บทที่ 166 มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?
บทที่ 166 มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?
ซูโย่วอี๋พอจะเข้าใจทิศทางอารมณ์ของตัวละครบ้างแล้ว แต่เธอก็ยังต้องจัดการกับสถานการณ์ให้ตรงตามลักษณะนิสัยของตัวละคร ซูโย่วอี๋ต้องเก็บงำความรู้สึกที่เธอเป็นมาตลอดชีวิตเอาไว้
คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่มีวิธีการจัดการอื่น ๆ อีกแล้ว ซูโย่วอี๋จึงเข้าไปในเกมใหม่อีกครั้ง
ด้วยใบหน้าจริงจังของไป่หลี่ ฮั่วเสวียนกำลังก้มหน้าลงและค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น
ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นเผยให้เห็นความสงบนิ่งดูไม่ค่อยสมกับอายุของเธอ
สายตาของซูโย่วอี๋เต็มไปด้วยความโกรธ แต่เธอกำมือสองข้างแน่น กักเก็บความโกรธทั้งหมดไว้ ไม่ได้ระเบิดมันออกมา
“ท่านไป่หลี่”
น้ำเสียงดังฟังชัดเรียกชื่อเขาออกมา ไม่ใช่คำว่าท่านอาจารย์ ตอกย้ำให้เห็นถึงสถานะระหว่างพวกเขา
“ข้าได้รับการสั่งสอนและความรักจากท่านมาตลอดหนึ่งปี ฮั่วเสวียนผู้นี้รู้สึกขอบคุณท่านจากใจจริง การฝึกมวยในวันนี้ แม้ข้าจะทำได้ไม่ดีเท่าที่ท่านคาดหวังเอาไว้ มันก็เป็นความผิดของข้าเอง ในวันต่อ ๆ ไปข้าจะฝึกซ้อมให้หนักขึ้น เพื่อพยายามทำให้สำเร็จให้ได้ในเร็ววันขอรับ”
“แต่คำพูดของท่านเมื่อครู่นี้ ข้าไม่อาจยอมได้จริง ๆ”
ไป่หลี่ไม่คิดว่าฮั่วเสวียนจะตอบกลับจริงจังและรุนแรงมากขนาดนี้ แต่คำพูดที่พูดออกมามีเหตุมีผล ไป่หลี่ลดมือที่ไคว้อยู่ด้านหลังลงอย่างไม่รู้ตัวและเอามือมาจับกันไว้ที่ด้านหน้า
นี่คือท่าทางการรับฟังจากผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา
ซูโย่วอี๋นิ่งไป “ท่านเป็นอาจารย์ของข้าหนึ่งวันก็ถือว่าเป็นอาจารย์ของข้าตลอดไป แต่ข้าก็ยังคงเป็นคุณชายแห่งตระกูลฮั่ว นายน้อยแห่งกองทัพฮั่ว และจะเป็นแม่ทัพใหญ่ในอนาคต แม้ตอนนี้ท่านจะรับใช้พ่อของข้า แต่ในอนาคตท่านก็คือผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า”
“ทั้งในที่สาธารณะและที่ส่วนตัว ทั้งอารมณ์และเหตุผล ท่านไม่ควรพาดพิงข้าว่าเป็นพวกเต้นกินรำกิน เพราะสำหรับข้า นี่คือคำพูดดูหมิ่นอย่างมาก”
ได้ยินคำพูดเช่นนี้ หน้าของไป่หลี่ก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร ในดวงตากลับเปล่งประกายเล็กน้อย สอนมาตั้งนาน เขาเองก็พึ่งเคยเห็นความถือตัวและความทะเยอทะยานในตัวของฮั่วเสวียนเป็นครั้งแรก
เขาไม่ได้เกลียดชังทัศนคติเช่นนี้ของซูโย่วอี๋ กลับกัน คนที่ถูกต่อว่าว่าเป็นเหมือนพวกเต้นกินรำกินแต่กลับไม่ตอบกลับใด ๆ เลยก็ไม่ต่างอะไรจากคนขี้ขลาด
ในเมื่อร่างกายเป็นชาย แล้วจะไม่มีความเลือดร้อนได้อย่างไร
ไป่หลี่คุกเข่าลงข้างหนึ่ง “เชิญคุณชายลงโทษ”
หากแต่ซูโย่วอี๋อดทนเอาไว้ไม่ให้ตัวเองเข้าไปช่วยดึงไป่หลี่ให้ลุกขึ้น “ท่านอาจารย์ลุกขึ้นเถิด”
เธอรอให้ไป่หลี่ลุกขึ้น จากนั้นโค้งคำนับเขาด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์ คำพูดโผงผางเมื่อครู่ของศิษย์อย่างข้า เชิญท่านอาจารย์สั่งสอนด้วยเถิดขอรับ”
ใบหน้ามืดมนของไป่หลี่เริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมา “คุณชายทำได้ดีมาก”
ต้องมีพระคุณและความเมตตาเช่นนี้ ถึงจะเป็นวิถีแห่งจักรพรรดิ
ติ๊ง!
[ยินดีกับซู่จู่ ค้นหาบทบาทและบุคลิกของตัวละครสำเร็จ มีการสวมบทบาทได้อย่างเหมาะสม ได้รับรางวัลพื้นฐานการต่อสู้ +50]
เยส!
ซูโย่วอี๋หยุดเกมและกลับมายังพื้นที่ระบบของเกม จากนั้นก็ตรวจสอบคุณสมบัติของตัวละคร เธอพบว่าพื้นฐานการต่อสู้ของเธอยังเท่าเดิม
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ?
ระบบไม่ควรผิดพลาดแบบนี้สิ
สุนัขจิ้งจอกโผล่มาจากไหนไม่รู้ [ซู่จู่ พื้นฐานการต่อสู้นี้ถูกส่งเข้าไปยังร่างกายของคุณแล้ว ไม่ได้อยู่ในบทบาทของตัวละคร]
?
!
มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?
ซูโย่วอี๋ถาม “งั้นหมายความว่าตอนนี้ฉันมีความรู้พื้นฐานการต่อสู้แล้วงั้นเหรอ?”
สุนัขจิ้งจอกยืดหางทั้งเก้าขึ้น [ลองดูสิ]
ซูโย่วอี๋กลับเข้าไปยังเกมสวมบทบาทใหม่อีกครั้งและให้ท่านอาจารย์ไป่หลี่แสดงท่าทางรูปแบบเชิงมวยที่แปดของตระกูลฮั่วอีกครั้ง
เธอรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก แต่พอเริ่มต่อยกำปั้นออกไปนั้น ซูโย่วอี๋รู้สึกชำนาญมากยิ่งขึ้น
ไป่หลี่ไม่คาดคิดว่าเธอจะสามารถพัฒนาตัวเองได้ไวมากขนาดนี้ สายตาของเขาเผยความพึงพอใจมากขึ้น “ดูเหมือนว่าคุณชายจะซ่อนความเงอะงะเอาไว้ได้ดี”
“แต่ก็ยังมีอยู่ปัญหาหนึ่ง”
ไป่หลี่ชี้ถึงปัญหาของซูโย่วอี๋อย่างจริงจัง และให้เธอฝึกฝนซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้น
…
ซูโย่วอี๋อยู่ในเกมมาถึงสองวัน ในความเป็นจริงผ่านไปได้สองชั่วโมง ซูโย่วอี๋ออกมาจากเกมเพราะอยากมาดูว่าลู่เฉินได้ส่งข้อความมาหาเธอหรือเปล่า
และแล้วลู่เฉินก็วิดีโอคอลมาจริง ๆ แต่เธอก็ไม่ได้รับสาย
หญิงสาวจึงรีบโทรกลับหาลู่เฉินอีกรอบ เธอรอสายประมาณสองวินาที อีกฝ่ายก็รับสาย ลู่เฉินสวมชุดนอนสีดำคอกว้างเผยให้เห็นหน้าอกแกร่ง บนตัวยังมีหยดน้ำเกาะอยู่เห็นได้ชัดว่าเขาพึ่งอาบน้ำเสร็จ
[ซูโย่วอี๋ ผมพึ่งอาบน้ำเสร็จ คุณอยู่โรงแรมเหรอ?]
[อืม พึ่งทำธุระเสร็จ]
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาต้องไปหนึ่งสัปดาห์ ซูโย่วอี๋ก็ถามขึ้น [คุณไปที่นั่นตั้งนาน งานยุ่งมากเลยเหรอ?]
ลู่เฉินหัวเราะเบา ๆ [ทำไม คิดถึงผมเหรอ?]
[ผมจะรีบเคลียร์งานและรีบกลับนะ]
ครั้งที่แล้วที่ลู่เฉินไปทำงานต่างเมือง เขาโหมงานหนักมากเกินไป จนเหนื่อยล้า เพื่อที่จะกลับมาเจอเธอก่อน
[ไม่ต้อง ๆ คุณทำงานไปเถอะ ไม่ต้องรีบ ตอนเที่ยงฉันกินโจ๊กที่คุณทำให้ไปแล้ว รสชาติไม่เลวเลย ตอนบ่ายก็คุยกับสุ่ยเวยเรื่องงานครั้งต่อไปแล้ว อีกสองวันก็จะต้องเข้าร่วมทีมถ่ายละครแล้วด้วย]
[จริงสิ เมื่อตอนบ่ายฉันบันทึกเสียงเพลงมิตรภาพสูงสุดแล้วนะ]
ลู่เฉินนั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์และฟังซูโย่วอี๋พูดเจื้อยแจ้วจนจบ [อืม เก่งมาก]
มุมปากของซูโย่วอี๋โค้งขึ้น เธอทำอะไรก็เก่งไปหมด
[ความคาดหวังของคุณที่มีต่อฉันต่ำจัง]
[ถ้าจะกลับแล้วบอกฉันล่วงหน้าด้วยนะ ฉันจะทำกับข้าวรอคุณอยู่ที่บ้าน]
ดวงตาของลู่เฉินลึกซึ้งขึ้น [ตกลง]
[ผมอยากกินที่ชั้น 17]
นั่นไม่ใช่ห้องที่เธอและซูหยินพักอยู่
ซูโย่วอี๋พูดไม่ออก ทำท่าทางง้างมือจะตีเขา [คุณคิดเรื่องอื่นบ้างได้ไหมเนี่ย?]
ลู่เฉินทำหน้าไร้เดียงสา [ผมบริสุทธิ์ใจนะที่บอกว่าอยากจะกินข้าว มีอะไรผิดเหรอ? หรือว่าคุณคิดถึงเรื่องอะไร…ที่ไม่ควรคิด?]
ซูโย่วอี๋ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร
นี่มันน่าอายจริง ๆ!
[นอนแล้วนะ]
ลู่เฉินมองเธออย่างเอ็นดู [โอเค ฝันดีครับ]
พอวางสายไป ซูโย่วอี๋ส่งข้อความวีแชทไปหาซูหยินเพื่อถามว่าเธอจะกลับมาเมื่อไหร่
ซูหยินตอบกลับข้อความมาด้วยเสียง [พรุ่งนี้ตอนบ่ายก็กลับแล้ว เธอรีบพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องรอฉัน]
เสียงของเธอดูเหมือนกำลังเมา เห็นได้ชัดว่าดื่มเหล้าเข้าไป
ซูโย่วอี๋ถามอย่างไม่วางใจ [เธออยู่ที่ไหน? อยู่คนเดียวเหรอ?]
อีกฝ่ายไม่ตอบกลับ
เมือง C บนสะพานจ่างลี่
กู่อวี๋เฉิงกำลังขับรถอยู่ระหว่างทางพาซูหยินกลับไปยังโรงแรม
ครั้งที่แล้วซูหยินขโมยจูบแรกของกู่อวี๋เฉิงไป หลังจากนั้นทั้งสองคนก็แทบไม่ได้ติดต่อกันอีก เมื่อสองวันก่อน ลู่เฉินเรียกเขาเข้าไปหาที่ห้องทำงานและเอางานทั้งหมดของซูหยินมอบหมายให้เขา
‘ทำให้ซูหยินกลับมามีชื่อเสียง ต่อสู้เพื่องานของเธอ และเคารพความต้องการของเธอด้วย’
ซูหยินเป็นเพื่อนรักของซูโย่วอี๋ กู่อวี๋เฉิงรู้อยู่แล้วว่าทำไมลู่เฉินถึงใจดีกับซูหยินเป็นพิเศษ แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ไปหาคนอื่น แต่กลับเอาซูหยินมาให้เขาดูแล
คิดทบทวนไปมา ซูหยินเริ่มเคาะกระจกรถไม่หยุด “จอดรถ ฉันจะอ้วกแล้ว”
กู่อวี๋เฉิงตอบกลับด้วยเสียงแข็ง “ตรงนี้จอดรถไม่ได้ อดทนไว้อีกสองนาที ผมจะขับรถให้เร็วขึ้น”
ซูหยินรู้สึกไม่สบายเอามาก ๆ แอลกอฮอล์ในท้องเริ่มปั่นป่วน ความเร็วของรถทำให้เธอไม่สามารถควบคุมร่างกายภายในได้
นิ้วมือของเธอจับเบาะหนังเอาไว้แน่น “กู่อวี๋เฉิง คุณขับช้า ๆ หน่อย”
ดีที่สะพานไม่ยาวมาก กู่อวี๋เฉิงขับออกไปอย่างรวดเร็วและหาที่ว่างเพื่อจอดรถ
จากนั้นซูหยินเดินโซเซไปที่ลานหญ้าและอ้วกออกมา
กู่อวี๋เฉิงได้ยินเสียงก็ขมวดคิ้วแน่น
สักพักได้ยินเสียงซูหยินเรียกเขา “ฉันอยากดื่มน้ำ”
น้ำเสียงของเธอไร้เรี่ยวแรง
กู่อวี๋เฉิงมองเข้าไปในลานหญ้าอย่างอารมณ์เสีย “บนรถมีน้ำ มาเอาเอง”
ซูหยินเดินมาถึงตรงหน้าของเขา “ประธานกู่ คุณนี่มันเลือดเย็นจริง ๆ ฉันอ้วกขนาดนี้แล้วนะ”
“ผมไม่ได้บังคับให้คุณดื่มเหล้านี่”
ห้ามไปก็ไม่ฟัง เธออยากจะดื่มเข้าไปเอง
ทำร้ายตัวเองเห็น ๆ