บทที่ 174 กินข้าวด้วยกัน
บทที่ 174 กินข้าวด้วยกัน
ขณะนั้นก็มีทีมงานกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ข้าง ๆ
“ว้าว เท่มากเลย”
“พวกคุณเห็นที่ซูโย่วอี๋ขี่ม้าเมื่อกี้หรือเปล่า? ฉันอยากจะกรี๊ดเลย”
“เห็นสิ ฮ่า ๆ วันที่ซูโย่วอี๋ออดิชั่นบทฮั่วเสวียนฉันก็อยู่ด้วย แต่วันนี้ยิ่งเท่เข้าไปใหญ่”
“เทคเดียวผ่านเลย ขนาดผู้กำกับสวียังไม่มีปัญหา”
“เธอเก่งจัง ขี่ม้าในทุ่งหญ้าลาดชันอย่างนั้น ยากกว่าในสนามอีก”
หลังจากถ่ายเพิ่มเติม ฉากนี้ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนทำให้ผู้คนตกใจ ฉากต่อไปคือฉากที่ซูโย่วอี๋คุยล้อเล่นเรื่องพระเอกกับเหล่าลูกน้องที่มาจากในวัง
ความยากของฉากนี้อยู่ที่ซูโย่วอี๋ต้องแสดงอารมณ์หลากหลายอารมณ์ในเวลาเดียวกัน
อย่างแรก ฮั่วเสวียนและผู้ใต้บังคับบัญชาต้องแสดงความจริงจังต่อหน้าทหาร แต่บรรยากาศการเดินขบวนต้องเป็นไปอย่างคึกคัก
อย่างที่สอง ฮั่วเสวียนต้องแสดงศักดิ์ศรีของความเป็นแม่ทัพโดยมีผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
อย่างสุดท้าย ฮั่วเสวียนต้องไม่ค่อยสนใจพระเอกมากนัก
มีหลากหลายอารมณ์พัวพันกัน แต่เธอต้องแสดงผ่านประโยคคำพูดเพียงไม่กี่คำ
สวีโหมวเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดให้เธอแสดงออกมาอย่างไรดี เขาทำได้เพียงอธิบายสิ่งที่ต้องการ แต่จะแสดงออกมาอย่างไรนั้นต้องอยู่ที่ความเข้าใจของนักแสดง
สวีโหมวพูดจบ ซูโย่วอี๋พยักหน้าอย่างเงียบสงบ “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”
พอได้ยินแบบนั้น สายตาของสวีโหมวก็ดูลังเล เขาเองก็ยังสงสัยตัวเองอยู่เลยว่าเขาอธิบายชัดเจนหรือยัง แต่นี่ซูโย่วอี๋เข้าใจแล้วเหรอ?
เธอเข้าใจแล้วจริง ๆ หรือว่าแกล้งเข้าใจกันแน่?
ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงแล้ว สวีโหมวต้องเร่งเวลาเพื่อถ่ายอีกสองตอน
สถานที่ถ่ายทำในครั้งนี้เป็นทุ่งหญ้าราบ ซูโย่วอี๋ที่กำลังขี่ม้าอยู่ได้ยินเสียงหัวเราะจากเหล่าทหารดังมาจากด้านหลัง ตนก็หัวเราะออกมาเบา ๆ
เธอดูผ่อนคลาย
แต่รอยยิ้มนั้นก็หายวับไปและตำหนิผู้ใต้บังคับบัญชาว่าให้เคารพต่อผู้ที่มาจากวังหลวง
เหล่าทหารรีบกำจัดความคิดที่ดูถูกเหยียดหยามออกไป
ต้องมีทั้งความผ่อนคลาย เคร่งเครียด แต่ก็ไม่สันโดษในการแสดงฉากนี้
บุหรี่ของสวีโหมวเผาไหม้จนเกือบถึงมือ เขาจึงเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง
และต่อว่าด้วยเสียงต่ำพร้อมทั้งทิ้งบุหรี่ลง หลังจากนั้นก็ใช้เท้าเหยียบลงไป
ทุกครั้งที่สวีโหมวมองดูการแสดงของซูโย่วอี๋ ในใจก็มักจะรู้สึกแปลกประหลาด เป็นความรู้สึกที่เขาไม่ได้ยอมรับวิธีการแสดงแบบนี้ แต่หลังจากที่ซูโย่วอี๋แสดงออกมา สวีโหมวกลับรู้สึกว่าไม่มีการแสดงไหนที่เหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว
แม้แต่จุดบกพร่องเขาก็หามันไม่เจอเลย
สวีโหมวจึงพูดได้แต่เรื่องที่ไม่ค่อยสำคัญ “แสงล่ะ ฝ่ายจัดแสงไปไหนหมดแล้ว?”
“เสียงด้วย เสียงรบกวนเยอะเกินไป”
“คนที่อยู่ด้านหลังอย่าเสียงดัง”
“กินข้าวก่อน กินเสร็จแล้วก็พักครึ่งชั่วโมง บ่ายโมงครึ่งพวกเราค่อยถ่ายต่อ”
ซูโย่วอี๋ขี่ม้าอยู่ตลอดทั้งช่วงเช้า จนตอนนี้ท้องร้องโครกครากด้วยความหิว
พอได้ยินแบบนั้นก็มีความสุขมาก “ข้าวมาแล้ว”
เหมยเหมยพาศิลปินของตัวเองกลับไปยังรถพี่เลี้ยง แอร์ในนั้นค่อนข้างเย็นสบาย
มีการปรับเปลี่ยนรถพี่เลี้ยง ในนั้นมีเตียงขนาดเล็กให้ซูโย่วอี๋พักเป็นเวลาสั้น ๆ ได้
บนโต๊ะมีอาหารผัดอยู่สองสามจานและมีซุปไก่เข้มข้นถ้วยเล็กอยู่ด้วยถ้วยหนึ่ง
ซูโย่วอี๋เรียกให้เหมยเหมยมากินข้าวด้วยกัน
แต่เหมยเหมยกำลังพูดถึงข่าวที่เธอพึ่งได้รู้มา “พี่ซู พี่ถ่ายเสร็จเร็วที่สุดในนักแสดงนำทุกคนเลย แถมยังไม่ค่อยมีฉากที่แสดงไม่ดีเลยสักครั้ง ทีมงานทุกคนก็พูดว่าถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาของตัวเองก็คงจะไม่เชื่อว่าจะมีศิลปินที่สามารถผ่านมือผู้กำกับสวีได้ภายในครั้งเดียว”
“พี่ดังใหญ่แล้ว”
ซูโย่วอี๋หัวเราะหึหึออกมา “ก็แค่โชคดีน่ะ”
ถ้าไม่ใช่เพราะมีเกมสวมบทบาทอยู่ ซูโย่วอี๋ก็ไม่รู้เลยว่าเธอจะถูกต่อว่าขนาดไหน
เป็นเพราะระบบช่วยเธอเอาไว้แท้ ๆ
พอกินไปได้สักพัก สวีโหมวก็เข้ามาดูอาหารของเธอด้วยดวงตาเป็นประกาย
“อาหารของคุณดูดีจัง”
แต่ซูโย่วอี๋ไม่เข้าใจ “ผู้กำกับสวี พวกคุณไม่ได้สั่งมาให้เหรอคะ?”
สวีโหมวเลิกคิ้วขึ้น “ทีมละครของพวกเราไม่มีอาหารดีขนาดนี้หรอก หรือไม่คุณก็ลองบอกประธานลู่ดูสิ ผมคงมาขอกินข้าวกับคุณด้วย”
งานอดิเรกหลักสองอย่างในชีวิตของสวีโหมว อย่างแรกคือสูบบุหรี่ อย่างที่สองกินอาหารดี ๆ เรื่องสูบบุหรี่เขาทำได้ดีมาก อาชีพผู้กำกับอย่างเขามักจะกินนอนไม่เป็นที่ ส่วนการกินก็สบาย ๆ ทั่ว ๆ ไป
เมื่อเห็นซูโย่วอี๋มาอยู่ถึงในทุ่งหญ้าทะเลทรายแต่ยังมีอาหารดี ๆ แบบนี้ สวีโหมวก็ทำได้แค่แสดงความอิจฉา
ซูโย่วอี๋นิ่งไปครู่หนึ่งและมองไปยังเหมยเหมย “นี่ประธานลู่สั่งมาเหรอ?”
เหมยเหมยพยักหน้า “ค่ะ ลู่เฉินส่งคุณป้ามาทำอาหารให้ด้วย และให้มาพักโรงแรมเดียวกันกับพวกเรา”
นี่มัน
มากเกินไปหรือเปล่า…
สวีโหมวมองสายตาที่เปลี่ยนไปของซูโย่วอี๋ “คุณจะว่าอะไรไหมถ้าผมจะขอกินข้าวด้วยคน?”
ซูโย่วอี๋ยิ้มอย่างเกร็ง ๆ “ไม่มีปัญหาค่ะ”
ก็แค่ทำเพิ่มสำหรับหนึ่งคนเท่านั้น
“ผู้กำกับสวี เมื่อเช้าฉันถ่ายละครเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
สวีโหมวมองไปยังใบหน้าสวยของหญิงสาว การแต่งหน้าแบบนี้ทำให้เธอดูมั่นใจและน่าเกรงขามมาก
แต่ก็ยังคงความสง่างามอยู่ดี
“ถือว่าไม่เลว ว่าง ๆ คุณก็ไปดูการแสดงของตัวเองจากจอได้ มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดูข้อผิดพลาดของตัวเอง เป็นวิธีเรียนรู้ที่ดีอีกแบบหนึ่ง”
“ละครรักในฝันใช้วิธีออนแอร์ไปด้วยถ่ายทำไปด้วย ตอนที่ถ่ายอยู่ตอนนี้วันอังคารและวันพุธหน้าก็จะออกฉายแล้ว นั่นทำให้เราสามารถรับรู้คำติชมจากผู้ชมได้ทันที”
วิธีนี้เป็นความท้าทายและกดดันต่อตารางการถ่ายทำและการตัดต่อเป็นอย่างมาก สวีโหมวเองก็พึ่งเคยทำอย่างนี้เป็นครั้งแรก
ในเวลาแบบนี้ นักแสดงที่สามารถถ่ายทำเทคเดียวผ่านได้มีคุณค่าเป็นอย่างมาก
หลังจากที่สวีโหมวจากไป ซูโย่วอี๋นอนพักผ่อนในรถอยู่สักพัก จากนั้นก็ถ่ายฉากที่พูดคุยกับเหล่าทหารจนเสร็จ
ฉากต่อไปต้องเปลี่ยนสถานที่ถ่ายทำโดยไปถ่ายในอำเภอหลิงจือ เป็นฉากที่ต้องเจอกับพระเอกที่หน้าประตูเมือง
ก่อนที่จะแยกกันไป กลุ่มนักแสดงหลายคนรีบวิ่งเข้ามาหาซูโย่วอี๋เพื่อขอลายเซ็นและขอถ่ายรูปคู่
“โย่วโย่ว ฉันเป็นแฟนคลับคุณ ช่วยเซ็นชื่อให้ฉันหน่อยได้มั้ยคะ?”
ซูโย่วอี๋ยิ้มอย่างยินดี “ได้ค่ะ”
และค่อย ๆ ถ่ายรูปคู่กับพวกเขาทีละคน
หลังบอกลาแฟนคลับเสร็จ ซูโย่วอี๋ย้ายมาถึงอำเภอที่ถ่ายภาพยนตร์ ฮันเจ๋อหยางรออยู่ที่นั้นแล้ว
ตอนนี้สวีโหมวรู้สึกเชื่อมั่นในตัวของซูโย่วอี๋อย่างอธิบายไม่ถูก ตอนนี้ฉากและอุปกรณ์ประกอบฉากพร้อมแล้วจึงเริ่มถ่ายทำในทันที
ซูโย่วอี๋นำเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาหยุดลงที่หน้าประตูเมืองท่ามกลางฝุ่นตลบ
เธอลงจากม้ามาก่อนและเดินไปยังคนที่นั่งอยู่ในโรงน้ำชา
เธอทำท่าคำนับแบบทหารโดยการคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ข้าฮั่วเสวียนเคารพต่อโม่อ๋อง”
หลี่จื้อลุกขึ้นยืนและพูดขึ้น “ท่านแม่ทัพลุกขึ้นเถิด”
ฮั่วเสวียนลุกขึ้นและเงยหน้ามองไปยังใบหน้าของหลี่จื้อ ดวงตาเป็นประกายนั้นฉายแววประหลาดใจ
ฮั่วเสวียนนึกขึ้นมาได้ทันทีว่านี่คือพี่ใหญ่ของเธอเมื่อตอนเด็ก ๆ
ฮันเจ๋อหยางรู้สึกทึ่งในทักษะการแสดงที่ไม่ธรรมดาของซูโย่วอี๋ เพราะมันเป็นธรรมชาติมากจริง ๆ
เขาชะงักไปสองวินาทีก่อนแสดงต่อ
“ท่านแม่ทัพรู้จักข้าหรือ?”
ฮั่วเสวียนลดสายตาลงเพราะอีกฝ่ายจำไม่ได้ นางจึงรู้สึกผิดหวัง
แต่ก็สามารถควบคุมอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วและแสดงการต้อนรับหลี่จื้อเข้าสู่ค่ายทหาร
สวีโหมวมองดูทั้งสองคนผ่านจอมอนิเตอร์ “คัต เจ๋อหยาง เมื่อกี้คุณเหม่อ ถ่ายใหม่อีกรอบ”
ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในใจกลับคิดถึงเรื่องอื่น
ท่าทางการคำนับของซูโย่วอี๋เมื่อครู่นี้ก็เหมือนจริงมาก ๆ แต่มันไม่เหมือนกับการคำนับของทหารในละครที่เขาเคยถ่ายทำมาก่อนหน้านี้ สวีโหมวรู้สึกสับสนว่าควรจะเปลี่ยนดีหรือไม่
ถ้าไม่เปลี่ยน มันก็จะดูไม่ค่อยเคร่งครัด
แต่ถ้าเปลี่ยน ก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองทำผิด
คิดไปคิดมาเรียกซูโย่วอี๋มาเลยดีกว่า “การคำนับแบบทหารเมื่อกี้นี้คุณเรียนมาจากไหน?”
เพราะก่อนหน้านี้เธอไม่ได้เข้าร่วมการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ แน่นอนว่าคงไม่ได้เรียนรู้วิธีการทำความเคารพเหมือนคนอื่น ๆ
ซูโย่วอี๋นิ่งไปครู่หนึ่ง “ในละครก็ทำกันแบบนี้นี่คะ”
สวีโหมวพยักหน้าอย่างครุ่นคิด แต่หัวก็คิดไม่ออกว่าท่าทางการทำความเคารพแบบนี้มาจากละครเรื่องไหน
เขาเลยเรียกครูสอนศิลปะการต่อสู้มาและให้สอนท่าทางการเคารพที่ถูกต้องให้เธออยู่หลายรอบ หลังจากนั้นก็เริ่มถ่ายใหม่อีกครั้ง
โชคดีที่ซูโย่วอี๋หัวไวมาก ไม่อย่างนั้นสวีโหมวก็คงจะต้องโกรธมากแน่ ๆ ถ้าต้องรบกวนเวลาของคนอื่นเพื่อมาเรียนกับเรื่องแค่นี้!