บทที่ 176 ต้องเพิ่มเงินให้ด้วยมั้ย
บทที่ 176 ต้องเพิ่มเงินให้ด้วยมั้ย
“ท่านแม่ทัพ ท่านเอาแต่ฝึกทหารกับเหล่าไพร่พลทั้งวันทั้งคืน ไปเจอหญิงสาวเมื่อไหร่กัน?”
“เป็นหญิงสาวบ้านไหน? เป็นลูกสาวของบ้านที่รับซักผ้าหรือร้านตัดเสื้อ?”
สายตาของฮั่วเสวียนชำเลืองมองหลี่จื้อและขมวดคิ้วขึ้น ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไหร่ หากแต่ชุยดาบเดียวยังคงพูดแบบติดตลก
“ท่านแม่ทัพช่วยให้คำตอบที่ชัดเจนแก่ข้าด้วย พรุ่งนี้ข้าจะพาทหารสองสามคนไปขอผู้หญิงผู้นั้นมาให้ท่านเสีย”
ยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ ฮั่วเสวียนกำลังจะสั่งให้หยุด แต่หลี่จื้อก็พูดขึ้นมาก่อน “ท่านชุยยังอยากฟังเพลงหงส์ขังรักอยู่หรือไม่?”
เหล่าทหารค่อย ๆ พากันเงียบลง
ฮั่วเสวียนมองหลี่จื้อด้วยสายตาขอบคุณ
หลี่จื้อหยิบขลุ่ยขึ้นมาและเดินออกไปสองก้าว “ข้าเป่าขลุ่ยเพียงคนเดียวก็ไม่น่าสนใจ ไม่เหมือนให้ท่านแม่ทัพมาร่วมด้วย”
ให้เธอร้องเพลง?
การตอบสนองแรกของฮั่วเสวียนก็คือยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อปฏิเสธ แม้ว่าเธอจะสามารถร้องเพลงได้ แต่นั้นก็แค่ช่วงที่รู้สึกเบื่อ ๆ คงไม่สามารถร้องให้ใครฟังได้หรอก
ราวกับว่าหลี่จื้อจะมองออกถึงความในใจของเธอ “ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ฟังให้มีความสุขเถิด”
หลังจากที่เหล่าทหารลืมเรื่องที่จะไปขอผู้หญิงให้ท่านแม่ทัพไปแล้ว ก็มีเสียงปรบมือให้ทั้งสองคนแสดงด้วยกัน
ฮั่วเสวียนรู้สึกหมดหนทาง และมันก็ไม่ง่ายเลยที่จะหลีกหนีไปได้ “เช่นนั้นก็ทนฟังหน่อยล่ะ”
นักเต้นรำที่เดิมทีกำลังแสดงอยู่ถอยออกไปจนหมด ฮั่วเสวียนและหลี่จื้อลุกออกมาจากที่นั่งของตัวเองและออกไปยืนอยู่กลางทุ่งหญ้า
หลี่จื้อสะบัดเสื้อคลุมขึ้นและยกขลุ่ยหยกไว้ตรงปาก ท่วงทำนองที่ชวนโหยหาและคลอเคล้าล่องลอยไปในสายลม
ฮั่วเสวียนเริ่มอ้าปากร้องเพลง
“หนึ่งบุปผาหนึ่งโลก”
“หนึ่งใบไม้หนึ่งใบโพธิ์”
“ความเศร้าและความคิดของเมื่อคืนวาน”
“เรียกเสน่ห์ลุ่มหลงให้ตื่นขึ้น”
…
“กอดเจ้าไว้ในอ้อมแขนของข้า”
“เมามายท่ามกลางสายลมอันหอมหวาน”
“หัวใจไม่อาจล้าถอย”
“เป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า”
เพียงบทร้องบทเดียว เหล่าทหารต่างพากันนิ่งอึ้ง
หลี่จื้อมองไปยังฮั่วเสวียนด้วยสายตาชื่นชม “ท่านแม่ทัพร้องเพลงได้ไพเราะยิ่งนัก”
“จริงหรือ?” ดวงตาของฮั่วเสวียนเป็นประกายขึ้น
หลี่จื้อนิ่งไปครู่หนึ่งจึงตอบกลับ “แน่นอน”
เหล่าทหารต่างส่งเสียงร้องและปรบมือ
“ท่านแม่ทัพ ร้องอีกเพลงเถิด”
“ใช่ ๆ ๆ ร้องอีกเพลงเถิด”
ส่วนหญิงสาวที่อยู่ในที่ไกล ๆ กำลังตั้งตารอคอยด้วยความเขินอายเช่นกัน “เจ้าว่าคนที่อยู่ในใจของท่านแม่ทัพคือผู้ใดกัน?”
“ผู้หญิงคนไหนจะโชคดีถึงขนาดได้แต่งงานกันท่านแม่ทัพกันนะ”
“ท่านพี่ ท่านชอบท่านแม่ทัพใช่หรือไม่?”
“อย่าพูดมั่ว ๆ”
“ท่านพี่ แต่ว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้ต่างก็ชอบแม่ทัพกันทั้งนั้น”
หญิงสาวเขินอาย แต่ก็ดูโดดเดี่ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้
ใช่ เธอไม่เคยคุยกับท่านแม่ทัพเลยสักครั้ง แล้วท่านแม่ทัพจะมาชอบเธอได้อย่างไร
ฮั่วเสวียนกลับมายังที่นั่ง ในใจไม่ได้สงบนิ่งเหมือนกับท่าทีที่แสดงออกไปเลย
พึ่งร้องไปแค่เพลงเดียว แต่เธอไม่สามารถควบคุมการเต้นของหัวใจได้เลย
คำว่าเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าในบทเพลงที่เธอร้อง เหมือนเธอกำลังแสดงความในใจต่อชายคนข้าง ๆ นั้น
หลังจากที่แสดงบทเพลงนี้จบ หลี่จื้อก็ตามบริวารไปพักผ่อนแล้ว
ส่วนฮั่วเสวียนกำลังดื่มเหล้าอยู่คนเดียวจนถูกชุยดาบเดียวและเหล่าทหารคนอื่น ๆ หยอกล้อไม่จบ
“ชุยดาบเดียว” น้ำเสียงจริงจังของฮั่วเสวียน
ชุยดาบเดียวรีบทำท่าคำนับแบบทหารในทันที “ข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ”
“เฆี่ยนสิบครั้ง”
“ท่านแม่ทัพ ด้วยเหตุอันใดกันขอรับ?”
ฮั่วเสวียนพูดอย่างเย็นชา “เจ้าไม่สนใจคำพูดของข้า ไม่เคารพต่อโม่อ๋อง ดูหมิ่นราชวงศ์ สาเหตุเท่านี้มากพอหรือไม่?”
ชุยดาบเดียวรู้สึกสลดลง “ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยเพียงต้องการเตือนสติโม่อ๋อง ให้ท่านผู้นั้นได้ทราบว่าในค่ายทหารแห่งนี้ผู้ใดเป็นใหญ่เท่านั้น”
ฮั่วเสวียนสายตาเข้มงวด “เตือนสติรึ?”
“ผู้ใดเป็นใหญ่รึ?”
เหล่าทหารที่เหลืออยู่อยากจะขอความเมตตา แต่ในตอนนี้ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
ชุยดาบเดียวยอมรับชะตากรรม “ข้าน้อยน้อมรับการลงโทษ”
ว่าจบฮั่วเสวียนลุกขึ้นและกลับไปยังกระโจม
ซูโย่วอี๋เดินกลับไปยังกระโจมสักพักจึงได้ยินเสียง “คัต”
กลุ่มนักแสดงที่อยู่ด้านข้างดูผ่อนคลายลงและนั่งลงกับพื้นด้วยความขี้เกียจ
ส่วนฮันเจ๋อหยางออกมาจากอีกด้านหนึ่งพร้อมยกนิ้วโป้งให้ซูโย่วอี๋ “เธอแสดงได้ดีมาก”
ซูโย่วอี๋ขยิบตา “รุ่นพี่ฮันเองก็สุดยอดมาก”
สวีโหมวโบกมือเรียกทั้งสองคน “มานี่หน่อยผมมีเรื่องจะคุยกับพวกคุณ”
“การแสดงเมื่อกี้ไม่เลวเลย” สวีโหมวยืนยัน นี่เป็นเพียงการแสดงแค่ฉากแรก แต่สามารถทำได้ขนาดนี้ถือว่าไม่เลวเลยจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะสวีโหมคาดหวังไว้สูง คงสามารถผ่านได้ในครั้งเดียว
ซูโย่วอี๋ยืดหัวขึ้นและฟังอย่างตั้งใจ
“ซูโย่วอี๋ ท่าเดินของคุณเมื่อกี้นี้มีปัญหานิดหน่อย ต้องระวังหน่อยนะ”
สวีโหมวหยิบไมโครโฟนและเดินเข้าไปในฉาก “เมื่อกี้มีกี่คนที่นั่งอยู่ด้านซ้าย เวลาเดินออกไปอย่าปิดหน้าเข้าใจมั้ย?”
“เจ๋อหยาง ตอนแสดงคุณต้องเก็บอารมณ์ให้ได้มากกว่านี้หน่อย สายตาชื่นชอบในดวงตามันชัดเจนมากเกินไป คุณอย่าลืมว่าตอนที่คุณมาจากเมืองหลวง คุณมีหญิงที่รักอยู่แล้ว”
ซูโย่วอี๋มองไปยังฮันเจ๋อหยาง “รุ่นพี่ฮัน แม้ว่าฉันจะแสดงได้ดี แต่คุณไม่ต้องมาชอบฉันนะ ฉันไม่อนุญาต”
พวกเขาสองคนหยอกล้อกันบ้างเป็นครั้งคราวระหว่างการถ่ายทำ คนรอบข้างจึงไม่รู้สึกแปลกอะไร
แต่มีคนไม่น้อยที่แอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้
สวีโหมวชี้ให้เห็นถึงปัญหาและเตรียมให้แต่ละทีมเริ่มใหม่อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มันดีขึ้นมาก แม้แต่สวีโหมวก็ไม่พบปัญหาอะไร
หลังดูวิดีโอไปหลายรอบ สวีโหมวหยิบเครื่องกระจายเสียงขึ้นมาและตะโกนขึ้น “เลิกกอง!”
ทีมงานแถบไม่อยากเชื่อ “อ่า วันนี้ก็เสร็จเร็วอีกแล้วเหรอ?”
“ไวมาก ตอนนี้ยังไม่สี่ทุ่มเลยนะ”
“โอ้แม่เจ้า นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอย่างคุณฮันและเทพธิดาซูยอดเยี่ยมมากจริง ๆ ทำลายสถิติของเมื่อวานไปได้”
“ยังคิดอยู่เลยว่าเมื่อวานเลิกงานเร็วมากแล้ว แต่ไม่คิดว่าวันนี้จะเร็วกว่าเดิมอีก”
“ฮะ ๆ ฮ่า ๆ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังได้ใช้ชีวิตเข้าออกงานตรงเวลาบ้างแล้ว”
“ไป กลับไปดื่มเบียร์กัน”
“ไป ๆ ๆ”
ซูโย่วอี๋มองดูทุกคนเลิกงานกันอย่างมีความสุข เธอรู้สึกมีไฟมากยิ่งขึ้น
ส่วนเหมยเหมยยืนกอดเสื้อคลุมของเธอรออยู่ “ช่วงนี้กลางคืนเริ่มหนาวแล้วนะคะ”
“เธอคลุมให้ตัวเองเถอะ ชุดแสดงของฉันมีตั้งหลายชั้น ร้อนจะตายอยู่แล้ว”
ก่อนที่ซูโย่วอี๋จะเดินมาถึงรถพี่เลี้ยงและเตรียมที่จะขึ้นรถนั้น ฮันเจ๋อหยางโผล่มาจากไหนไม่รู้ “รอก่อน”
เธอเห็นเพียงแค่ฮันเจ๋อหยางขึ้นไปบนรถของตัวเองและลงมาอีกครั้งพร้อมกับของในมือ… เครื่องดื่ม?
ฮันเจ๋อหยางยื่นให้กับเหมยเหมย “ผมรู้สึกว่ามันอร่อยดี เลยอยากแบ่งให้คุณ”
ซูโย่วอี๋ยิ้มอย่างมีความสุข “ขอบคุณนะคะรุ่นพี่ฮัน”
ฮันเจ๋อหยางหันหลังกลับ ยกมือโบกขึ้นอย่างไม่ใสใจ “ไม่เป็นไร รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
ในการถ่ายทำครั้งต่อไป ความสัมพันธ์ของซูโย่วอี๋และฮันเจ๋อหยางดีมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าการถ่ายทำในวันนั้นจะหนักแค่ไหน ทีมงานก็สามารถทำงานเสร็จทันเวลาประมาณสี่ทุ่มเสมอ
ทีมงานมีช่วงเวลาสุขสบายมาหลายวัน พวกเขาต่างพากันพูดขึ้น “ฉันสามารถตามถ่ายงานกับพวกเขาไปตลอดชีวิตได้เลยนะ”
“ฉันด้วย!”
“เป็นครั้งแรกที่หวังว่าฉากนี้จะมีการถ่ายเพิ่มไปอีกสองวัน”
“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าแฟนของเทพธิดาซูคือลู่เฉิน ฉันล่ะอยากเชียร์นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอย่างคุณฮันจริง ๆ”
“ไม่ ฉันไม่อยาก ฉันเชียร์ลู่เฉินคนเดียวเท่านั้น”
การจับคู่อย่างลับ ๆ ของทีมงานละครก็เริ่มขึ้น แต่นักแสดงนำทั้งสองคนดูไม่ได้สนใจอะไร ในใจของพวกเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกของคู่รักหรืออะไรแบบนั้นเลย
มีครั้งหนึ่งที่ซูโย่วอี๋และผู้กำกับสวีกินข้าวด้วยกันและฮันเจ๋อหยางรู้เข้า นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมคนนั้นเลยพูดแค่ว่า พวกคุณแอบกินของอร่อยลับหลังผมเหรอ?
ก่อนที่จะเข้าร่วมโต๊ะกับพวกเขาในทันที
ตั้งแต่นั้นมาการกินข้าวสองคนก็กลายเป็นสามคน
จนซูโย่วอี๋รู้สึกเห็นอกเห็นใจคุณป้าที่ต้องทำอาหารเพิ่มมากขึ้น
ในเวลาว่างซูโย่วอี๋เลยถามขึ้น “เหมยเหมย เราต้องเพิ่มเงินค่าจ้างให้คุณป้าไหม?”
ตอนแรกบอกคนเดียว ไป ๆ มา ๆ คนยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เหมยเหมยได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะขึ้น “ไม่ต้องหรอกค่ะ”