บทที่ 168 ต่อจากนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
บทที่ 168 ต่อจากนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
หลังจากที่ฮันเจ๋อหยางอ่านดูข้อความของคนในกลุ่มอีกครั้ง จู่ ๆ ในหัวเกิดความคิดไร้สาระขึ้น ซูโย่วอี๋คนนี้อาจเป็นลูกสาวที่พ่อทิ้งไปหรือเปล่า
คิดไปคิดมาตัวเองก็ยกยิ้ม ต่อให้เป็นลูกสาวก็ควรจะเป็นลูกสาวของแม่ ไม่ใช่ของพ่อสิ
ไม่นานนักรถก็มาถึงสตูดิโอ สุ่ยเวยพาฮันเจ๋อหยางและซูโย่วอี๋ลงจากรถและไปเดินยังสถานที่นัดหมาย
หลังจากที่พวกเขาไปถึง เหล่านักแสดงหลักและทีมงานต่างก็มากันจนครบแล้ว
ทั้งหมดมีผู้ชายสามคนและผู้หญิงสามคน
ซูโย่วอี๋มองนักแสดงนำคนอื่น ๆ และพบว่าในนั้นมีคนที่เธอรู้สึกคุ้นตาอยู่ด้วย
นั้นก็คือคนที่มาออดิชั่นบทฮั่วเสวียนที่ชื่อว่าเสิ้งเซี่ย และอวิ๋นเหมี่ยวที่ได้รับเลือกให้รับบทกู้ชิงเฉิงที่เป็นนางเอก งั้นบทบาทที่เสิ้งเซี่ยจะแสดงก็คือนางรองคนที่สองอย่างฟู่อวิ๋นจิ่น
พอเสิ้งเซี่ยเห็นเธอก็ยิ้มออกมาเบา ๆ
ระหว่างนั้นพระรองคนแรกและพระรองคนที่สองก็มองมายังซูโย่วอี๋ด้วยสายตาทึ่ง ๆ
ซูโย่วอี๋ดูดีมากกว่าในทีวีซะอีก ส่วนเรื่องนิสัยใจคอยิ่งไม่ต้องพูดถึง
คนโบราณกล่าวไว้ว่าความสวยต้องดูจากภายใน ซูโย่วอี๋อยู่ในประเภทที่ไม่ได้มีเพียงแค่สวยเท่านั้น ทั้งรูปร่างและนิสัยใจคอก็ดี
ป๋ายลิ่นและเสิ่นอันรีบเข้ามาทักทายในทันที “คุณฮัน ผมรอคอยที่จะได้พบคุณมานานแล้วครับ ในที่สุดวันนี้ก็ได้เจอตัวจริงแล้ว”
ฮันเจ๋อหยางยิ้มอย่างมีมารยาท “พวกคุณมาถึงนานหรือยัง?”
“อืม พอดีพวกเราก็พึ่งมาถึงได้ไม่นาน”
ป๋ายลิ่นรู้สึกสนใจในตัวของซูโย่วอี๋ ในละครมีฉากที่ทั้งสองคนต้องเข้าซีนอารมณ์ด้วยกัน เขายื่นมือออกไป “สวัสดีครับซูโย่วอี๋ ผมชื่อป๋ายลิ่น รับบทเป็นอูซือม่าน”
ผู้นำฝ่ายศัตรูคนนั้นสินะ คนที่จับฮั่วเสวียนไปเป็นเชลยและขังเธอไว้ในห้องใต้ดินเพื่อทรมานหลายรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม ซูโย่วอี๋ไม่ได้เอาเรื่องราวในละครมาผูกไว้กับนักแสดง เธอยื่นมือออกไปจับ “สวัสดีค่ะ”
จากนั้นไม่นานก็มีทีมงานเดินเข้ามาและปรบมือ “ช่างแต่งหน้าเตรียมตัวพร้อมแล้วครับ เชิญทุกคนตามผมมา”
ห้องนี้คือห้องแต่งหน้าขนาดใหญ่ แบ่งเป็นส่วนเล็ก ๆ แยกออกไป ซูโย่วอี๋มองดูรอบ ๆ ก็ไม่เห็นผู้หญิงที่ชื่ออวิ๋นเหมี่ยวเลย
รอจนทุกคนแต่งหน้าไปจนเกือบเสร็จ ประตูห้องแต่งหน้าถูกผลักออก อวิ๋นเหมี่ยวในชุดกระโปรงยาวสีขาวเข้ามาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ขอโทษที่มาสายค่ะ”
ผมสีดำยาวของเธอถูกโบว์สีชมพูมัดเอาไว้ครึ่งหัว แววตาใสซื่อราวกับลูกกวางกำลังสั่นไหว เธอมีผิวขาวอมชมพู
เธอดูเป็นผู้หญิงน่ารักหวาน ๆ ตัวไม่เล็ก มองดูแล้วน่าจะสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรได้
อวิ๋นเหมี่ยวโทรศัพท์มาบอกล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว ทีมงานเลยไม่ได้บ่นอะไรเธอและรีบพาเธอไปยังสถานที่ที่จัดเอาไว้ให้
ตอนที่เดินผ่านซูโย่วอี๋ อวิ๋นเหมี่ยวหยุดเดิน “ซูโย่วอี๋?”
“ฉันเองค่ะ”
อวิ๋นเหมี่ยวยิ้มจนตาโค้งเป็นเส้น ภายในดวงตามีประกายบางอย่าง “ตัวจริงคุณสวยมาก”
ซูโย่วอี๋ไม่เข้าใจอวิ๋นเหมี่ยวเดินผ่านมาไม่ได้ทักทายใครเลย เธอนั่งอยู่ในตำแหน่งเกือบด้านในสุด แต่ทำไมกลับหยุดลงตรงหน้าเธอ
ไม่รู้ว่าช่างแต่งหน้าหยุดมือลงไปตอนไหน
ซูโย่วอี๋ลุกขึ้นยืน “สวัสดีค่ะ”
อวิ๋นเหมี่ยวยังไม่ได้จากไปไหน กลับตั้งใจที่จะชวนเธอคุย “ได้ยินมาว่าแฟนของซูโย่วอี๋คือลู่เฉินแห่งเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ ต่อจากนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
คิ้วของซูโย่วอี๋ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย อวิ๋นเหมี่ยวต้องการทราบเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวแค่นั้นเหรอ?
แต่คำพูดประโยคนี้กลับทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยสบาย เพราะน้ำเสียงอันสงบนิ่งของคนตรงหน้า “เป็นทางการไปแล้วค่ะ ยังไงก็เป็นทีมนักแสดงเดียวกัน ถ้าคุณมีเรื่องอะไร บอกฉันได้เลยนะคะ”
อวิ๋นเหมี่ยวยิ้มอย่างสุภาพ “ฉันค่อนข้างคนตรงไปตรงมา ในเมื่อคุณรับปากแล้วงั้นฉันคงมีเรื่องให้ช่วยแล้วล่ะ”
“ไม่รบกวนคุณแต่งหน้าแล้วค่ะ”
ท้ายที่สุดอวิ๋นเหมี่ยวก็จากไปพร้อมกับทีมงาน
ซูโย่วอี๋มองดูด้านหลังของเธอด้วยความรู้สึกแปลก ๆ
ถ้าหยินหยินได้แสดงเป็นนางเอกก็คงจะดี…
ลำดับการถ่ายภาพเป็นไปตามลำดับของนักแสดงนำ เริ่มจากคู่พระเอกนางเอกและไล่ลงไป ท้ายที่สุดก็คือภาพรวมของเหล่าทีมงาน
แต่ตอนท้าย อวิ๋นเหมี่ยวล่าช้าไปสักพัก เพราะตอนที่ต้องเริ่มถ่ายภาพเธอยังแต่งหน้าไม่เสร็จ จึงขอถ่ายรูปเป็นคนสุดท้าย
หลังแต่งตัวเสร็จ รูปร่างของซูโย่วอี๋ดูค่อนข้างคล้ายกับผู้ชาย แม้ผิวของเธอจะดูขาวมากเกินไป ช่างแต่งหน้าก็ไม่กล้าลงรองพื้นสีอื่น ทำเพียงแค่ลงหน้าเบา ๆ เท่านั้น
ไม่มีการลงบลัชออนหรืออายแชโดว์ คิ้วบางตอนแรกถูกเขียนให้กลายเป็นคิ้วหนาเข้ม สไตล์ทั้งตัวของเธอถูกเปลี่ยนไปจนหมด
จากผู้หญิงสบาย ๆ เปลี่ยนเป็นชายหนุ่มวัยกลางคนที่ดูสะอาดสะอ้าน
จากนั้นทาลิปสติกลงไปบาง ๆ นั่นไม่ได้ทำลายออร่าของซูโย่วอี๋ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้เธอดูสดใสมากยิ่งขึ้น
และโดดเด่นดูมีชีวิตชีวามากเป็นพิเศษ
ทรงผมของเธอถูกถักเปียเป็นหางม้าสูง ปอยผมทั้งสองข้างถูกปล่อยลงมา ที่หน้าผากมีผ้าสีดำคาดอยู่
ตอนที่เดินออกมาผมของเธอปลิวไปตามสายลม ช่างแต่งหน้าของเธอถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง “คุณซู คุณสวยมากจริง ๆ”
ซูโย่วอี๋มองดูตัวเองในกระจกและหัวเราะขึ้น “สวยไม่ใช่คำชมที่ดีสำหรับผู้ชายเลยนะคะ”
“ฉันพูดผิดไปเอง คุณทำให้เด็กสาวใจเต้นแรงได้เลยนะ”
อีกด้านหนึ่ง ฮันเจ๋อหยางถ่ายรูปจนเกือบเสร็จแล้ว และด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของป๋ายลิ่นเขาจึงให้ซูโย่วอี๋ถ่ายรูปก่อน
ซูโย่วอี๋จึงรีบไปยังห้องลองเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุด
ในนั้นมีคนที่ค่อยช่วยจัดการเรื่องการเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ด้วย
ทันทีที่ซูโย่วอี๋ถือชุดนั้นขึ้นมา เธอก็รู้สึกถึงน้ำหนักของชุดที่ทำจากวัสดุต่าง ๆ และลวดลายพิถีพิถัน
“ชุดของนักแสดงนำทั้งหมดสั่งทำขึ้นโดยมีศูนย์วิจัยวัฒนธรรมโบราณแห่งประเทศจีนเป็นฝ่ายดูแล งานปักบนนั้นล้วนเป็นงานปักด้วยมือ โดยช่างปักสิบคนใช้เวลามากกว่าสามเดือน”
ซูโย่วอี๋มองไปยังเสื้อผ้าในมือของเธออีกครั้งดวงสายตาเคารพ
นี่ก็ถือว่าเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่เธอมีโอกาสได้สวมใส่!
ในสตูดิโอ
ตอนที่ช่างภาพเห็นซูโย่วอี๋เข้ามา เขาอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปซูโย่วอี๋ตอนที่กำลังเดิน เพราะท่าทางของเธอสง่างามมาก
ช่างถ่ายภาพแนะนำให้ซูโย่วอี๋ทำท่าต่าง ๆ ทั้งท่ายืนและท่าการเคลื่อนไหว เพียงพูดไม่กี่คำ ซูโย่วอี๋ก็สามารถเข้าใจในความหมายของเขาได้อย่างชัดเจน ทำให้การถ่ายภาพผ่านไปอย่างราบรื่น
อีกทั้งซูโย่วอี๋เป็นคนที่ถ่ายภาพขึ้นมาก ท่าไหน มุมใด ต่างก็ดูดีไปหมด
ชุดเซ็ตนี้ถ่ายเสร็จไปได้อย่างรวดเร็ว
ช่างถ่ายภาพถามขึ้น “คุณซูเคยถ่ายรูปครึ่งตัวมาก่อนไหมครับ?”
ซูโย่วอี๋ส่ายหัว
“งั้นคงเพราะคุณมีพรสวรรค์ ฮ่าฮ่า เปลี่ยนชุดเซ็ตที่สองได้เลยครับ”
ชุดเซ็ตที่สองคือชุดตอนที่ฮั่วเสวียนไปออกรบ ผมของเธอถูกมัดรวบเป็นมวยเรียบร้อย ปิ่นหยกสีดำเสียบเข้าไปในมวยผม ส่วนหน้าผากก็แต้มจุด ดูสวยงามมาก
แต่เสื้อผ้าที่เธอต้องใส่เป็นเกราะที่มีน้ำหนักมาก
ชุดในเซ็ตนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างจากชุดเมื่อครู่นี้เป็นอย่างมาก
ชุดหนึ่งให้ความรู้สึกถึงความเป็นนักรบ อีกชุดกลับให้ความรู้สึกถึงท่าทางสบาย ๆ ของคุณชาย
ช่างภาพชื่นชอบซูโย่วอี๋เป็นพิเศษ เขาถ่ายรูปไปเยอะ หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เธอไปพัก
ในตอนนี้ห้องสตูดิโอเหลือพนักงานอยู่ไม่กี่คน เขาก็พูดขึ้น
“ถ้าดูจากรูปลักษณ์ภายนอก ซูโย่วอี๋เหมาะสมที่จะเป็นนางเอกมาก ๆ”
ช่ายภาพมองไปยังผู้คนที่อยู่ในรูป “แต่เธอแสดงเป็นฮั่วเสวียนก็ดี”
กล่าวคือ ใคร ๆ ก็สามารถแสดงเป็นกู้ชิงเฉิงได้ แต่มีเพียงแค่ซูโย่วอี๋เท่านั้นที่เหมาะสมจะเป็นฮั่วเสวียน
เมื่อกลับมาถึงห้องเปลี่ยนชุด ซูโย่วอี๋รีบถอดชุดเกราะอันหนักอึ้งออกและเปลี่ยนกลับมาใส่ชุดเดิมของตัวเอง
เธอถอนหายใจออกมา “ชุดของตัวเองนี่แหละสบายที่สุด”
ยังดีที่ห้องนี้มีแอร์อยู่ ต่อไปต้องออกไปถ่ายทำกลางแจ้ไม่รู้เลยว่ามันจะร้อนขนาดไหน
หลังจากที่ซูโย่วอี๋เก็บข้าวของจนเสร็จและกลับไปยังห้องแต่งหน้า เก้าอี้ใกล้กับประตูมีผู้คนกำลังมุงกันอยู่