนตร์’” ไฮดี้เอ่ยแทรกแล้วไล่เรียงรายการหนังสือที่พวกเขาจำเป็นต้องอ่าน
“เห็นไหม แม้แต่ชื่อตำราข้ายังจำไม่หมดเลย” เลย์เรียยักไหล่ “แม้ว่าท่านแอสตาร์จะบอกว่าหากเราเข้าใจ ‘หลักคณิตศาสตร์เชิงปรัชญาเวทมนตร์’ ได้ทั้งหมด แล้วใช้เวลาศึกษาแคลคูลัสอีกหนึ่งปี เมื่อเรามีพลังจิตมากพอ เราก็จะสามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทระดับกลางได้ แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าจะต้องใช้เวลามากเพียงใดกับกระบวนการทั้งหมดนี้เมื่อไม่มีอาจารย์… บางทีอาจจะสักสิบห้าปี…”
ตามที่แอสตาร์กล่าว เหล่านักเวทฝึกหัดในห้องนั่งเล่นนี้มีความสามารถเหนือคนทั่วไป และแน่นอนว่า พวกเขาต่างก็มีเป้าหมายเป็นของตนเอง
แอนนิคเกาศีรษะครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “เราคงจะไม่ต้องอยู่ตามลำพังนานหรอก จริงไหม ท่านแอสตาร์บอกว่าเราจะมีกุนซือคอยสอนเราในเมืองอัลลิน บางทีสี่หรือห้าปีหลังจากนี้ เราอาจกลายเป็นนักเวทตัวจริงก็ได้ และเมื่อถึงเวลานั้น…”
“เมื่อถึงเวลานั้น เราก็จะเป็นสมาชิกสภาของสภาประจำเมือง เราจะมีข้ารับใช้มากมาย” ไฮดี้กล่าวอย่างมีความหวัง
“เมื่อถึงเวลานั้น เราจะได้เจอครอบครัวเช่นกัน” เลย์เรียเสริม
นักเวทฝึกหัดทั้งสามนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
รอยยิ้มหายากผุดขึ้นบนใบหน้าของฝีพายขณะที่เขาเฝ้ามองวัยรุ่นทั้งสามคน “สามคนนั้น รวมกับสปรินต์ ออยมอส และแคทรีนา พวกเขาคือเด็กที่มีพรสวรรค์ที่สุดในการทดสอบครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะสปรินต์และแคทรีนา ทั้งสองต่างมีศักยภาพทางด้านพลังจิตและมีพรสวรรค์ด้านอาร์คานา”
ขณะที่ทอมอธิบาย เขาก็ชี้ไปทางเด็กหนุ่มผมสีแดงเข้ม วัยรุ่นอีกคนที่นั่งคิดคำนวณอยู่บนเก้าอี้ยาว และเด็กสาวผมสีทองที่กำลังถกเถียงกับสหายอย่างจริงจัง
“คนหนุ่มสาวผู้มีอนาคตไกล” ลูเซียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงสมกับเป็นนักเวทที่แท้จริง
บทสนทนาของทั้งสองดึงดูดความสนใจจากเหล่านักเวทฝึกหัด ทุกคนหันมาแล้วโค้งตัวอย่างสุภาพนอบน้อม “ท่านทอม”
เห็นได้ชัดว่าทอมดูไม่ค่อยมีท่าทางโศกสลดเหมือนปกติเมื่ออยู่ต่อหน้าหนุ่มสาวเหล่านี้ เขาพยักหน้าแล้วแย้มยิ้ม “ข้าดีใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นว่าพวกเจ้าต่างพยายามอย่างหนัก แต่ในขณะเดียวกัน ข้าก็อยากให้สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่านเข้าใจตรงกันว่า ท่านดักลาส ผู้เขียนตำรา ‘หลักคณิตศาสตร์เชิงปรัชญาเวทมนตร์’ และยังเป็นผู้คิดค้นแคลคูลัสขึ้น คือประธานสภาเวทมนตร์ และเป็นมหาจอมเวทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ดังนั้นหนทางนี้ยังอีกยาวไกลสำหรับพวกเจ้า จงพยายามให้มากและอย่าเร่งร้อน”
“ขอบคุณขอรับ ท่านทอม เราจะทำเช่นนั้นแน่” สปรินต์ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “การเป็นมหาจอมเวทคือเป้าหมายของข้ามาตลอด และในที่สุดข้าก็เลื่อนขึ้นมาเป็นนักเวทชั้นล่างเมื่อวานนี้ขอรับ”
เด็กหนุ่มสาวบางคนประหลาดใจอย่างมาก เพราะสปรินต์ใช้เวลาไม่นานกับการเลื่อนขั้นในครานี้
“เจ้ามีพรสวรรค์นะ สปรินต์” ทอมพยักหน้า รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจเช่นเดียวกัน “และข้าก็เห็นว่าเจ้ากำลังช่วยเหลือสหายของเจ้าเช่นกัน”
“แน่นอนขอรับ เพราะเราทุกคนเป็นเพื่อนกัน” สปรินต์ตอบด้วยท่าทางร่าเริงเหมือนเด็กน้อย จากนั้นเขาจึงเหลือบมองไปทางลูเซียน “นี่คือเพื่อนคนใหม่ของเราหรือขอรับ ท่านทอม เขาดูแก่กว่าเราหน่อยนะขอรับ”
จากนั้นสปรินต์ก็หันไปทางลูเซียน “ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับอาร์คานาบ้าง ข้าสามารถช่วยเหลือท่านได้หากท่านต้องการนะขอรับ”
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านถามข้าได้เช่นกัน” แคทรีนาเอ่ยขึ้น เด็กสาววัยสิบสี่ปีผู้นี้อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีขาวและดูเหมือนว่านางจะเป็นท่านหญิงผู้งดงามในอนาคตเป็นแน่ “และอีกไม่นานข้าเองก็จะได้เป็นนักเวทฝึกหัดแล้วเจ้าค่ะ”
ทั้งสปรินต์และแคทรีนาต่างเพิ่งมาถึงที่นี่ไม่นาน และตอนที่ทั้งสองได้รับเลือก ยังไม่มีผู้ใดเป็นนักเวทฝึกหัด แต่เป็นเพียงเด็กที่มีพรสรรค์เท่านั้น ตอนนี้สปรินต์ได้เลื่อนระดับขั้นแล้ว และดูเหมือนว่าแคทรีนาเองก็กำลังตามติดมาเช่นกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สปรินต์กับแคทรีนาคือเด็กที่มีศักยภาพมากที่สุดจากเหล่านักเวทฝึกหัดทั้งหมดและเด็กคนอื่นๆ ที่ยังคงพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้เป็นนักเวทฝึกหัดเสียที
และก็เหมือนกับคนฉลาดคนอื่นๆ สปรินต์กับแคทรีนานั้นแข่งขันกันเองอยู่เสมอ
ในความคิดของแคทรีนา ชายหนุ่มตรงหน้าอาจอายุเพียงยี่สิบปีหรืออะไรทำนองนั้น และคงจะเป็นนักเวทฝึกหัดระดับสูงที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาร์คานาเลย
ทอมรู้สึกขบขันเล็กน้อย “นี่คือท่านอีวานส์ และเขาเป็นนักเวท”
“นักเวท?!”
“แต่เขาดูเด็กมากเลยนะ?!”
เด็กทุกคนต่างประหลาดใจอย่างยิ่ง
แม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินมาว่า บางครั้งบางคราจะมีคนหนุ่มสาวมากสามารถที่กลายเป็นนักเวทที่แท้จริงได้หลังจากอายุสิบแปดปี ตอนที่ดวงจิตของพวกเขามั่นคงขึ้น แต่พวกเขาไม่เคยพบเจอนักเวทที่ดูเด็กมากๆ เช่นลูเซียนเลย พวกเขาต่างสงสัยว่าท่านอีวานส์อาจใช้เวทมนตร์บางอย่างเพื่อรักษารูปลักษณ์เยาว์วัยของเขาเอาไว้ก็เป็นได้
“เมื่อใดที่พวกเจ้าไปถึงสภาเวทมนตร์ พวกเจ้าจะได้เห็นนักเวทที่อายุเพียงสิบห้าหรืออาจกระทั่งสิบสี่ปี” ทอมส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วส่งยิ้มให้ทุกคน “ในสายตาข้า ท่านอีวานส์ค่อนข้างเฉลียวฉลาด และข้าก็ไม่ค่อนแปลกใจกับความสำเร็จของท่านเสียเท่าไร”
“ท่านอีวานส์” เหล่านักเวทฝึกหัดต่างโค้งตัวลงด้วยความนอบน้อมพร้อมกับแนบมือขวาบนหน้าผาก
นี่คือขนบธรรมเนียมอย่างหนึ่ง นักเวทฝึกหัดจะต้องแสดงความเคารพอย่างสูงแก่นักเวท
ลูเซียนยิ้มตอบ “เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ”
“ท่านอยากจะศึกษาอาร์คานากับพวกเขาหรือขอรับ” ทอมกระซิบถามลูเซียน
“ข้าอยากเริ่มจากการอ่านตำราที่พวกเขาเพิ่งพูดถึงเมื่อครู่นี้” ลูเซียนตอบ “เราสามารถปรึกษากันได้หากจำเป็น” ลูเซียนเชื่อว่าความรู้ทางด้านอาร์คานาศาสตร์ของเขาไม่ได้แย่ไปกว่านักเวทระดับกลางส่วนใหญ่เลย
“เช่นนั้นท่านจะต้องทำงานให้กับสภาเวทมนตร์ล่วงหน้าเสียแล้วสิ” ทอมยิ้มกริ่ม “ในเมื่อตำราเหล่านี้มีไว้สำหรับนักเวทฝึกหัดเท่านั้น นักเวทจะได้รับก็ต่อเมื่อไปถึงสภาแล้วน่ะขอรับ”
“งานอะไรเช่นนั้นหรือ” ลูเซียนถาม
“ท่านจะต้องเป็นอาจารย์ให้กับนักเวทฝึกหัดสักคน” ทอมอธิบายอย่างใจเย็น “เพื่อที่จะได้รับตำราและการสนับสนุนทั้งหมดจากทางสถา นักเวทจำเป็นต้องช่วยเหลือนักเวทฝึกหัดให้เลื่อนขั้นเป็นระดับสูงให้ได้ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมแสนจำกัดในที่แห่งนี้ ความหวังที่พวกเขาจะก้าวกระโดดไปถึงระดับนั้นได้แทบไม่มีอยู่เลย แต่ท่านจะลองช่วยเหลือว่าที่นักเวทฝึกหัดเพื่อเลื่อนขึ้นเป็นนักเวทฝึกหัดระดับฝึกหัดก่อนก็ได้ ฟังดูเป็นอย่างไรบ้างขอรับ ทำงานล่วงหน้าครึ่งหนึ่งให้กับสภาเสียเลยน่ะขอรับ”
“เช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เราไปถึงเมืองอัลลินแล้วน่ะขอรับ” ลูเซียนถาม “ข้าจะยังต้องเป็นอาจารย์ต่อไปหรือไม่”
“ไม่ต้องห่วงๆ” ทอมโบกมือไปมา “เมื่อถึงตอนนั้น นักเวทฝึกหัดทั้งหมดจะถูกส่งไปที่สำนักลับ พวกเขาจะไม่มารบกวนท่านแน่นอน”
“อ้อ ฟังดูสมเหตุสมผลดี” ลูเซียนพยักหน้า เขาเห็นด้วยกับการที่สภาเวทมนตร์มุ่งเน้นเรื่องฝึกฝนนักเวทฝึกหัด
ทอมปรบมือเพื่อดึงความสนใจจากเด็กๆ “ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน ข้ามีโอกาสดีงามมาเสนอให้ท่าน เพราะท่านอีวานส์จำเป็นต้องศึกษาอาร์คานา ท่านจึงอยากทำงานร่วมกับพวกเจ้าสักคนหนึ่ง ใครอยากจะอาสาบ้าง พวกเจ้าต้องรู้ไว้ว่าโอกาสทำงานร่วมกับนักเวทนั้นล้ำค่ามาก!”
ปฏิกิริยาของเด็กๆ นั้นมีหลากหลาย บ้างก็ตื่นเต้นและเริ่มกระซิบกระซาบกัน บ้างยังคงนึกสงสัยในตัวนักเวทที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับอาร์คานา
ไม่มีผู้ใดทราบว่านักเวทหนุ่มผู้นี้จะสามารถช่วยเหลือพวกเขาในการศึกษาอาร์คานาได้จริงหรือไม่
นอกจากนี้ ตามขนบธรรมเนียมของจักวรรดิเวทมนตร์โบราณแล้ว นักเวทบางคนค่อนข้างเข้มงวดกับการฝึกฝนนักเวทฝึกหัดใหม่ๆ เหล่านักเวทฝึกหัดที่เคยมีอาจารย์มาก่อนคงไม่คิดพิจารณาเรื่องนี้เลยสักนิด ดังนั้นพวกเขาอาจพลาดโอกาสในการเป็นลูกศิษย์ของนักเวทผู้แข็งแกร่งยิ่งกว่า และนั่นก็คือสิ่งที่พวกเขากังวลที่สุด
“ใครจะอาสาบ้าง” ทอมถามอีกครั้ง
สปรินต์ตอบเป็นคนแรก “ข้าเกรงว่าท่านอีวานส์อาจชี้แนะข้าได้ไม่มากพอ หากเป็นเรื่องของศาสตร์อาร์คานา ขออภัยด้วยขอรับ”
“ข้าก็เช่นกันค่ะ ขออภัยด้วย ท่านอีวานส์” แคทรีนาก้มศีรษะลงเล็กน้อย “ข้าอยากจะยึดการศึกษาตามตารางของข้าเองค่ะ”
นักเวทฝึกหัดอีกหกเจ็ดคนที่อยู่ใกล้ๆ สปรินต์กับแคทรีนาต่างลังเลอย่างยิ่ง
……………………………………….