บทที่ 165 ปกป้องศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล
บทที่ 165 ปกป้องศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล
เพียงชั่วพริบตา ซูโย่วอี๋พบว่าตัวเองอยู่ด้านหลังของท่านอาจารย์ไป่หลี่และกำลังเดินไปตามถนนของเมืองถัว
หืม?
ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ
เมืองถัวในค่ำคืนนี้แตกต่างจากวันปกติ ทั่วทุกที่มีโคมไฟมังกรสีแดงแขวนเต็มไปหมด ไม่ไกลมากนักมีการแสดงเชิดสิงโตและมีเสียงโห่ร้องอย่างมีความสุขของผู้คนดังตามมา
ซูโย่วอี๋ไม่กล้าพูดออกไป เพราะกลัวว่าจะพูดอะไรที่ไม่เหมาะสมจนทำให้เธอถูกขับออกไปจากเกม
ทำได้เพียงเดินตามหลังท่านอาจารย์ไปอย่างเงียบ ๆ
ตอนนี้ฮั่วเสวียนอายุเจ็ดขวบ อยู่ในวัยกำลังซุกซน ไป่หลี่เห็นว่าเธอไม่ส่งเสียงอะไรจึงคิดว่าเธอคิดถึงบ้าน “คุณชาย ชายแดนไม่เหมือนในเมืองใหญ่ ที่นี่ขาดแคลนเสบียง การเปลี่ยนแปลงของผู้คนก็มีมาก หลังดื่มชากินข้าวเสร็จก็ไม่มีกิจกรรมอะไรมาก แค่ทำตัวให้เคยชินก็พอ”
“ขอรับท่านอาจารย์”
ผมของซูโย่วอี๋ถูกมัดเอาไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย ใส่เสื้อคอขวางและรองเท้าบูทกันหนาวสีดำ ทั่วทั้งร่างกายไม่มีเครื่องประดับอะไรเลย
ไป่หลี่เสียงอ่อนลงเล็กน้อย “วันนี้เป็นเทศกาลโคมไฟ เจ้าชอบอะไรก็ซื้อไปเถิด อาจารย์จะซื้อให้เอง”
ซูโย่วอี๋เข้าใจในรู้สึกของตัวละครมากขึ้น ใบหน้าเล็ก ๆ ยกยิ้มขึ้น “นี่ท่านตั้งใจพาข้าออกมาเที่ยวเล่นรึ?”
เธอนึกขึ้นมาได้ว่าในนิยายรักในฝันมีการพูดอยู่ประโยคหนึ่งว่าทุก ๆ ปีของเทศกาลโคมไฟท่านอาจารย์ไป่หลี่จะพาฮั่วเสวียนมายังเมืองถัวเพื่อซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ กินอาการสักมื้อ และค่อยกลับไปยังค่ายทหาร
นี่คือเทศกาลดังกล่าว การมาที่นี่ถือเป็นรางวัลที่ฮั่วเสวียนตั้งใจเรียนรู้การต่อสู้
ไป่หลี่พยักหน้า “วันนี้ไม่มีข้อห้ามอันใด เจ้าเล่นให้สนุกก็พอ”
ซูโย่วอี๋ก้าวออกไปสองสามก้าวจับมือไป่หลี่เดินไปด้านหน้าอย่างมีความสุข
มือของไป่หลี่หนาเหมือนกับรังไหมแห้ง ๆ จากการจับดาบถือกระบี่มาตลอด แต่สำหรับซูโย่วอี๋ นี่คือหลักฐานจากความกล้าหาญ
เธอมองดูผู้คนพลุกพล่านอยู่ชั่วครู่ ทั้งสองคนไปยังร้านอาหารเล็ก ๆ ข้างถนน พร้อมกับสั่งเกี๊ยวมาสองชาม
ไป่หลี่เทน้ำชามาล้างตะเกียบให้กับซูโย่วอี๋และบอกกับคนขาย “ทำให้สะอาด ๆ หน่อย”
ทันใดนั้นลมหนาวเย็นพัดเข้ามา ซูโย่วอี๋ถูมือตัวเองเพื่อให้รู้สึกอบอุ่น ไม่ไกลมากนัก มีลูกค้าโต๊ะหนึ่งสวมเสื้อผ้าบางเพียงตัวเดียว
ไม่นานเกี๊ยวนึ่งร้อน ๆ ก็มา
ซูโย่วอี๋รู้สึกว่าหน้าตาของมันดูไม่เลวเลย จึงคีบขึ้นมาหนึ่งชิ้นและใส่เข้าไปในปาก
หึ
ไม่อร่อย!
นอกจากรสเกลือเบา ๆ ก็ไม่มีรสอะไรเลย
ใบหน้าของซูโย่วอี๋ขมขื่นและร้องเรียกสุนัขจิ้งจอก “อาหารในระบบแย่มาก”
สุนัขจิ้งจอกตอบกลับในทันที [ซู่จู่ นี่คือยุคสมัยอดีต ของกินของใช้ช่วงเวลาตอนนั้นเทียบกับตอนนี้ไม่ได้เลย นี่คือการคำนวณอย่างแม่นยำของระบบ แล้วทำให้รสชาติใกล้เคียงกับของว่างพื้นบ้านในสมัยนั้นให้มากที่สุด]
ซูโย่วอี๋ตอบกลับ “โอเค เข้าใจแล้ว”
เธอไม่ได้หิวอะไรจึงอดทนกินเกี๊ยวเข้าไปไม่กี่ตัวก็วางตะเกียบลง
ไป่หลี่ดูออกว่าซูโย่วอี๋ไม่ชอบ แต่ก็ไม่ได้ปลอบเด็กตรงหน้ามากเกินไป
หากพูดให้เผชิญหน้ากับความเป็นจริงมากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เขารู้ดีว่าซูโย่วอี๋อยากกลับบ้านมาโดยตลอด แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้
สิ่งที่ไป่หลี่สามารถทำได้มีเพียงการพาเธอออกมาเดินเล่นในเมืองถัว
ทั้งสองคนออกมาจากเมืองถัวก่อนถึงเวลาปิดเมืองและขี่ม้ากลับไปยังค่ายทหาร เมื่อไปถึงประตูใหญ่ของค่ายทหารก็พบกับพี่เลี้ยงรออยู่
ซูโย่วอี๋หมุนตัวลงจากม้าและตะโกนเรียกอย่างสนิทสนม “แม่ฉิน”
มือของพี่เลี้ยงแดงด้วยความหนาวเย็น ส่งสายตาเต็มไปด้วยความห่วงใยให้เด็กน้อย “วันนี้ไปเล่นสนุกไหม?”
ซูโย่วอี๋ยิ้ม “สนุกขอรับ”
พี่เลี้ยงช่วยปิดเสื้อคลุมเพื่อบังลมให้เธอ “สนุกก็ดีแล้ว รีบไปนอนเถิด พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
ไป่หลี่เรียกซูโย่วอี๋เอาไว้และดึงมีดพกออกจากแขนเสื้อพร้อมกับยื่นให้เธอ
“เมื่อครู่ข้าเห็นมันวางขายอยู่ รู้สึกว่าสวยดีเลยอยากมอบให้เจ้าเอาไว้ป้องกันตัว”
ซูโย่วอี๋รับมาอย่างยินดี ด้ามจับของมันเป็นสีเขียวเข้ม ด้านบนประดับด้วยพลอยสีแดง คมของมีดขัดจนเรียบเงา
“ขอบคุณท่านอาจารย์ขอรับ นี่ท่านซื้อมาตอนไหนกัน ข้าไม่เห็นรู้เลย?”
ไป่หลี่ไม่พูดอะไร เอาแต่โบกมือให้เธอกลับไปนอน
หลังจากกลับมาถึงค่ายทหาร เด็กสาวก็อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ตอนที่อยู่คนเดียวเธอก็ดึงแถบเวลาจึนถึงเช้าของวันถัดไป
เล่นมาตั้งนาน ควรจะฝึกการต่อสู้ได้แล้ว
ลานต่อสู้อันคุ้นเคยพร้อมด้วยเสียงการฝึกซ้อมอันคุ้นชินปรากฏขึ้น
ซูโย่วอี๋มองไปยังเหล่าทหารที่กำลังฝึกซ้อม เป็นไปอย่างที่คาดไว้ เธอเห็นชุยดาบเดียวและใบหน้าอันคุ้นเคยของคนอื่น ๆ
เธอรู้สึกดีใจราวกับว่าได้เจอเพื่อนเก่า
จู่ ๆ ก็รู้สึกเจ็บที่ไหล่ ท่านอาจารย์ไป่หลี่เห็นเธอเหม่อลอยจึงหยิบก้อนหินขว้างมา
ซูโย่วอี๋ลูบ ๆ ตรงไหล่บริเวณที่รู้สึกเจ็บและมุ่ยปาก “ท่านอาจารย์ ครั้งหน้าแค่พูดก็พอแล้วขอรับ”
ติ๊ง!
[ซู่จู่ทำตัวไม่เหมาะสมกับบทบาทนิสัยของตัวละคร หัก 3 คะแนน]
หืม?
ทำไมถึงหักคะแนนล่ะ?
ซูโย่วอี๋ไม่เข้าใจ เธอยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ
[ตรวจพบข้อสงสัยในการหักคะแนนของซู่จู่ ต้องการตรวจสอบสาเหตุเฉพาะของการถูกหักคะแนนหรือไม่?]
ซูโย่วอี๋กดตรวจสอบในทันที
คำตอบคือ [ฮั่วเสวียนไม่เคยทำตัวเสียมารยาทมาก่อน ไม่เคย!]
โอเค
ซูโย่วอี๋คิดไปเองว่าการทำตัวเหมือนเด็ก ๆ เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ดูเหมือนว่าต่อไปต้องใส่ใจในรายละเอียดให้มากขึ้นเสียแล้ว
นี่ก็คือข้อผิดพลาดในการสวมบทเป็นฮั่วเสวียนที่ควรหลีกเลี่ยง
หลังจบขั้นตอนการยืนท่าหม่าปู้ประจำวัน ไป่หลี่เริ่มสอนสิ่งใหม่ ๆ
“วันนี้พวกเราจะมาเรียนรู้รูปแบบเชิงมวยที่แปดแห่งตระกูลฮั่ว ทำตามข้า”
เท้าขวาโค้งงอ มือซ้ายตั้งไปด้านหน้า พลิกฝ่ามือทั้งสองข้างจากซ้ายไปขวาในท่าหม่าปู้ ฝ่ามือขวางอ และวางแขนไว้ที่ด้านซ้ายบนของศีรษะ
ท่านอาจารย์ไป่หลี่ทำท่าทางออกมาในคราวเดียว ทันใดนั้นก็เกิดลมกระโชกแรงแสดงให้เห็นถึงพลังจากภายใน
ส่วนซูโย่วอี๋เองก็ไม่ได้รู้สึกว่านี่มันยากเกินไป
“เจ้าลองดู”
ซูโย่วอี๋ทำตามท่าทางเมื่อครู่นี้อีกครั้ง
แต่เธอกลับเห็นคิ้วของไป่หลี่ที่ค่อย ๆ ขมวดเข้าหากันเรื่อย ๆ “ทำไมเชิงมวยของเจ้ายิ่งเรียนยิ่งแย่ อ่อนแอไร้พลัง เจ้าคิดว่ามันเป็นการเต้นรำของพวกเต้นกินรำกินงั้นรึ?”
คำพูดนี่รุนแรงมาก
คุณชายผู้สง่างามอย่างซูโย่วอี๋ถูกเปรียบเทียบว่าเป็นพวกเต้นกินรำกิน นี่มันน่าขุ่นเคืองใจจริง ๆ
ซูโย่วอี๋ได้ยินคำดุของท่านอาจารย์จึงหยุดนิ่งไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงการแจ้งเตือนจากระบบ
[ภารกิจหลัก : ขอให้ซู่จู่ทำตามการสอนของท่านอาจารย์ไป่หลี่ให้ถูกต้อง รางวัล : การต่อสู้พื้นฐาน +50]
การต่อสู้พื้นฐาน!!!
ซูโย่วอี๋รู้สึกตื่นเต้น
เธอหยุดเกมลงและเปิดใช้งานโหมดการวิเคราะห์ต่าง ๆ
เธอฝึกฝนการต่อสู้ได้ไม่ดี ท่านอาจารย์ไป่หลี่จะวิจารณ์เธอก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว แม้ว่าน้ำเสียงจะรุนแรงไปหน่อย แต่นิสัยของท่านอาจารย์ไป่หลี่ก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องสมบูรณ์แบบ
ซูโย่วอี๋เองก็เข้าใจได้
แล้วฮั่วเสวียนควรจะตอบสนองกลับไปอย่างไรดี?
อย่างแรกต้องเลิกทำตัวเหมือนเด็กและขอให้ท่านอาจารย์ยกโทษให้ เมื่อครู่ที่เธอถูกหักคะแนนก็เพราะทำตัวเหมือนเด็กไร้มารยาท
หรือจะร้องไห้ดี?
ก็ไม่น่าจะใช่ การร้องไห้กับการทำตัวเป็นเด็กก็เหมือนกัน อีกอย่างฮั่วเสวียนฝึกฝนการต่อสู้มานาน ไม่มีทางจะร้องไห้เพราะคำวิจารณ์แค่นี้หรอก
การตอบกลับแบบปกติมากที่สุดก็คือการขอโทษ บุคลิกของฮั่วเสวียนมีด้านที่ชอบการแข่งขัน ไม่ว่าอะไรก็ต้องทำให้ดีที่สุดเสมอ แต่โดนวิจารณ์อย่างกะทันหันแบบนี้แน่นอนว่าในใจต้องรู้สึกอายและเสียหน้า
ดังนั้นก็ขอโทษไปง่าย ๆ งั้นหรอ?
รู้สึกไม่ค่อยถูกต้องเลย…
ด้วยระบบแล้ว จะง่าย ๆ แบบนั้นเลยหรอ?
งั้นยังขาดอะไรไปนะ?
เธอขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล จู่ ๆ คำพูดคำหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว
นั่นคือความโกรธ!
เขาเป็นอาจารย์เธอแค่วันเดียวก็หมายความว่าเป็นอาจารย์ของเธอตลอดไป ในลำดับชนชั้นอันเข้มงวดในสมัยก่อน ไป่หลี่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของท่านพ่อของฮั่วเสวียน เขาสามารถสั่งสอนฮั่วเสวียนได้ แต่ไม่ควรพูดจาดูหมิ่นแบบนี้
พวกเต้นกินรำกินสินะ!
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของท่านอาจารย์ไป่หลี่ ในฐานะคุณชายตระกูลฮั่วก็ควรจะต้องปกป้องศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล!