ลูเซียนตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนขณะถือวารสารในมือ
หากผู้ใดสนใจในตัวนักเวทหนุ่มผู้ไร้ระดับอาร์คานา แล้วตัดสินใจตรวจสอบเขาในฝ่ายบริหารจัดการนักเวทคนผู้นั้นก็จะค้นพบว่านักเวทหนุ่มเพิ่งเดินทางมาจากอีกฝั่งมหาสมุทร และมีชื่อเดียวกันกับนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่แห่งนครอัลโต้
มันอาจยิ่งเลวร้ายกว่านั้นหากมีใครสักคนในเมืองอัลลินเคยเห็นลูเซียนในนครอัลโต้มาก่อน และหากมีคนจาก ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ จำเขาได้ล่ะก็เขาคงจะประสบปัญหาใหญ่หลวงเป็นแน่แท้ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในจีบูตี ลูเซียนจึงหวาดกลัวว่าหลายๆ คนอาจเชื่อมโยงเขากับศาสตราจารย์
เมื่อคิดเช่นนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย เขานึกเสียใจที่ตนใช้ชื่อจริงอย่างไม่คิดอะไรตอนที่ส่งบทความไป เพราะเขาไม่คาดคิดว่าบทความแรกของเขาจะมีจอมมหาเวทนำไปอ้างอิง และทำให้ได้รับความสนใจจนเกินจำเป็นเช่นนี้ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังยืนอยู่กลางลำแสงสว่างไสวของดวงไฟยักษ์
เขารู้ว่าเขาผ่อนคลายเกินไปและไม่ระมัดระวังตัวเลยนับแต่ที่เขามาถึงเมืองอัลลิน เป็นอีกครั้งที่เขาได้รับบทเรียนสำคัญ
ความคิดมากมายวูบผ่านสมองลูเซียนภายในไม่กี่วินาที
“เฮ้… เฮ้!” ร็อคถองศอกใส่ลูเซียนเบาๆ “เจ้าตื่นเต้นเกินไปหรืออย่างไร”
บทความของนักเวทระดับกลางคนล่าสุดที่จอมมหาเวทอ้างอิงถึงนั้นคือของยูลิสิส ตอนนั้นเขาอายุราวยี่สิบปี แม้ว่าบทความเกี่ยวกับเซลล์หน่วยความทรงจำและมนตรารักษาพลังศักดิ์สิทธิ์ของเฟลิเปจะชนะ ‘รางวัลบัลลังก์นิรันดร’ ที่ทาง ‘สถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโคเล็ตต์’ และ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ ร่วมกันก่อตั้งขึ้นโดยยึดตามรางวัลมงกุฎแห่งโฮล์ม ในตอนนั้นเขาก็เป็นจอมเวทระดับสอง นักเวทระดับสามแล้ว ในฐานะนักเวทที่ไร้ระดับอาร์คานา ความสำเร็จของลูเซียนจึงนับเป็นสิ่งที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง
“อา… นิดหน่อยน่ะ… “ ลูเซียนเค้นรอยยิ้มออกมาประดับบนใบหน้า “ข้าประหลาดใจพอสมควร…”
จากนั้นลูเซียนก็รีบอ่านเนื้อหาในบทความของ ‘เจ้าแห่งวายุ’ แล้วเขาก็ต้องตกตะลึงอย่างยิ่งกับสติปัญญาอันเฉียบแหลมของจอมมหาเวทผู้นี้
‘เมื่อวิเคราะห์จากการทดลองและสถิติทั้งหมดแล้ว เราสามารถสรุปได้ว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านำไปใช้ในการสำรวจและตรวจหาตำแหน่งได้แน่นอน และยังเร็วกว่าคลื่นความถี่เสียงมาก ทว่า เนื่องจากผลสะท้อนกลับนั้นไม่ชัดเจนพอ จึงจำเป็นต้องสร้างโครงสร้างเวทมนตร์แบบพิเศษเพื่อกลั่นกรองและขับเน้นข้อมูลที่ได้รับ โครงสร้างต้องมีการคิดคำนวณมากมาย ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเวทมนตร์ในอนาคตบทนี้คือเวทมนตร์ระดับสี่หรือห้า และนี่คือชื่อที่ข้าตั้งไว้แล้วล่วงหน้า “เนตรฟ้าคำรณ” ‘
‘ในขณะเดียวกัน เรายังได้เห็นอีกด้วยว่าการสั่นสะเทือนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นขึ้นไปแตะความถี่ที่สูงกว่าปกติด้วยพลังและความแข็งแรงที่มากพอ โมเลกุลภายในเป้าหมายการทดลองจะเริ่มวิ่งชนกันและสร้างความร้อนขึ้นสูง ปรากฏการณ์การทดลองนี้สามารถกลายเป็นอีกบทคาถาอันทรงพลังในการทำให้ใครสักคนที่เก่งกาจด้านการป้องกันพ่ายแพ้ด้วยทะลวงจากภายใน ข้าคาดว่ามนตราบทนี้จะอยู่ที่ระดับห้าหรือหก และตามธรรมเนียมแล้ว ข้าเรียกมันว่า “เตาหลอมสายฟ้าแห่งเฟอร์นันโด” ‘
‘เมื่อพัฒนาความถี่ขึ้นไปอีกระดับ โดยใช้ความร้อนจนถึงจุดเดือดที่สร้างขึ้นจากปฏิกิริยา ก็จะสร้างเวทมนตร์อันทรงพลังอีกบทขึ้นได้ ข้าเรียกมันว่า “เตาเผาศพล่องหน” ‘
‘หากว่าเราต้องการจะพัฒนาความถี่ขึ้นไปให้สูงกว่านี้ เราอาจเข้าสู่ศาสตร์แห่งแสง’
ลูเซียนประทับใจอย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่าจอมมหาเวทท่านนี้ค้นพบการประยุกต์ใช้คลื่นพลังแม่เหล็กไฟฟ้าหลักๆ ได้ในความถี่ต่างๆ หากว่าท่านไม่หยุดอยู่ตรงหน้าโลกแห่งแสง ลูเซียนก็มั่นใจว่าเฟอร์นันโดจะต้องคิดค้นเวทมนตร์บทใหม่ได้อีกมากมาย!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจอมมหาเวททั้งหลายคืออัจฉริยะบุคคลจริงๆ แม้ว่าพวกเขาจะทำพลาดไป แต่นั่นก็ไม่ใช่เพราะไร้ปัญญา แต่แท้จริงแล้วมักจะเป็นเพราะพวกเขาถูกประสบการณ์เก่าๆ บดบังวิสัยทัศน์เอาไว้ และตราบใดที่พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจ พวกเขาก็จะสามารถเปลี่ยนโลกทั้งใบได้เลยทีเดียว! ‘ไปเสียแล้ว… คะแนนชื่อเสียงและคะแนนอาร์คานาในอนาคตของฉัน’ ลูเซียนถอนหายใจ ‘ท่านไม่เหลือช่องว่างอะไรเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าให้ฉันเข้าไปสำรวจเพิ่มเติมเลย’
ลูเซียนยื่นวารสารคืนให้ร็อค
ขณะที่อาจารย์คนอื่นๆ เริ่มอ่านบทความอย่างตั้งใจอยู่นั้น มุมหนึ่งของห้องลูเซียนยังคงร้อนรนกับความคิดที่ว่าตัวตนของเขาอาจถูกเปิดเผยแล้ว
แต่ว่า การรู้สึกหวั่นวิตกไม่อาจช่วยอะไรได้ ณ ตอนนี้ ทางออกมีที่ดีที่สุดสำหรับลูเซียนคือการได้รับความสนใจจาก ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ ถ้าเกิดว่า ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ มองเห็นค่าลูเซียนอย่างมหาศาล พวกเขาก็จะปกป้องลูเซียนและยอมเป็นปฏิปักษ์กับ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ อย่างแน่นอน
เมื่อลูเซียนหลุดจากภวังค์ความคิดของตน เขาก็ว่าร็อค เจอโรม วิลเนีย และคนอื่นๆ ในที่นั้นกำลังมองมาทางเขาด้วยความรู้สึกมากมายที่ผสมปนเปกัน มีเพียงเคที่ยังคงอ่านบทความอยู่
“อะไรหรือ” ลูเซียนถามด้วยความงุนงง
วิลเนียขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะแย้มยิ้มบูดเบี้ยว “ข้านึกออกเลยว่าบีตย์กับนักเวทคนอื่นๆ จากสำนักแม่เหล็กไฟฟ้าจะพูดอะไร พวกเขาคงจะประกาศกร้าวว่าอนาคตของโลกใบนี้อยู่ในกำมือของแม่เหล็กไฟฟ้าแล้ว แต่เป็นเจ้าที่มอบแรงบันดาลใจให้กับท่านเฟอร์นันโด บราสตาร์ ผู้เขียนบทความแสนยิ่งใหญ่ที่สนับสนุนคำกล่าวอ้างสิทธิ์ของพวกเขา…”
ลูเซียนเข้าใจถึงสิ่งที่นางพยายามจะสื่อในทันที แม้จะรู้สึกเหมือนว่าลูเซียนคือผู้ยื่นอาวุธที่จะใช้ตัดสินชะตาในศึกสงครามให้กับศัตรู แต่ลูเซียนก็เป็นผู้บริสุทธิ์เช่นกัน
อาจารย์ท่านอื่นๆ ต่างก็รู้สึกไปในทางเดียวกัน
“ข้าไม่สนใจเสียเท่าไร” เคกล่าวเสียงทุ้มต่ำ พยายามจะปลอบเพื่อนร่วมงานของตน “ลูเซียนทำออกมาได้ดี และความคืบหน้านี้ก็ไม่ได้เป็นของสำนักใดสำนักหนึ่ง ความจริงของโลกใบนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงไปแค่เพราะความเย่อหยิ่งไร้สาระของใครบางคนหรือก”
เจอโรมยิ้มกว้าง “ขออภัย เราเพียงไม่ชอบคนอย่างบีตย์ก็เท่านั้น และมันก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลยสักนิด ลูเซียน”
“ไม่เอาน่า ลูเซียนจะต้องตีพิมพ์บทความดีๆ เกี่ยวกับการค้นคว้าโลกแห่งธาตุออกมาได้มากมายเช่นกัน!” ร็อคโบกแขนไปมาและดูท่าทางอารมณ์ดีขึ้น
บรรดาอาจารย์ผ่อนคลายขึ้นมากแล้วในตอนนี้ และต่างเริ่มถกกันถึงหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ที่ตนศึกษาอย่างดุเดือด เหล่านักเวทฝึกหัดนั่งฟังพวกเขาอย่างตั้งใจ ราวกับกำลังรับฟังเรื่องราวสุดระทึกอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเวลาล่วงเลยเข้ายามบ่าย อาจารย์บางท่านก็ออกจากที่พักของลูเซียน ตามติดไปด้วยเหล่านักเวทฝึกหัด มีเพียงเชลีย์ที่ดูเหมือนจะยังตกอยู่ในภวังค์
“เฮ้ เชลีย์ ถึงเวลาต้องไปแล้วนะ” ไฮดี้ตบบ่านางเบาๆ
เชลีย์พลันได้สติ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยความขัดเขิน “การเฝ้ามองท่านอีวานส์ และอาจารย์ท่านอื่นๆ ถกประเด็นกันทำให้ข้านึกถึงวันเวลาที่ข้าเฝ้ามองบิดาถกปัญหากับเหล่าอัศวินยามอยู่ในที่พักของเราน่ะเจ้าค่ะ บทสนทนาของท่านอาจารย์ช่างเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ทั้งยังไม่เหมือนกับคำบรรยายเกี่ยวกับนักเวทของผู้คนในสเติร์กเลยสักนิด นับแต่วันแรกที่ข้ามาถึงเมืองอัลลิน ข้าก็ตราตรึงกับสิ่งที่เห็นอย่างยิ่ง… ที่แห่งนี้เป็นดั่งความฝัน แต่ข้าเองก็กลัว…”
“การสื่อสาร…” ลูเซียนตอบ “การสื่อสารคือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเมื่อผู้กำลังเผชิญหน้ากับความยากลำบาก”
ลูเซียนเชื่อว่าถ้านาตาชากับซิลเวียสามารถสื่อสารกันด้วยวิธีที่ดีกว่านี้ ระหว่างพวกนางคงไม่จบลงเช่นนั้น”
เชลีย์พยักหน้าแต่ยังคงรู้สึกเศร้าซึมไม่น้อย
เห็นเช่นนั้น ลูเซียนจึงเดินไปยังเปียโนที่ตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่น มันเป็นเปียโนที่ทางสำนักส่งมาให้ เพราะว่าลูเซียนสอนวิชาดนตรีด้วยเช่นกัน
เพลงที่ลูเซียนเริ่มเล่นเป็นบทเพลงที่เด็กๆ ชาวจีนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดี นั่นก็เพลงเสือสองตัว
“ร่าเริงสิ ร่าเริงหน่อย เชลีย์เอ๋ย เชลีย์น้อย! กริ่งดังแล้ว กริ่งดังแล้ว อย่าไปสายนะ อย่าไปสาย”
ลูเซียนร้องเพลงน่ารักๆ นี้ให้กับหญิงสาว รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าเชลีย์ ไฮดี้ เลย์เรีย และแอนนิค เหล่านักเวทฝึกหัดต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านอีวานส์ ท่านเล่นได้ยอดเยี่ยมจริงๆ” เชลีย์ยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างจริงใจ
หลังจากที่นักเวทฝึกหัดทักคนออกจากที่พักของลูเซียนไปอย่างมีความสุขแล้ว ลูเซียนก็เดินไปที่ห้องทำงานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่ในใจกลับรู้สึกตึงเครียดเล็กน้อย
ด้วยเหตุที่ว่าธาตุบนโลกใบนี้ แตกต่างจากสิ่งที่เขาเคยเรียนรู้มาจากโลกเดิมตอนนี้ลูเซียนจึงประสบปัญหากับการจับกลุ่มธาตุทั้งหมดให้เป็นไปตามลำดับ เพราะว่าไม่สามารถระบุธาตุบางธาตุได้ ลูเซียนจึงทำได้เพียงจัดให้มันเป็นไอโซโทปแปลกๆ สักอย่างหนึ่ง ทว่าช่วงนี้เขากลับไม่มีความคืบหน้าเลย
เขาต้องเร่งมือ เขาต้องเรียกร้องความสนใจจาก ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ ให้ได้มากพอ
เมื่อนั่งลงตรงหน้ากองกระดาษแผ่นเล็กที่เป็นตัวแทนของแต่ละธาตุ ลูเซียนก็กำลังจะทำงานวิจัยของตนเองต่อ แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงความร้อนตรงอก
ความร้อนนี้มาจาก ‘มงกุฎสุริยัน’! มันกำลังเตือนลูเซียนว่ามีสัตว์ประหลาดประเภทผีดิบเข้ามาใกล้!
สีหน้าลูเซียนยังคงนิ่งสงบไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เขาคิดในใจอย่างรวดเร็ว ‘จะต้องมีผีดิบที่แข็งแกร่งมากอยู่ข้างตัวฉันแน่… แต่ทำไมมันถึงไม่โจมตีกันล่ะ มันพยายามจะดูว่าฉันทำอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ”
‘มงกุฎสุริยัน’ คือศัตรูที่เหล่าผีดิบไม่มีทางเอาชนะได้!
……………………..