บทที่ 173 ทำงานหามรุ่งหามค่ำ
บทที่ 173 ทำงานหามรุ่งหามค่ำ
หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสิ้น ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น
ลู่เฉินเลยไม่นอนแล้ว เขากอดซูโย่วอี๋ไว้ในอ้อมแขนและพูดคุยกัน
ซูโย่วอี๋เป็นห่วงที่ลู่เฉินต้องรีบออกเดินทาง จึงเอามือปิดตาเขา “คุณหลับตาพักสักหน่อยเถอะ”
ลู่เฉินจับมือเธอและจูบลงไปสองครั้ง “ไม่นอนแล้ว ใช้โอกาสนี้อยู่เป็นเพื่อนคุณให้มากขึ้นดีกว่า”
“ลู่เฉิน”
“หืม?”
“ถ้ามีครั้งต่อไปที่ฉันพูดว่า ฉันคิดถึงคุณมาก ๆๆๆ คุณก็ไม่ต้องมาหาฉันแล้ว เข้าใจไหม?”
หลาย ๆ ครั้งที่เธอมักจะพูดแบบนั้น แต่มันยังไม่มากพอที่จะต้องให้ลู่เฉินเดินทางมาหลายพันกิโลเมตรเพื่อมาหาเธอสักนิด
มันมากเกินไป
ลู่เฉินแค่ยิ้ม ๆ และไม่ได้พูดอะไร
หลังจากนอนเบื่อ ๆ อยู่บนเตียงมาสักพักลู่เฉินก็ลุกขึ้น ส่วนซูโย่วอี๋นอนอยู่บนเตียงไม่อยากขยับไปไหน เธอแค่โผล่หัวขึ้นมามองดูลู่เฉินเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง
เพราะเขารีบมา ทำให้ไม่ได้พกมีดโกนมาด้วย รอบริมฝีปากของเขาเริ่มมีตอสีเขียว ๆ ของหนวดเคราขึ้นมาในเวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ
พออาบน้ำเสร็จลู่เฉินก็เดินมาที่เตียงและอุ้มเจ้าแมวจอมขี้เกียจขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ใช้หนวดเคราถูไปยังแก้มสีขาวนุ่มนิ่มของเธอ
ซูโย่วอี๋หัวเราะและหนีออกมา ยกมือขึ้นลูบที่เคราของเขา
“มันจักจี้”
ลู่เฉินวางหัวลงบนซอกคอของเธอและสูดดมไปสองครั้ง “ผมไปละนะ”
“มีเรื่องอะไรก็โทรมาหาผม”
ใบหน้าของซูโย่วอี๋ฝืนยิ้มด้วยความรู้สึกไม่เต็มใจ “อืม เดินทางปลอดภัยนะคะ”
ลู่เฉินสวมนาฬิกาและเดินออกไปจากห้อง เดินไปไม่กี่ก้าวก็พบกับผู้กำกับสวีและฮันเจ๋อหยาง
สวีโหมวคาบบุหรี่อยู่ สายตามองไปยังห้องของซูโย่วอี๋อย่างมีเลศนัย “ประธานลู่มาเมื่อไหร่กันครับ? พวกเราไม่เห็นรู้อะไรเลย”
ในน้ำเสียงมีความหยอกล้ออยู่
แต่ลู่เฉินยืนนิ่ง “ผู้กำกับสวี ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
กลับกัน บนในหน้าของฮันเจ๋อหยางมีรอยยิ้มชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ “ประธานลู่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่หยุดพักเลยแม้แต่นาทีเดียว สมควรแล้วที่เป็นไอดอลของผม”
แม้ว่าฮันเจ๋อหยางจะเป็นศิลปินที่เซ็นสัญญากับเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ แต่ความสัมพันธ์กับลู่เฉินนั้นก็ไม่ได้แย่นัก พวกเขาสามารถพูดจากันได้แบบสบาย ๆ
ลู่เฉินเข้าใจในความหมายของคำพูดของคนทั้งสอง จึงตอบกลับอย่างปกติ “โย่วอี๋เข้าร่วมทีมละครแล้ว รบกวนฝากผู้กำกับสวีและฮันเจ๋อหยางดูแลด้วย ถ้าทำอะไรผิดไป รบกวนให้พวกคุณอดทนหน่อย เธอพึ่งถ่ายละครเป็นครั้งแรก คงยากที่จะทำให้ทุกคนพอใจ”
สวีโหมวสูบบุหรี่จนสุดปอด “ประธานลู่คงจะมาที่นี่เพื่อดูแลแฟนสาวสินะ วางใจเถอะครับ ทีมละครรักในฝันไม่โหดหรอก พวกเราจะดูแลเธออย่างดีแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมาก ๆ ครับ ผมต้องรีบกลับไปปักกิ่ง ขอตัวลาก่อนนะครับ”
สวีโหมวมองดูแผ่นหลังที่จากไปของลู่เฉิน “นี่ฉันเลือกคนเส้นใหญ่มาเข้าร่วมทีมละครเหรอเนี่ย”
แม้ว่าเขาจะเป็นคนเลือกซูโย่วอี๋ด้วยตัวเอง แต่การที่เธอขี่ม้าได้ดีก็ไม่ได้แสดงว่าเธอสามารถแสดงละครได้ อีกทั้งเรื่องที่ซูโย่วอี๋โดดเรียนวิชาศิลปะการต่อสู้ยังทำให้สวีโหมวรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
แต่ฮันเจ๋อหยางช่วยพูด “ผู้กำกับสวี ซูโย่วอี๋ถือได้ว่าเป็นรุ่นน้องที่มาจากที่เดียวกันกับผม งั้นผมจะไม่พูดแทนเธอเลยก็คงไม่ได้ แต่เธอไม่มีทางทำให้คุณผิดหวังแน่นอน”
“ฉันก็หวังให้เป็นแบบนั้น”
หลังจากซูโย่วอี๋อาบน้ำเสร็จ พนักงานก็เอาอาหารเช้ามาให้ที่ห้องพักของเธอ ผ่านไปไม่นาน เหมยเหมยก็พาเธอไปหาช่างแต่งหน้า
ห้องประชุมในตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่แต่งหน้าชั่วคราว นักแสดงนำทุกคนจะต้องแต่งหน้าอยู่ในห้องเดียวกัน
ตอนที่ซูโย่วอี๋เข้าไป ก็เจอฮันเจ๋อหยางกำลังแต่งหน้าอยู่ เมื่อเห็นว่าเธอมาแล้วเขาก็ทักทาย “รุ่นน้องซู เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหม?”
“อืม ดีค่ะ”
มุมปากของฮันเจ๋อหยางยกยิ้มขึ้น “งั้นก็ดี”
พวกเขาแต่งหน้าประมาณครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ จากนั้นสวีโหมวเรียกนักแสดงนำและนักแสดงสมทบที่มีบทบาทสำคัญให้มาประชุมเรื่องละครร่วมกัน วันนี้เขาต้องการถ่ายฉากที่พบกันครั้งแรกของตัวเอก
โดยเริ่มถ่ายทำจากฉากที่ซูโย่วอี๋ขี่ม้าอยู่กับผู้ช่วยก่อน
ซูโย่วอี๋มองไปที่บทละครในมือด้วยความรู้สึกคุ้นเคยที่เกิดขึ้นเอง
ไม่จำเป็นต้องท่องจำ บทพูดต่าง ๆ และรายละเอียดปรากฏอยู่ในหัวของเธอโดยอัตโนมัติจากการสวมบทบาทในเกม
ราวกับเป็นสัญชาตญาณ
หลังจากที่สวีโหมวอธิบายถึงความต้องการในฉากละครของวันนี้แล้ว “พวกคุณเข้าใจแล้วใช่ไหม?”
สายตาของเขาจับจ้องไปยังซูโย่วอี๋ เธอเป็นตัวหลักของฉากนี้และเป็นฉากที่ยากด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นจุดที่สวีโหมวยังไม่วางใจ
แม้ทักษะการแสดงของฮันเจ๋อหยางจะดีมาก ๆ แต่สำหรับช่วงเริ่มต้นที่นักแสดงยังไม่เข้าใจในตัวละคร คนดูจะรับรู้ได้ถึงอารมณ์หนึ่งนั่นก็คือความเกร็ง
เช่นนางเอกอย่างอวิ๋นเหมี่ยวที่มีฉากเข้าคู่กับฮันเจ๋อหยางมากที่สุด แม้ว่าเธอจะเคยเข้าร่วมภาพยนตร์ฮอลลีวูดมาก่อน แต่ทักษะการแสดงก็ยังขาด ๆ อยู่นิดหน่อย
อวิ๋นเหมี่ยวเองก็ถูกสวีโหมวต่อว่าอยู่ไม่น้อย
ตอนที่ฮั่วเสวียนและพระเอกเจอกันครั้งแรก สวีโหมวเองก็ไม่แน่ใจ ทำได้เพียงรอดูการแสดงของซูโย่วอี๋ก่อนแล้วค่อยพูด
สถานที่ขี่ม้าคือเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งที่ชื่อว่าหลิงจือ เมื่อมองไปมีแต่ทุ่งหญ้าเขียวขจี วิวทิวทัศน์สวยงาม
ซูโย่วอี๋ลงรถมาก็อดไม่ได้ที่จะร้องขึ้น “สวยมากจริง ๆ”
เหมือนกับในเกมมาก
ท้องฟ้าโปร่ง เมฆเต็มฟ้า น้ำใสสะอาด
จากนั้น ครูสอนขี่ม้าลากม้ามา “คุณซูครับ นี่คือม้าที่เชื่องมาก ผมตั้งใจเลือกมาให้คุณโดยเฉพาะ ตอนที่ถ่ายทำผมจะอยู่ในกลุ่มนักแสดงและจะขี่ม้าไปพร้อมกับคุณ เพราะอย่างนั้นคุณไม่ต้องกลัว”
ทีมงานภาพยนตร์มากมายนิยมเช่าม้าจากสนามม้าแห่งนี้เพื่อถ่ายทำละคร ครูสอนขี่ม้า เองเห็นท่าทางหวาดกลัวการขี่ม้าของเหล่านักแสดงหญิงมาเยอะแล้ว นั่นคือเหตุผลที่เขาพูดปลอบใจเธอ
ซูโย่วอี๋มองไปยังกล้ามเนื้อของม้าตรงหน้า สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชอบ
กลัว?
เธอไม่ได้กลัวเลยสักนิด
ซูโย่วอี๋สร้างความคุ้นชินกับม้าเสร็จแล้ว
สวีโหมวเรียกเธอ “อีกสักครู่คุณต้องขี่ม้ามายังด้านหน้าสุด เส้นทางเริ่มจากหุบเขาและปีนขึ้นไปบนเนินเล็ก ๆ พวกเขาจะแสดงภาพจากกล้องในที่ที่คุณต้องปรากฏตัว ใส่ใจกับการแสดงอารมณ์ให้ดี”
ซูโย่วอี๋ฟังรายละเอียดและพยักหน้า
สวีโหมวอธิบายไปสักพัก จนเขารู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องพูดแล้วจึงโบกมือขึ้น “ลองรอบหนึ่งก่อน ค้นหาอารมณ์ของตัวละครด้วย”
ซูโย่วอี๋นำเหล่านักแสดง ผู้ช่วย และกองกำลังทหารไปรวมกันที่หุบเขา และพลิกตัวขึ้นม้า
เธอฝึกฝนการคุมบังเหียนจนคุ้นเคย จึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย
ครูฝึกขี่ม้าเห็นท่าทางของซูโย่วอี๋ก็รู้เลยว่าเธอขี่ม้าเป็น “คุณซู ดูเหมือนผมจะกังวลมากเกินไป แค่ดูก็รู้เลยว่าคุณขี่ม้าเก่งมาก”
ซูโย่วอี๋ถ่อมตัว “ก็พอได้ค่ะ”
ทีมงานถือเครื่องกระจายเสียงขึ้นมา “แต่ละกลุ่มเตรียมตัว สาม สอง หนึ่ง แอ็กชัน”
“เริ่มได้”
เสียงคำสั่งดังขึ้น ซูโย่วอี๋เปลี่ยนจากท่าทางขี้เกียจของเธอ ร่างกายภายนอกเปลี่ยนเป็นท่าทางสบาย ๆ แต่มีความตึงเครียดอยู่ภายใน
ขาเรียวยาวหนีบท้องม้าแน่น เพียงไม่กี่ลมหายใจ ก็ขี่ม้านำขึ้นมาอยู่ด้านหน้าสุด
คนที่เล่นเป็นชุยดาบเดียวเป็นนักแสดงรุ่นเก๋าที่ดูตรงไปตรงมาและเป็นคนที่ขี่ม้ามาหลายปี ก่อนการถ่ายทำเขายังคิดอยู่เลยว่าต้องควบคุมความเร็ว ห้ามแซงหน้าซูโย่วอี๋ไป
แต่ไม่คิดว่าซูโย่วอี๋จะสามารถแซงคนอื่นไปได้อย่างง่ายดาย ทำให้เขาต้องออกแรงมากขึ้นเพื่อไม่ให้หลุดออกจากแถว
ตอนที่ซูโย่วอี๋ไปถึงยอดเขา สายตามองผ่านเลนส์กล้องไป เผยให้เห็นดวงตาแนวแน่และจิตวิญญาณของวีรบุรุษในวัยเยาว์ เส้นผมปลิวไสวไปกับสายลม
สวีโหมวพยักหน้า ความรู้สึกในกล้องของซูโย่วอี๋ไม่เลวเลย!
“คัต”
สวีโหมวหยิบเครื่องกระจายเสียงขึ้นมา แม้อยากจะหยิบยกข้อผิดพลาด แต่ดู ๆ แล้วก็คิดไม่ออก “ฉากนี้ผ่านแล้ว พวกเราถ่ายเพิ่มเติมเอาไว้อีกสักหน่อย”
“คนที่สูง ๆ คนนั้นช่วยควบคุมอารมณ์ของตัวเองหน่อย มีเพียงคุณแค่คนเดียวที่แข็งเป็นท่อนไม้เลย”