ในเมื่อลูเซียนสามารถทะลุมิติมายังอีกโลกหนึ่งได้ เขาจึงไม่ประหลาดใจหรือหวาดกลัวกับการที่เขามีห้องสมุดทั้งห้องมาอยู่ในห้วงความคิด แต่สิ่งที่ทำให้เขามึนงงก็คือการที่หนังสือส่วนใหญ่ถูกผนึกเอาไว้
เขาพยายามทำให้ใจสงบเพื่อที่ภาพจำลองของหนังสือจะกลายเป็นสิ่งที่ ‘จับต้องได้’ มากกว่าเดิม เขาไล่ดูไปทีละเล่มแล้วจดชื่อเล่มที่เขาเปิดอ่านได้และเล่มที่เปิดอ่านไม่ได้
“ประวัติศาสตร์เปิดอ่านได้”
“เศรษฐศาสตร์ก็ไม่มีปัญหา”
“ศิลปะก็อ่านได้”
“คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี แล้วก็ชีววิทยา…บางเล่มถูกผนึกไว้”
“เป็นเพราะอยู่อีกโลกหนึ่งเลยเปิดอ่านหนังสือพวกนี้ไม่ได้งั้นเหรอ แต่ฉันยังนึกถึงความรู้ที่ได้จากตอนเรียนมหาลัยได้ มันไม่โดนปิดกั้น”
หนังสือส่วนใหญ่ที่ไม่ถูกผนึกเอาไว้เป็นหนังสือระดับชั้นมัธยมต้น แต่มันไม่มีทางที่ห้องสมุดเฉพาะของมหาวิทยาลัยจะเก็บรวบรวมหนังสือเรียนชั้นมัธยมต้นเอาไว้ จะมีก็แต่ชิ้นงานวิจัยสำหรับการสอนและข้อมูลยุคกลางสำหรับให้นักศึกษาใช้อ้างอิงในการเขียนรายงานตัวจบที่อยู่กระจัดกระจายไปทั่ว
ในห้องสมุดมีหนังสือเยอะมาก ลูเซียนค้นพบปัญหานี้หลังจากอ่านไปได้ไม่กี่เล่ม แต่เขาไม่แน่ใจ และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
ลูเซียนเพิ่งหายป่วย เขาจึงอ่อนแอมากเสียจนสภาพจิตใจเขาย่ำแย่ไปด้วย หลังจากอ่านหนังสือหลายเล่มติดต่อกันไม่หยุด ความคิดเขาก็เริ่มสับสนและไม่อาจคงสภาพห้องสมุดไว้อีกต่อไปได้
เขาลากเท้ากลับไปยังเตียงนอนเพื่อนอนหลับพักผ่อนให้เต็มอิ่ม เขาจะได้ตื่นมาเผชิญหน้ากับวันถัดไป ตอนนี้เหลือแค่ขนมปังก้อนเดียวแล้ว การเอาชีวิตรอดคือเรื่องสำคัญอันดับแรก ลูเซียนเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดีเช่นกัน
ขณะที่ในหัวเขาเริ่มว่างเปล่าและกำลังจะผล็อยหลับเข้าสู่ห้วงความฝันนั้น เสียงหนูร้องดังจี๊ดๆ เสียดหูกับเสียงกัดแทะไม้ก็ปลุกเขาตื่น
“หนูงั้นเหรอ”
ทีแรก เขาไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่ เพียงพลิกตัวและพร้อมจะนอนหลับต่ออีกครั้ง แต่เสียงกลับดังขึ้นและน่ารำคาญมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนใครสักคนกำลังครูดฟันไปมากับก้อนหินท่ามกลางความเงียบสงัด ทำให้ลูเซียนหลับไม่ลงอีกต่อไป
เขารออยู่นาน แต่เสียงกัดแทะนั้นก็ยังไม่หยุด ลูเซียนพยายามจะปิดหูทั้งสองข้างด้วยผ้าห่มแต่ความพยายามนั้นก็สูญเปล่า เสียงนั้นมีพลังในการทะลุทะลวง และมันก็ให้ความรู้สึกเหมือนดังมาจากทุกทิศทาง
“ให้ตายสิวะ!” ลูเซียนสบถออกมาเสียงดังอย่างหัวเสีย เขาแทบจะกลายเป็นคนเสียสติ ไหนจะต้องกินอาหารรสชาติเหมือนไม้ เสื้อผ้าตัดหยาบๆ พวกนี้ก็ระคายผิวเหลือเกิน แถมผ้าห่มก็ไม่ได้ให้ความอบอุ่นเท่าใดและเก่าจนแทบมองไม่ออกมามันทำมาจากผ้าชนิดไหน แล้วตอนนี้แม้แต่จะนอนเขาก็ยังทำไม่ได้! จี๊ดๆๆ…จี๊ดๆๆ…เขาได้ยินเสียงร้องที่ดังราวกับมีหนูนับพันๆ ตัวกำลังตะกุยผนัง
ลูเซียนขบฟันด้วยความโมโห เขาตัดสินใจที่จะฆ่าหนูสักตัวสองตัวเพื่อทำให้ตัวอื่นๆ กลัวจนหนีไป จึงลงจากเตียงและพยายามเงี่ยหูฟัง ขณะที่ในใจสบถสาบานว่า
‘ฉันจะต้องฆ่ามันให้เร็วที่สุด!’
ขณะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ลูเซียนก็พยายามหาที่มาของเสียง
จี๊ดๆๆๆ…โฮ ฮือ…
ลูเซียนตั้งสมาธิ แล้วก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เขาได้ยินคือเสียงหนูร้อง และเสียงคนร้องไห้
ฮือๆๆ โฮ…
ท่ามกลางความเงียบงันยามราตรี เสียงหนูร้องและกัดแทะไม้เงียบหายไปแล้ว เหลือเพียงเสียงร้องไห้คร่ำครวญที่ยังหลงเหลืออยู่
หัวใจลูเซียนเต้นถี่รัวจนเหมือนเลือดทุกหยดขึ้นมากองอยู่ในสมองเขา ประสาทสัมผัสทุกส่วนเฉียบคมขึ้นอย่างยิ่ง และคล้ายกับว่าเขาจะได้ยินเสียงสายลมเย็นๆ ยามราตรีโชยผ่านประตูพังๆ เข้ามา และเสียงร้องไห้นั้นก็เหมือนกับกำลังขับร้องเพลงที่ทำให้เห็นภาพหมอกมัว คล้ายกึ่งฝันกึ่งจริง
หลังลุกขึ้นจากเตียง ลูเซียนก็ตรงไปที่ลังไม้โดยสัญชาตญาณ และคว้าก้อนขนมปังที่เหลืออยู่มาป้องกันตัว อย่างไรเสีย มันก็แข็งพอจะทำให้ขโมยสลบได้
ฮือๆๆ…ฮือๆๆๆ…
ลูเซียนนึกสงสัยว่าเสียงตึกตักอึกทึกที่เขาได้ยินคือเสียงอะไร แต่ก็นึกขึ้นได้ในทันทีว่านั่นคือเสียงหัวใจเขาเองที่ดังก้องอยู่ในหู
สายลมพัดโหม ลูเซียนกระชับมือที่จับก้อนขนมปังให้แน่นขึ้น ความหวาดกลัวในใจเริ่มเพิ่มพูน ‘นี่เป็นโลกแห่งเวทมนตร์และพลังศักดิ์สิทธิ์ บางทีมันอาจจะมีผีกับวิญญาณอยู่ด้วยก็ได้!’
โชคดีที่เขาเพิ่งประสบกับการทะลุมิติ และช่วงกลางวันเขาก็เพิ่งได้เห็นพลังศักดิ์สิทธิ์และการเผาคนทั้งเป็นที่น่าหวาดหวั่นเขย่าขวัญกับตา ลูเซียนจึงไม่เข่าอ่อนในสถานการณ์เลวร้ายนี้ ความคิดเขาว่างเปล่า ในขณะที่จิตเขาเกร็งเครียด แต่เขาก็พยายามอย่างที่สุดในการหายใจให้ช้าลงและทำใจให้สงบ
ลูเซียนเดินตรงไปทางประตูทีละก้าวๆ และรับรู้ว่าเสียงร้องไห้นั้นมาจากทิศทางใด
เสียงร้องไห้นั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศกสิ้นหวัง คืนนี้เป็นคืนอันเงียบสงัด ดูเหมือนว่าเพื่อนบ้านเขาทุกคนกำลังฝันหวานกันอยู่ และไม่มีใครมีปฏิกิริยาเลย
‘เหมือนว่าเสียงจะดังมาจากผนังด้านขวา’ ยิ่งลูเซียนขยับเข้าไปใกล้ประตูมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ‘เดี๋ยวนะ บ้านที่อยู่ด้านขวาคือบ้านของแม่มดที่เพิ่งตายไปไม่ใช่เหรอ’
เขานิ่งอึ้งไป ‘แต่บ้านเธอโดนคนจากโบสถ์เผาวอดไปแล้วนี่ หรือว่าพวกเขาจะมองข้ามอะไรไป อย่างพวกห้องลับที่เก็บซ่อนสิ่งทดลองชั่วร้ายของเธอเอาไว้อะไรแบบนั้น’
ความคิดลูเซียนไถลออกนอกลู่นอกทางเมื่อนึกถึงห้องลับที่เหมือนกับในนิยายที่เขาเคยอ่าน คำว่า ‘การพบเจอเรื่องแปลกๆ’ ‘สมบัติ’ และ ‘บันทึกเวทมนตร์’ พลันฉายวาบในหัว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโลภขึ้นมาเล็กน้อย
โฮๆๆ…
เสียงร้องคร่ำครวญเสียดแทงหูกระชากเขากลับมายังความเป็นจริง ‘เออ…คิดถึงความจริงหน่อย ต้องมีบางอย่างเฝ้าอยู่ที่นั่นแน่ๆ ฉันจะสู้กับผีด้วยขนมปังในมือได้อย่างไรกัน’
‘ฉันก็แค่คนธรรมดาที่เพิ่งฟื้นจากความเจ็บป่วยร้ายแรง แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าวิญญาณแค้นบนโลกนี้แข็งแกร่งแค่ไหน ไม่รู้ว่าจุดอ่อนมันคืออะไร และไม่รู้ว่าต้องจัดการกับมันอย่างไรอีกด้วย’
‘เป็นไปได้ว่าฉันจะโดนฆ่าแล้วถูกผีร้ายสิงสู่แทนน่ะสิ!’
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งหวาดผวา ตอนนี้เขาระแวดระวังตัวมากขึ้น ลูเซียนนึกดีใจที่จิตใจเขาไม่ถูกความละโมบเข้าควบคุม มิเช่นนั้นเขาคงติดบ่วงความโลภแล้วรีบร้อนไปหามัน
‘แต่ฉันไม่อยากจะรออยู่ที่นี่ ไม่มีใครรู้ว่าวิญญาณแค้นจะพยายามเข้ามาหาฉันหรือเปล่า’ สมองลูเซียนทำงานเร็วจี๋เพื่อคิดหาทางรับมือ
ทันใดนั้น ลูเซียนก็นึกแผนการบางอย่างออก เขานึกไปถึงขุมพลังที่เขาสามารถไปขอความช่วยเหลือได้ เขาจึงค่อยๆ จับที่จับประตูด้วยกลัวว่าวิญญาณร้ายอาจผุดขึ้นมาต่อหน้าหรือข้างหลังเขา ตอนนี้ก้อนขนมปังดำๆ ในมือเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เขาเปิดประตูช้าๆ หน้าผากเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเย็นๆ
ประตูไม้แง้มออก ข้างนอกนั้นก็มืดสนิท และเขาก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวของสายลม
ลูเซียนก้าวออกมาจากประตูและมองเห็นแสงไฟริบหรี่จากที่ไกลๆ
ข้างนอกนี่ไม่มีอะไรที่ชวนเขย่าขวัญ และหลังจากที่เขาออกมาจากกระท่อม เสียงร้องไห้ก็เบาลงเล็กน้อย เขารู้สึกโล่งอกขึ้นมานิดๆ จึงสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็แผดเสียงตะโกนให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ผี! ผีจะฆ่าคน!”
มันดังมากเสียจนแม้แต่ตัวลูเซียนเองยังตกใจ และเขาก็คาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นผลมาจากการตะโกนด้วยแรงทั้งหมดที่เขามี
“โฮ่งๆๆ” สุนัขหลายตัวเห่ารับกันอย่างบ้าคลั่ง
ขณะฟังเสียงเหล่านั้น ลูเซียนก็เริ่มออกตัววิ่งไปยังโบสถ์ คนพวกนั้นเป็นมืออาชีพในการจัดการกับเรื่องพวกนี้นี่นะ!
ในฐานะอดีตเพื่อนบ้านของแม่มด คนจากโบสถ์อาจจะยังจับตามองเขาอยู่และนั่นทำให้มีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งคือ การที่ลูเซียนไปขอความช่วยเหลือด้วยตัวเองจะช่วยให้พวกเขาวางใจในตัวลูเซียนมากขึ้นพร้อมกับลดความระแวงลง
ลูเซียนตะโกนเสียงดังมากจนปลุกชาวบ้านตื่น ดังนั้นถ้าพวกเขาคิดจะปล้นเอาสมบัติแล้วใส่ร้ายเขาหรือถึงขั้นฆ่าเขาเพราะเรื่องนี้ พวกเขาจะทำแบบนั้นต่อหน้าสาธารณชนไม่ได้
เขาได้พยายามอย่างที่สุดในการคิดหาทุกวิถีทางเอาชีวิตรอดในชั่วเวลาสั้นๆ
โบสถ์อาเดรอนอยู่ไม่ไกลนัก ไม่นานเขาจึงมองเห็นตัวตึกที่มีแสงเทียนส่องสว่างออกมาจากทางหน้าต่าง
ยามรักษาการณ์สวมเกราะสองนายยืนเฝ้าประตูหน้า เมื่อเห็นลูเซียนวิ่งตรงมาหาพวกเขาด้วยความตื่นตระหนก ยามคนหนึ่งจึงชักดาบออกจากฝักด้วยความตื่นตัว
“เจ้ามาทำอะไรที่โบสถ์” ยามอีกคนถามขณะเอื้อมมือมาหยุดลูเซียน
ลูเซียนตอบด้วยเสียงสั่นเทาโดยที่เขาไม่ต้องเสแสร้ง “ผี ข้าได้ยินเสียงร้องไห้ของผีดังมาจากบ้านนางแม่มดที่เพิ่งถูกเผาในวันนี้!”
ยามทั้งสองพลันตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ในฐานะทหารยามที่เพิ่งได้รับเลือกเข้ามา เขาจึงไม่อาจบอกได้ว่าลูเซียนพูดความจริงหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงขอให้คู่หูยืนเฝ้าอยู่ที่นี่ ส่วนตัวเองก็เข้าไปในโบสถ์เพื่อรายงานเรื่องนี้ให้กับบาทหลวงที่อยู่กะในคืนนี้ เสียงจากเสื้อเกราะห่วงร้อยดังไกลออกไปจนกระทั่งเงียบหายเข้าไปในความมืดมิด
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง บาทหลวงหนุ่มผมสีบลอนด์ในชุดคลุมสีขาวก็เดินออกมาที่หน้าประตูพร้อมกับยามผู้นั้น
บาทหลวงผู้นี้มีใบหน้าตอบผอม ท่าทางการเดินนั้นดูสง่าสงาม “ข้าคือบาทหลวงเบนจามิน เจ้าช่วยบอกข้าได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
ยามรักษาการณ์ทั้งสองยืนเงียบ ด้วยเกรงว่าเสียงใดก็ตามจากพวกเขาอาจรบกวนบาทหลวงเบนจามิน
ลูเซียนเล่ารายละเอียดว่าเขาได้ยินเสียงผีร้องไห้อย่างไร ว่าเขาออกมาจากบ้านตัวเองอย่างไรและวิ่งมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือด้วยความสุภาพและจริงใจ
หลังจากได้รับฟังเรื่องราว เบนจามินก็แย้มยิ้มอ่อนโยนให้ลูเซียน “เจ้าทำดีแล้ว ลูกเอ๋ย ความกล้าหาญของเจ้าแสดงให้เห็นถึงการอุทิศตนให้แก่พระผู้เป็นเจ้า”
เขาชมลูเซียนไม่กี่คำ จากนั้นก็หันไปสั่งยามทั้งสอง “ทอมสัน ไปเรียกแกรี่ พอล แล้วก็อัศวินอีกสองคนมาที่นี่ นางแม่มดนั่นเป็นแค่ผู้ฝึกใช้มนตรา ไม่มีความจำเป็นอันใดจะต้องรายงานเรื่องนี้กับท่านบิช็อป”
“ขอรับ ลอร์ดเบนจามิน” ทอมสันตอบรับอย่างยำเกรง แม้ว่าเบนจามินจะเป็นเพียงบาทหลวงระดับพื้นฐาน เขาก็สามารถรับมือกับกับดักหรือมนตราที่หลงเหลือจากเวทมนตร์ของผู้ฝึกใช้มนตราได้ เพราะความต่างระหว่างผู้ฝึกใช้มนตราและบาทหลวงที่ผ่านการแต่งตั้งมาแล้วนั้นห่างไกลกันอย่างยิ่งยวด
เบนจามินถามชื่อลูเซียนและหยุดบทสนทนาของทั้งสองไว้เพียงเท่านั้นเมื่ออัศวินสี่นายมาถึง พวกเขาเองก็สวมเสื้อเกราะห่วงร้อยเช่นกัน แต่ต่างดูสง่างามกว่ายามอีกสองคนมาก
ฝูงชนมารวมตัวกันไม่ห่างจากกระท่อมของแม่มดที่ถูกเผาวอดไปแล้ว แสงเทียนส่องวูบวาบเหมือนกับดวงดาราที่กระจัดกระจายอยู่ทั่ว ราวกับจะอยู่เป็นเพื่อนดวงจันทร์บนท้องนภา
ลูเซียนเพิ่งค้นพบว่าดวงจันทร์ของโลกนี้เป็นสีเงิน
ผู้คนหยุดกระซิบกระซาบกันเมื่อเบนจามินปรากฏตัว ฝูงชนพลันรู้สึกโล่งอกและเริ่มขยับเข้ามาใกล้กระท่อมของแม่มดมากขึ้นพร้อมกับพูดคุยกันเอง
“ข้าไม่เห็นได้ยินเสียงอะไร”
“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็ไม่เสียหายที่จะทำพิธีชำระล้างที่นี่”
ทว่าลูเซียนยังคงได้ยินเสียงร้องไห้นั้น เขาคิดกับตัวเองว่า ‘ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่ได้ยินเสียงนั้นกันล่ะ’
ราวกับรับรู้ถึงความคิดเขา เบนจามินตอบลูเซียนอย่างสงบนิ่ง “ใช่ ที่นี่มีผีอยู่จริงๆ”
เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินเสียงนั้น
เช่นเดียวกับอัศวินทั้งสี่ที่พยักหน้าแสดงความเห็นพ้อง
————————————————