บทที่ 141 ความสัมพันธ์อันใกล้ชิด
บทที่ 141 ความสัมพันธ์อันใกล้ชิด
ซูโย่วอี๋นั่งลงบนโซฟาอย่างเงียบ ๆ และหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งจากด้านข้างขึ้นมา แกล้งทำเหมือนว่ากำลังตั้งใจดู แต่ในใจกลับไม่ได้จดจ่ออยู่กับมันเลยสักนิด
ยังไม่ทันจะได้พลิกไปหน้าที่สอง นิตยสารก็ถูกดึงออกไปแล้ว
“น่าดูมากเหรอ?” เสียงทุ้มต่ำของลู่เฉินดังมาจากด้านบน
ซูโย่วอี๋ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง สายตามองไปยังนิตยสารจึงได้รู้ว่าหน้าที่เธอกำลังเปิดดูอยู่นั้นคือรูปภาพของนายแบบผู้ชายที่ท่อนบนเปลือยเปล่า ขนตรงหน้าท้องทอดตัวยาวจนเข้าไปถึงในกางเกงชั้นใน ดูน่าดึงดูดมาก!
ใบหน้าของซูโย่วอี๋เปลี่ยนเป็นสีแดง ดวงตาพร่ามัวในทันที แล้วรีบปิดนิตยสารและเก็บเข้าที่ตามเดิม “ก็งั้น ๆ ทั่ว ๆไป”
หญิงสาวพูดอย่างใจเย็น แต่กลับไม่เหมือนท่าทางของคนที่มีใจบริสุทธิ์เลยแม้แต่น้อย
ลู่เฉินนั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับจับนิ้วมือของเธอไปเล่น “ซูโย่วอี๋ ผมกำลังโกรธอยู่ คุณยังมีอารมณ์ดูผู้ชายคนอื่นอีกเหรอ?”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอันตราย
“เอ่อ ฉันไม่ได้กำลังดูผู้ชาย…”
จากนั้นซูโย่วอี๋ก็พูดต่อไม่ออก เพราะมาพูดเอาตอนนี้ก็เหมือนแก้ตัว
แต่ทันใดนั้นซูโย่วอี๋กลับถูกลู่เฉินกดเอาไว้กับโซฟา
ปลายจมูกของทั้งสองชนกัน
ลู่เฉินสัมผัสริมฝีปากของเธอเบา ๆ ก่อนที่จะกล่าวในลำคอ “ผมจะลงโทษคุณ”
ซูโย่วอี๋ยังไม่ได้ทันได้คิดเลยว่าลงโทษอะไร เธอก็ถูกลู่เฉินประกบริมฝีปากเข้ามาแล้ว
“อือ”
ริมฝีปากของเขาร้อนผ่าว และลิ้มรสริมฝีปากของเธออย่างอ่อนโยนราวกับว่ามันคือกลีบของดอกไม้ ไม่ว่าจะบางเบาหรือรุนแรง รีบร้อนหรืออ้อยอิ่ง
ผ่านไปสักพัก ลู่เฉินค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก และจ้องไปยังริมฝีปากแวววาวของซูโย่วอี๋ที่ชุ่มไปด้วยน้ำลายของเขา ก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างพอใจ
หลังจากนั้นก็จูบลงไปอีกครั้งอย่างไม่รู้จักพอ
ช่วงเวลาที่ซูโย่วอี๋ถูกลู่เฉินกดทับลงมา ทั่วทั้งร่างกายของหญิงสาวแข็งทื่อ มือทั้งสองข้างกำแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจค่อย ๆ ถูกความอ่อนโยนของลู่เฉินทำให้วุ่นวายจนเธอทำตัวไม่ถูก
แต่ลู่เฉินกลับดูเหมือนยังไม่พอใจกับการลิ้มรสเพียงเท่านี้ เขาเริ่มสำรวจไปยังส่วนที่ลึกลงไปอีก ก่อนที่จะพบกับการขัดขวางของซูโย่วอี๋
ลู่เฉินกัดลงไปที่ริมฝีปากของเธอ ซูโย่วอี๋ทั้งเจ็บและตกใจ เธอค่อย ๆ อ้าปากออก ลู่เฉินจึงใช้โอกาสนี้ลิ้มรสให้ลึกซึ้งไปอีก
และดันตัวเธอลงอย่างความเอาแต่ใจ ก่อนที่จะช่วงชิงอากาศในปากของซูโย่วอี๋ไป
เสียงน้ำลายเหนียว ๆ ดังขึ้น
ซูโย่วอี๋ไม่สามารถหนีไปไหนได้จนต้องยอมแพ้ ทำได้เพียงโอนอ่อนตามลู่เฉิน ราวกับพืชลอยน้ำที่ไหลมากลางสายฝนตกอย่างไร้ที่ยึดโยง
ทำได้เพียงไหลไปตามกระแสน้ำ…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานมากแค่ไหน ลู่เฉินจึงยอมหยุดการจู่โจมนี้ และจูบลงบนหน้าผากไล่ไปถึงเปลือกตาของเธออย่างอ่อนโยน
“ที่ผ่านมานี้คุณคิดถึงผมบ้างไหม?”
จู่ ๆ เกิดอาการจั๊กจี้และร้อนชื้นขึ้นที่ติ่งหูของเธอ
ซูโย่วอี๋ที่ตอนนี้ถูกจูบจนมึนงงไปหมด ลืมตาขึ้นพร้อมตอบกลับด้วยเสียงแหบเล็ก ๆ “คิดถึง”
เธอรอให้ลู่เฉินกลับมาในทุกวัน
แต่กลับเขินอายที่จะพูดคำว่าคิดถึงออกมา
ลู่เฉินได้ยินคำตอบนั้นก็ดูพึงพอใจมาก “วันนี้ผมจะปล่อยคุณไป”
แต่ยังไม่ทันได้ลุกขึ้น กู่อวี๋เฉิงและเลขาก็ผลักประตูเข้ามา และเห็นสถานการณ์เช่นนี้
ภาพของท่านประธานกำลังกดซูโย่วอี๋ลงกับโซฟา ทั้งสองมองหน้ากันอย่างรักใคร่ ใบหน้าของลู่เฉินเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส
พอเห็นภาพนั้น สายตาของเลขาตัวน้อยก็เปล่งประกาย บ้าจริง นี่ฉันดูอะไรอยู่เนี่ย
อย่างกับได้รับชมการถ่ายทอดสดในสถานที่จริง!
กู่อวี๋เฉิงรีบปิดประตูลงราวกับสายฟ้าแลบ “ขอโทษครับ เชิญต่อได้เลย”
ซูโย่วอี๋ที่เห็นทั้งสองคนกำลังเข้ามาแต่กลับรีบออกไปในทันที ใบหน้าของเธอเปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็นความตกใจ เปลี่ยนจากความตกใจเป็นความลำบากใจ และเธอคงไม่มีหน้าไปเจอคนอื่นแล้ว
เธอใช้มือโอบรอบคอของลู่เฉินก่อนที่จะฝังตัวเองลงในอกของเขา
ลู่เฉินรู้สึกเพียงว่าคนตัวเล็กที่อยู่ใต้ตัวของเขานั้นทั้งนุ่มและร้อนผ่าว เขาก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่ถูกขัดจังหวะ
เขาลูบหัวของซูโย่วเบา ๆ “ไม่เป็นไร”
“เดี๋ยวคุณก็ชิน”
ชิน?
นี่คือคำที่เขาควรพูดออกมาเหรอ?
ซูโย่วอี๋โผล่หัวออกมาด้วยความโกรธ “เป็นเพราะคุณเลย”
ที่บ้านมีพื้นที่ออกจะกว้าง ทำไมไม่กลับไปจูบที่บ้านล่ะ?
ดีจริง ๆ ขายหน้าทั้งทีก็ต้องเป็นที่บริษัทอีก!
ยังไม่ทันไร ลู่เฉินจูบลงไปยังริมฝีปากของเธออีกสองครั้ง หลังจากนั้นก็ดึงให้ซูโย่วอี๋ลุกขึ้นก่อนที่จะกอดเธอไว้ในอ้อมแขน เพลิดเพลินกับการสัมผัสที่ใกล้ชิดและร้อนแรงเมื่อครู่
“ผมคิดถึงคุณ เลยกลับมาก่อนล่วงหน้า”
ในใจของซูโย่วอี๋มีความสุขมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าเธอมีหางมันก็คงจะกำลังตั้งขึ้นและกระดิกไปมาแล้ว
“คุณโกรธเรื่องอะไร?”
ลู่เฉินคลอเคลียเบา ๆ ที่หูของเธอ “ไม่โกรธแล้ว”
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนที่เขาเห็นซูโย่วอี๋สบตากับเฉินเฉิน ลู่เฉินรู้สึกไม่พอใจมาก
เขาเกลียดในทุก ๆ ความเกี่ยวข้องกันระหว่างสองคนนี้ หรือแค่ให้มาอยู่ในพื้นที่เดียวกันก็ไม่ได้
แต่เขาเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ความผิดของซูโย่วอี๋ เขาไม่สามารถระบายอารมณ์ใส่เธอได้
ดังนั้นหลังจากตระหนักได้ถึงอารมณ์ร้ายที่อาจปะทุได้ทุกเมื่อของตัวเองแล้ว เขาจึงให้เวลาสงบจิตสงบใจกับตัวเอง
“ให้คนขับรถไปส่งคุณนะ ผมยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ”
หลังลงเครื่องบินมาได้ไม่นาน ลู่เฉินโทรศัพท์ติดต่อหากู่อวี๋เฉิงว่าสิบโมงให้มาที่ห้องทำงานเพื่อหารือเรื่องงาน ไม่งั้นกู่อวี๋เฉิงคงไม่มีทางเข้าห้องทำงานมาโดยที่ไม่เคาะประตูแน่นอน
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “ค่ะ”
พูดจบก็พูดขึ้นต่อ “คุณต้องไปส่งฉันที่ชั้นล่าง”
ตอนนี้เธอไม่กล้าออกไปข้างนอกเพียงคนเดียวเพื่อไปพบกับสายตาซุบซิบของเลขาหรอกนะ ลู่เฉินควรจะต้องตามเธอออกไปด้วยกัน เพื่อช่วยเธอยับยั้งสายตาชั่วร้ายจากคนในบริษัท
……
บ้านเก่าแถวชานเมือง
เฉินเฉินพาแม่ของตัวเองกลับมาถึงบ้าน พ่อกำลังนั่งอยู่บนรถเข็นและมองพวกเขาเข้ามา ก่อนจะถามขึ้นอย่างรีบร้อน “เป็นยังไงบ้าง? ยืมเงินมาได้ไหม?”
เฉินเฉินมองแม่ด้วยความไม่พอใจ “แม่ แม่ไปพูดอะไรกับพ่อ? บอกว่าแม่จะออกไปหาเงินเหรอ?”
วันนี้เธอแอบไปหาซูโย่วอี๋เพื่อก่อกวนถึงที่เทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์!
ทำให้เขาต้องขายหน้า
คนที่เขาไม่อยากให้มาดูถูกมากที่สุด คนคนนั้นก็คือซูโย่วอี๋
แต่คุณนายเฉินกลับไม่สำนึกผิด “แกยังช่วยพูดแทนคนชั่ว ๆ แบบนั้นอีกเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ แกคงไม่มีทางตกต่ำมาถึงขั้นนี้ได้หรอก”
เฉินเฉินลูบหน้าผากอย่างช่วยไม่ได้ “แม่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับโย่วอี๋”
เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมีคนวางกับดักเอาไว้ ตั้งใจที่จะกลั่นแกล้งเขา
อย่างแรก ในนามของบริษัทอิงเสวียนโยวผิ่นได้พูดคุยกับเขาเกี่ยวกับความร่วมมือมูลค่าหลายสิบล้าน และไม่ลังเลเลยที่จะฝากเงินหนึ่งล้านเข้าไปในบัญชีของบริษัทเฉินอี้ เพื่อให้เขาติดกับดัก!
เมื่อรอจนเขาเซ็นสัญญาการผลิตกับทางโรงงานสำเร็จแล้ว ของเล่นเจ็ดแสนชิ้นเริ่มผลิตอย่างเต็มกำลัง พอผลิตไปได้เกินครึ่ง โรงงานก็ต้องการจัดสรรเงินอีกครึ่งหนึ่ง เฉินเฉินจึงทำได้เพียงเอาบริษัทไปจำนองไว้ด้วยเงิน 5 ล้าน!
หลังจากนั้นก่อนวันส่งมอบสินค้า คนของบริษัทอิงเสวียนโยวผิ่นกลับติดต่อไม่ได้ เฉินเฉินนำสัญญาและไปยังบริษัทอิงเสวียนโยวผิ่นด้วยตัวเองเพื่อหาคนที่จะรับผิดชอบ แต่พวกเขากลับบอกว่าไม่เคยเซ็นสัญญาฉบับนี้มาก่อน
ชื่อที่เซ็นเป็นของปลอม สัญญาก็เป็นของปลอม คนที่มาคุยเรื่องสัญญาล้วนเป็นตัวปลอมตั้งแต่ต้น!
เขาโง่เองที่ไม่เคยสงสัยอะไรมาก่อนเลย
เฉินเฉินไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ แต่ตำรวจกลับดูไม่กระตือรือร้นเลย แม้ว่าคนที่หลอกลวงจะปลอมแปลงสัญญา แต่ก็ไม่ได้หลอกเอาเงินของเฉินเฉินไป!
หนี้สินในปัจจุบันนี้ของเขาคือการเป็นหนี้ธนาคาร เป็นหนี้โรงงาน และมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนที่มาหลอกลวงเขาเลยแม้แต่น้อย
เขากู้เงินธนาคารมา 5 ล้านบาท ต้องจ่ายงวดสุดท้ายให้โรงงาน 2 ล้านบาท นอกจากได้รับกองของเล่นขนาดใหญ่แล้ว เฉินเฉินก็ไม่ได้อะไรกลับมาอีกเลย!
หากไม่มีเงินไปคืนธนาคาร ก็คงจะไม่มีบริษัทเฉินอี้อีกต่อไป
เรื่องทั้งหมดจะไปโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเขาเองที่โง่เชื่อใครง่าย ๆ