หลังจากอ่านสูตรต่างๆ ในบทความอย่างคร่าวๆ ลูเซียนก็พบว่าสูตรในโลกนี้สอดคล้องกับสิ่งที่เขาเคยเรียนที่โรงเรียน หากคำนวณไม่ผิด นักเวทจะสามารถรู้ตำแหน่งของดาวเคราะห์ได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดเคยไปเหยียบดาวเป้าหมายได้เลย รวมถึงตัวผู้เขียนบทความนี้ด้วย
‘แปลกจริง…’ ลูเซียนพูดในใจด้วยความรู้สึกสับสน จากนั้นเขาก็เห็นข้อความแนะนำตัวผู้เขียน
โอลิเวียร์ คอนสแตนติน เจ้าแห่งศาสตร์เวทชั้นสูง จอมเวทรชั้นตำนาน ผู้บรรลุ “หัตถ์ทำลายล้าง” ระดับสาม
‘ดูเหมือนว่าตำแหน่งเจ้าแห่งศาสตร์เวทชั้นสูงจะสูงกว่าจอมเวทชั้นตำนานอีกแฮะ และสองตำแหน่งนี้ก็ไม่ซ้อนทับกัน น่าจะมาจากระบบการประเมินหรือจัดอันดับที่แตกต่างกัน ระบบการจัดอันดับจะดูว่านักเวทมีพลังแข็งแกร่งแค่ไหน ส่วนระบบการประเมินขึ้นอยู่กับผลการศึกษาการใช้อาร์คานา…” ลูเซียนเดา เมื่อเขาไล่ดูบทความของผู้เขียนคนอื่นๆ ในวารสารแล้ว ปรากฏว่าสิ่งที่เขาเดานั้นถูกต้อง โดยผู้เขียนบทความทุกคนจะมีตำแหน่งคนละสองตำแหน่งที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ‘เจ้าแห่งศาสตร์เวทชั้น 8 และผู้วิเศษด้านโหราศาสตร์ชั้น 9’ ‘เจ้าแห่งศาสตร์เวทชั้น 6 และผู้วิเศษด้านธาตุขั้นที่ 8’…ลูเซียนสังเกตอีกว่าส่วนใหญ่แล้ว ระดับการใช้ศาสตร์เวทอาร์คานาของผู้เขียนนั้นจะต่ำกว่าอันดับพลังเวทมนตร์ของพวกเขา ดูเหมือนว่าความสำเร็จในการศึกษาทางวิชาการนั้นยากกว่า
บทความอื่นๆ ในวารสาร ได้แก่
‘การศึกษาเรื่องคลื่นในเวทมนตร์บางประเภท’
‘ระเบียบวิธีผลต่างและอนุกรมอนันต์โดยสังเขป’
‘แนวคิดเรื่องปัญหาสะพานทั้งเจ็ด’
‘การเปลี่ยนแปลงร่วมระหว่างกระแสไฟฟ้ากับแม่เหล็กในเวทมนตร์’
…
‘ธาตุใหม่ที่ได้จากการสังเคราะห์โดยวิธีใหม่’
‘ข้อถกเถียงอันไม่รู้จบ: พลังจิตดำรงอยู่ในรูปของคลื่นหรืออนุภาค – การศึกษาเรื่อง ‘พายุดวงจิต’’
…
ขณะที่ลูเซียนกำลังอ่านวารสาร นักเวทฝึกหัดคนอื่นก็แอบสังเกตเขาอยู่
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ลูเซียนก็เห็นภาพรวมจากวารสารเล่มนี้
การศึกษาศาสตร์อาร์คานาในโลกนี้เทียบได้กับการศึกษาวิทยาศาสตร์ในโลกปกติ ความก้าวหน้าทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ที่โลกนี้เทียบกับโลกปกติช่วงกลางศตวรรษที่ 18 แคลคูลัสเพิ่งถือกำเนิด ส่วนความรู้เรื่องเรขาคณิตก็ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ความรู้ทางกลศาสตร์และแรงแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังก้าวหน้าเช่นกัน ในขณะเดียวกัน เวทมนตร์ที่โลกนี้ก็ไปไกลเกินกว่าวิทยาศาสตร์ในโลกปกติจะเข้าใจ ตัวอย่างเช่น เวทกระโดดข้ามข้ามอวกาศ
ส่วนธาตุเวทมนตร์นั้น ใกล้เคียงกับความก้าวหน้าทางวิชาเคมีสมัยต้นศตวรรษที่ 19 นักวิจัยหรือก็คือเจ้าแห่งศาสตร์เวท เป็นผู้ค้นคว้าว่าอนุภาคใดที่ก่อให้เกิดธาตุต่างๆ และระบุว่าดิน ไฟ ลม และน้ำ จริงๆ แล้วไม่ใช่ธาตุ นอกจากนี้ พวกเขายังเริ่มวัดค่าน้ำหนักของอะตอมด้วย
แต่วารสารฉบับนี้ตีพิมพ์เมื่อยี่สิบปีก่อน ลูเซียนคาดว่าปัจจุบันความก้าวหน้าของศาสตร์อาร์คานาคงไปได้ไกลมากแล้ว
เมื่อปิดวารสาร ลูเซียนก็พบว่านักเวทฝึกหัดทั้งหมดมองเขาอยู่ เขาจึงยิ้มและเอ่ยถาม “เป็นวารสารที่น่าสนใจมาก ข้าขอนำไปอ่านสักสองสัปดาห์ได้ไหม?”
“ก็ถ้าท่านตอบคำถามข้าได้ ศาสตราจารย์” เสียงเจ้าของนามแฝงนักปราชญ์ฟังดูแก่มากทีเดียว
“แน่นอน นักปราชญ์ ท่านถามมาได้เลย” ลูเซียนค่อนข้างมั่นใจ และรู้ว่านักเวทฝึกหัดสูงวัยกว่าคนนี้กำลังพยายามทดสอบเขา เขาเชื่อว่าตัวเขามีความรู้พอที่จะตอบคำถามได้
นักปราชญ์หยิบกระดาษปึกหนึ่งออกมา มีคำและตัวเลขอยู่บนกระดาษ
“ศาสตราจารย์ เนื่องจากท่านเชี่ยวชาญธาตุเวทมนตร์และโหราศาสตร์ ข้ามีคำถามเกี่ยวกับบทความบทแรกในวารสาร…ครั้งแรกที่ข้าได้เห็นสูตรเหล่านี้ซึ่งสามารถทำนายวิถีการโคจรของดวงดาว ข้ารู้สึกหลงใหลยิ่งนัก แต่ข้าไม่รู้ว่าสูตรเหล่านี้มาจากไหนและทำไมมันถึงทำนายออกมาได้ ท่านช่วยอธิบายได้หรือไม่?”
ดูเหมือนเป็นคำถามที่ถามเผื่อนักเวทฝึกหัดในที่นี่ทุกคน พวกเขาหันมาและรอคำตอบจากลูเซียน
ตามที่ลูเซียนคาด สิ่งที่นักปราชญ์ถามนั้นเกี่ยวข้องกับกลศาสตร์ท้องฟ้า เขาตอบอย่างสงบนิ่ง “คำถามของท่านต้องใช้เวลามากถึงจะตอบได้ละเอียด เพราะมันประกอบด้วยความรู้หลายด้าน คืนนี้ข้าจะอธิบายหลักการพื้นฐานของสูตรนี้และวิธีการใช้มัน ท่านตกลงไหม?”
“ตกลง ท่านศาสตราจารย์” นักปราชญ์ตอบอย่างสุภาพ
“สัญลักษณ์นี้แสดงถึงค่าคงตัวความโน้มถ่วง พวกท่านบางคนอาจจะสงสัยว่าความโน้มถ่วงคืออะไร ความโน้มถ่วงคือแรงที่ทำให้เราตกลงบนพื้นเมื่อกระโดด โดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์ใดๆ แรงแบบที่ทำให้แอปเปิลหล่นน่ะ ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า และมันเป็นความจริงเสมอ…”
ลูเซียนพยายามอธิบายง่ายๆ เมื่อนักเวทฝึกหัดคนอื่นๆ ถามแทรกว่าทำไม เขาจะตอบเพียงแค่ว่า “การจะคำถามนี้ ต้องอาศัยแนวคิดและหลักการหลายอย่าง ซึ่งท่านอาจจะยังไม่เข้าใจเพราะเป็นนักเวทฝึกหัดอยู่ เมื่อพวกท่านได้เป็นนักเวทจริงๆ แล้ว ท่านจะศึกษาเรื่องพวกนี้ได้ง่ายขึ้น”
นักปราชญ์ถอนหายใจ “ในโลกแห่งเวทมนตร์นี้ การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าตัวเองก้าวหน้าเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่บัดนี้ข้าตระหนักแล้วว่ายังห่างไกลนัก”
นักเวทฝึกหัดที่เหลือต่างพยักหน้า จากสูตรเหล่านี้ ถึงแม้ว่า ‘ศาสตราจารย์’ ลึกลับคนนี้ไม่ได้อธิบายว่า ‘ทำไม’ แต่เขาให้ความกระจ่างว่า ‘อย่างไร’ ซึ่งพวกเขาได้แนวคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับวิธีวิเคราะห์และสร้างโครงสร้างเวทมนตร์ใหม่ๆ
หลังลูเซียน ‘บรรยาย’ จบ นักปราชญ์ก็นิ่งเงียบ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็หยิบปากกาขนนกมาเขียนตัวเลขลงบนกระดาษอย่างกระตือรือร้น ผู้ฝึกใช้เวทมนตร์คนอื่นๆ ต่างจมอยู่ในห้วงความคิด
“ท่านศาสตราจารย์ ข้าอยากขออภัยที่สงสัยว่าท่านหลอกลวง…” น้ำผึ้งขาวเป็นสตรี ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดอะไรมากนัก “ท่านเป็นนักเวทที่สง่างามและมีความรู้ที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ” ถึงแม้นางจะพยายามทำเสียงให้เหมือนหญิงสูงวัย แต่นางก็ตื่นเต้นจนไม่อาจซ่อนเสียงจริงๆ อันมีเสน่ห์ได้
จากสิ่งที่นางพูด ลูเซียน สไมล์ และโอ๊ก ลงความเห็นว่านางเป็นสมาชิกกลุ่มนักเวทฝึกหัดหลายกลุ่ม
ลูเซียนตอบด้วยเสียงแสร้งแข็งกร้าว “ข้ายอมรับคำขอโทษของเจ้า แต่อันที่จริง ข้าไม่สนหรอกว่าคนอื่นจะคิดยังไง ความรู้และพลังอยู่กับตัวข้าเสมอ”
…
ต่อมา เมื่อน้ำผึ้งขาว สไมล์ และโอ๊ก แลกเปลี่ยนวัตถุสำหรับสร้างเวทมนตร์กัน ลูเซียนก็ขอซื้อบางอย่างมาด้วย
นักปราชญ์วางมือขวาบนหน้าผาก แล้วค้อมตัวต่ำให้ลูเซียน อันเป็นมารยาทของนักเวทโบราณ
“ข้าอยากแสดงความขอบคุณจากใจจริงแก่ท่านผู้ชี้แนะ” นักปราชญ์เอ่ย “คำอธิบายของท่านไขข้อข้องใจของข้าได้มาก ข้าหวังว่า ด้วยความช่วยเหลือของท่าน ข้าจะสามารถหาวิธีวิเคราะห์เวทโหราศาสตร์ขั้นที่ 1 เพื่อที่จะได้เป็นนักเวทจริงๆ ท่านศาสตราจารย์ ข้าหวังว่าท่านจะรับอุปกรณ์การทดลองทั้งชุดนี้แทนคำขอบคุณของข้า นอกจากนี้ ท่านยังสามารถเลือกวัตถุสำหรับสร้างเวทมนตร์ของข้าไปได้อีกหนึ่งชิ้น”
“ท่านศาสตราจารย์ ข้าได้ยินมาว่าท่านต้องการเห็ดซากศพ ข้าก็นำติดตัวมาด้วย ข้าไม่แน่ใจว่าท่านยินดีจะตอบคำถามข้าหรือไม่…” เมอร์คิวรีเป็นสตรีอีกคนหนึ่งในกลุ่ม เสียงของนางฟังดูประหม่าทว่าตื่นเต้น
นักเวทฝึกหัดคนอื่นๆ มองลูเซียนด้วยความนับถือ ปรารถนาจะได้ความรู้เพิ่มเติมจากเขา
ลูเซียนเริ่มรู้สึกว่าเขาคือ “ศาสตราจารย์” ตัวจริงเสียแล้วสิ
……………………………………….