บทที่ 125 การนอกใจ
บทที่ 125 การนอกใจ
ซูโย่วอี๋พยักหน้าอย่างเขิน ๆ “ค่ะ”
ลู่เฉินดึงเธอให้เดินออกไปข้างนอกด้วยกัน
“คุณทำอะไร?”
“ไปส่งคุณกลับบ้าน” แววตาของเขามุ่งมั่นมาก
“คุณดื่มไวน์ไปนะ ขับรถไม่ได้”
ลู่เฉินพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ผมมีคนขับรถ”
เมื่อซูโย่วอี๋เอาชนะเขาไม่ได้ อีกทั้งการมีคนไปส่งมันก็ดีกว่ากลับเอง เธอจึงเดินตามลู่เฉินขึ้นรถไป
รอบนี้ไม่ต้องรอให้คนขับรถถามว่าจะไปที่ไหน ลู่เฉินก็บอกทางไปที่อยู่ของเธออย่างชำนาญ
ตลอดทาง ลู่เฉินเอาแต่จับมือซูโย่วอี๋ไว้ไม่ยอมปล่อย
ต่อให้อากาศจะร้อนจนมือของทั้งสองคนเต็มไปด้วยเหงื่อ ลู่เฉินก็ไม่ยอมปล่อยมือ
แต่เมื่อซูโย่วอี๋อยากจะผละมือออก ลู่เฉินก็เหลือบมองเธอด้วยสายตาไม่พอใจราวกับว่าเธอทำอะไรผิด
เธอเพียงต้องการเอามือของตัวเองออกมามันผิดเหรอ?
ลู่เฉิน ‘ผิด!’
จนรถขับมาจอดยังหน้าประตูของเขตหัวซี ซูโย่วอี๋ถอนหายใจออกมาและเธอก็พยายามยิ้ม “ประธานลู่คะ ฉันถึงบ้านแล้ว ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”
ลู่เฉินมองออกไปทางหน้าต่าง พอแน่ใจว่ามาถึงแล้วจริง ๆ จึงยอมปล่อยมือออกอย่างไม่ค่อยเต็มใจ “อืม”
“ผมส่ง…” เขายังไม่ทันพูดจบ ซูโย่วอี๋ก็รีบเปิดประตูรถกระโดดลงไปพร้อมกับวิ่งอย่างรวดเร็ว
ลู่เฉินที่มองตามหลังของซูโย่วอี๋ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ส่วนคนขับรถมองด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าท่านประธานกำลังหัวเราะอะไร
เขาถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ประธานลู่ ไปไหนต่อครับ?”
รอยยิ้มบนหน้าของลู่เฉินจางหายไปทันที และกลับมาเป็นสีหน้าไร้อารมณ์ตามเดิม
“คุณไปที่ป้อมรปภ. และเอาทะเบียนรถของผมลงบันทึกไว้ด้วย” ต่อไปเวลามาส่งเธอกลับบ้านจะได้เข้าไปในลานจอดรถได้
คนขับรถ ‘…???’
เขาถามอย่างระมัดระวังว่า “จะใช้ฐานะอะไรในการบันทึกครับ?”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคงไม่บันทึกยานพาหนะของผู้ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในเขตอย่างมั่วซั่ว และด้วยไอคิวของลู่เฉินคงไม่น่าจะทำเรื่องอะไรโง่เง่าแบบนี้
ลู่เฉินคิดสักพัก “ช่างเถอะ กลับบ้าน”
พอไปได้ครึ่งทาง คุณปู่ลู่ก็โทรมาหาเขาและบอกให้กลับบ้าน จึงทำให้เขาต้องกลับรถไปยังทางตรงกันข้าม
เมื่อมาถึงเวลายังไม่ถึงสามทุ่ม คุณปู่ลู่กำลังดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น ยังไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นมาก็ได้กลิ่นเหล้าโชยมาเบา ๆ
“เมาเหรอ?”
เขารู้ความสามารถในการดื่มเหล้าของหลานชายดี เหล้าขาวก็หนึ่งแก้ว ถ้าเป็นไวน์แดงก็พอทน ชายชราบอกให้แม่บ้านไปทำซุปแก้เมาค้างมา
ส่วนลู่เฉินนั่งลงบนเก้าอี้ที่ไม่ไกลมากนัก “เปล่าครับ คุณปู่เรียกผมมามีอะไรครับ?”
คุณปู่ลู่มองมา “ช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับโย่วโย่ว ปู่รอมาจนถึงตอนนี้และเพิ่งมาถามหลาน ซึ่งปู่หมดความอดทนแล้วจริง ๆ”
ลู่เฉินคลายคอเสื้อออก และถอนหายใจที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ออกมา “อืม”
“เจ้านี่” คุณปู่ลู่ที่เห็นท่าทีเย็นชาของหลานก็โกรธขึ้นมา แต่จู่ ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้และใจเย็นอีกครั้ง “หลานคิดยังไงกับโย่วโย่ว?”
คิดยังไง?
แน่นอนว่าคิดอยากกอดเธอไว้!
คิดว่าอยากจูบเธอ!
คิดว่าอยากจับมือเธอ!
ลู่เฉินเริ่มสงสัยอีกครั้ง “คุณปู่ถามอะไรเนี่ย?”
คุณปู่ลู่มองหลานชายแป๊บเดียวก็รู้ว่าเขาระมัดระวังตัวมาก ผู้หญิงธรรมดา ๆ ไม่มีทางอยู่ในสายตาของเขาได้ หากจะพูดถึงตอนแรก คุณปู่ลู่เองก็สนใจในสองคนนี้อยู่ เขาคิดว่าขอแค่หลานชายและโย่วโย่วชอบพอกันก็พอ
แต่เด็กที่โดดเดี่ยวก็ยังเป็นเด็กที่โดดเดี่ยว เดิมทีตระกูลลู่ก็เป็นตระกูลที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ไม่ว่าหลานสะใภ้จะมีพื้นเพยังไงก็ไม่สำคัญ
แต่เรื่องหย่าร้างที่แพร่ออกมา เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้ง่าย ๆ อีกต่อไปแล้ว
โลกนี้มีผู้หญิงมากมาย คุณผู้ชายและคุณนายลู่คงไม่มีทางยอมรับให้สู่ขอผู้หญิงที่เคยหย่าร้างมาก่อนแน่!
แต่ภาพที่ลู่เฉินเช็ดน้ำตาให้กับโย่วโย่วด้วยตัวเองในงานแถลงข่าว คนใกล้ตัวที่เห็นภาพนั้นก็รู้ได้ในทันทีว่าซูโย่วอี๋นั้นแตกต่าง
ลู่เฉินเบิกตาขึ้นเล็กน้อย “พวกเขาให้ปู่มาเตือนผมเหรอ?”
คุณปู่ลู่ชะงักไป พ่อแม่ของลู่เฉินโทรหาเขาจริง ๆ และถามเขาเป็นนัย ๆ ถึงเรื่องระหว่างหลานชายและซูโย่วอี๋ว่าเกิดอะไรขึ้น
“คุณปู่ ถ้าผมบอกว่าผมชอบเธอ ปู่จะขัดขวางไหม?” สายตาของลู่เฉินเต็มไปด้วยความจริงจัง ไม่มีแม้แต่การล้อเล่น
คุณปู่ลู่ผงะ “อาเฉิน หลานพูดจริงเหรอ?”
“ครับ ปู่จะขัดขวางผมไหม?”
คุณปู่ลู่ขมวดคิ้ว และไม่หยุดที่จะกำเม็ดวอลนัตในมือ หลังจากครุ่นคิดสักพักก็พูดขึ้นว่า “อาเฉิน รอจนแกอายุเท่ากับปู่ตอนนี้ ไม่ว่าจะมองอะไรก็คงจะเข้าใจ การที่แกชอบใครได้จากใจจริงเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด”
“ปู่รู้ ปู่เองก็ชอบโย่วโย่วมากและไม่มีทางขัดขวางแน่ แต่พ่อกับแม่ของแกคงไม่เป็นอย่างนั้น”
คุณปู่ลู่พบเจอผู้คนมานับไม่ถ้วน ทันทีที่ได้พบกับซูโย่วอี๋ในพริบตาแรกก็แน่ใจได้ทันทีว่าเธอเป็นผู้หญิงที่จริงใจและจิตใจดี
ลู่เฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ปู่ไม่ว่าก็ดีแล้วครับ ส่วนพวกเขา ไม่ต้องสนใจอะไรหรอก”
“อาเฉิน อย่างไรเสียพวกเขาก็คือพ่อแม่ของหลาน”
ลู่เฉินหัวเราะเยาะ “ทั้งคู่ไม่เคยสนใจผมอยู่แล้ว แต่กลับอยากมาใช้คำว่าพ่อแม่เพื่อควบคุมชีวิตของผม? ในตอนแรกถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา เรื่องของผมและอวิ๋นเหมี่ยวจะเป็นแบบนี้เหรอครับ?”
นี่คือครั้งแรกหลังจากการเลิกรากันที่ลู่เฉินพูดถึงแฟนคนแรกของเขาอย่างอวิ๋นเหมี่ยวขึ้นมา
แต่คุณปู่ลู่กลับไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับผู้หญิงคนนี้ “อาเฉิน อวิ๋นเหมี่ยวกับโย่วโย่วไม่เหมือนกัน ในตอนแรกที่ไม่มีพ่อแม่ของแกเข้ามาแทรกแซง ปู่เองก็ไม่มีทางยอมรับให้เธอเข้ามาในตระกูลลู่แน่”
ในสายตาของหญิงสาวคนนี้มีความเฉลียวฉลาดที่ไม่อาจซ่อนเร้นและหัวใจที่ทะเยอทะยาน!
แต่ดูเหมือนว่าลู่เฉินจะเหนื่อยมากแล้ว เขาหลับตาลง ในหัวของเขาเล่นฉากในอดีตขึ้นมา
อวิ๋นเหมี่ยวคือรักแรกของลู่เฉิน
ลู่เฉินถูกส่งให้ไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย ในความคิดของพ่อแม่คือ ถ้ามีลูกสาวก็ต้องดูแลเอาใจใส่ หากมีลูกชายก็ต้องเข้มงวด ดังนั้นตลอดการไปอยู่ที่นั่น เขาได้รับเพียงค่าครองชีพและค่าเทอม
ปกติแล้วสิ่งที่ลู่เฉินสวมใส่และใช้ล้วนเป็นของธรรมดา ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือทายาทของตระกูลลู่
ซึ่งลู่เฉินเองก็ไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาดูเย็นชา ถ้าไม่ใช่เพราะความโดดเด่น นิสัยเก็บตัวแบบนี้คงถูกคนในโรงเรียนรังแกได้ง่าย
ในช่วงแรก ๆ ลู่เฉินใช้ชีวิตอย่างกดดัน ไม่มีคนใกล้ชิด ไม่มีเพื่อน ไม่มีแม้แต่เงิน
จนกระทั่งตอนที่อวิ๋นเหมี่ยวเข้ามาในโลกของเขา
จริง ๆ แล้วอวิ๋นเหมี่ยวช่วยเขาไว้มาก เธอดีกับลู่เฉินมากจริง ๆ
ภูมิหลังของอวิ๋นเหมี่ยวนั้นธรรมดา ในเดือนเกิดของลู่เฉินเธอกินซาลาเปากับผักดองตลอดทั้งเดือน และนำเงินเก็บของตัวเองไปซื้อนาฬิกาที่เธอคิดว่าแพงที่สุด แต่ในระหว่างทางที่จะเอาของขวัญไปให้ลู่เฉินนั้น เธอกลับเป็นลมจนต้องเข้าโรงพยาบาล
ลู่เฉินนั่งลงข้างเตียงคนป่วย มองใบหน้าขาวซีดของอวิ๋นเหมี่ยว ในใจก็รู้สึกแปลกประหลาดและเขาก็พูดขึ้น “พวกเรามาลองคบกันไหม”
อวิ๋นเหมี่ยวร้องไห้ด้วยความดีใจ และกระโดดขึ้นมาจากเตียงคนไข้เพื่อกอดเขา
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ผ่านช่วงเวลาอันหอมหวานมาด้วยกัน
แต่คิดไม่ถึงว่า ก่อนจะจบการศึกษาอวิ๋นเหมี่ยวกลับมีความสัมพันธ์กับทายาทเศรษฐีที่อยู่หอพักถัดไปจากหอของเขา!
ลู่เฉินจับได้ว่าเธอมีอะไรกับผู้ชายคนนั้นบนเตียงของพวกเขา!
ในตอนนั้นลู่เฉินกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการก่อตั้งบริษัท ทุกวันยุ่งจนไม่ได้ไปไหน และไม่มีเวลาให้กับอวิ๋นเหมี่ยวเลย
แต่ก็คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเหมี่ยวจะนอกใจเขาแบบนี้
เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายและร่างกายที่นัวเนียกันของทั้งสองคน ลู่เฉินโกรธจนพูดไม่ออกและต่อยทายาทเศรษฐีคนนั้นจนปางตาย
เดิมทีทั้งสองคนก็ไม่ถูกกันเป็นทุนเดิม ในมหาวิทยาลัยลู่เฉินผู้เงียบขรึมไม่เพียงสอบได้ที่หนึ่งในทุกชั้นเรียน แม้แต่เหล่าคุณครูก็ชื่นชมเขามาก ด้วยความอิจฉา ทายาทเศรษฐีคนนั้นมักจะคอยหาเรื่องลู่เฉินอยู่ตลอด
ท้ายที่สุดเรื่องพวกนี้ก็ต้องให้พ่อแม่ออกหน้าให้จึงแก้ไขปัญหาได้