บทที่ 181 ต่อว่าที่ละเลย
บทที่ 181 ต่อว่าที่ละเลย
ซูโย่วอี๋หยิบโทรศัพท์ออกมาและกดหาลู่เฉิน เธอต้องการระบายความเศร้าและความหดหู่กับเขา แต่พอพิมพ์ไปแล้วก็ลบ ลบแล้วก็พิมพ์ใหม่ เธอมีหลายสิ่งที่อยากพูด แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร
ขณะที่กำลังเหม่อลอยอยู่นั้น เสียงวีแชทจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
[ทำอะไรอยู่?] ลู่เฉินส่งข้อความมา
[มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า?]
ซูโย่วอี๋จินตนาการว่าถ้าลู่เฉินยืนอยู่ตรงหน้าของเธอในตอนนี้ เขาคงจะโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นอน พร้อมพูดด้วยเสียงอ่อนโยนนั่น
พอนึกถึงมุมใดมุมหนึ่งในโลกใบนี้ที่มีลู่เฉินอยู่ ซูโย่วอี๋ก็รู้สึกว่าต่อให้เจอเรื่องยากมากแค่ไหน มันก็ไม่ยากอีกต่อไป
ดังนั้นเธอจึงยิ้มขึ้น [วันนี้อากาศดีมาก]
ฉันคิดถึงคุณมาก…
[คิดถึงผมเหรอ?]
ซูโย่วอี๋มองข้อความของลู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะคำพูดของเธอดูไม่จริงใจหรือลู่เฉินอ่านใจเธอได้กัน?
ก็อาจจะใช่
ลู่เฉินฉลาดมาก
[อืม แต่ก็แค่นิดเดียว คุณไม่ต้องมาหาฉันนะ]
[โย่วอี๋ ช่วงนี้ที่บริษัทยุ่งมาก ตอนนี้ผมมาทำงานที่ต่างประเทศ คงไปหาคุณไม่ทัน]
ซูโย่วอี๋ไม่ได้รู้สึกผิดหวัง แต่กลับเป็นห่วงลู่เฉินมากกว่า
[ฉันรู้ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาหาฉัน แล้วก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะ]
นิ้วเรียวยาวของลู่เฉินกดพิมพ์ข้อความ [ครับ ตกลงครับ]
เขาไม่ได้บอกสถานการณ์ตอนนี้ให้ซูโย่วอี๋รู้ เพราะอยากทำให้เธอเซอร์ไพรส์ แต่ก็ไม่อยากให้เธอต้องมีความหวังและต้องผิดหวังเพราะเขาไม่ได้ไปหา
มีแฟนทั้งทีก็ต้องเอาใจ
หลังปิดโทรศัพท์ไป ซูโย่วอี๋เอาแต่คิดว่าจะเซอร์ไพรส์ลู่เฉินอย่างไรดี
ครั้งที่แล้วลู่เฉินมาหาเธอ ครั้งนี้เธออยากเป็นฝ่ายไปหาลู่เฉินเองบ้าง
แต่จู่ ๆ เสียงของผู้กำกับสวีก็ดังขึ้น ฮันเจ๋อหยางและป๋ายลิ่นกำลังจะเริ่มการถ่ายทำในเร็ว ๆ นี้ ซูโย่วอี๋จึงกลับไปยังเมืองที่ใช้ถ่ายทำละครเพื่อฝึกการใช้ลวดสลิงภายในห้อง
พูดตามตรงก็คือการถ่ายทำโดยใช้ลวดสลิง
แต่ผู้กำกับสวีไม่สามารถแยกตัวออกมาได้ จึงส่งผู้ช่วยผู้กำกับมาที่นี่เพื่อมาดูซูโย่วอี๋ฝึกใช้ลวดสลิง เห็นได้ชัดว่าผู้กำกับสวีให้ความสำคัญกับเธอมาก
ผู้ช่วยผู้กำกับนั่งลงบนเก้าอี้ผ้าใบ มองดูซูโย่วอี๋ที่ลอยตัวไปมาอยู่ในอากาศ
“คุณซู มองกล้องดี ๆ นะครับ”
“ท่าเมื่อกี้นี้มือต่ำไป ถ่ายออกมาแล้วไม่สวย”
“ตัวสั่นมากเกินไปแล้วครับ”
“พักก่อนแล้วกัน”
ฝึกไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง เรี่ยวแรงของซูโย่วอี๋ก็ตามไม่ทันแล้ว เสื้อผ้าของเธอโชกไปด้วยเหงื่อ
ครูสอนใช้ลวดสลิงวางซูโย่วอี๋ลง เหมยเหมยรีบตามขึ้นมาและหยิบผ้าขนหนูมาช่วยเช็ดเหงื่อให้เธอ “พี่ซู ตอนนี้พี่พัฒนาไปกว่าตอนแรกมากเลยค่ะ”
ซูโย่วอี๋ดื่มน้ำไปครึ่งขวด ก่อนจะหายใจเข้าลึก ๆ “อืม”
เวลาต่อมา ซูโย่วอี๋ฝึกฝนต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงและพักไปอีกสิบกว่านาที เธอทำอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกปวดหลังและเอว โดยเฉพาะส่วนหลังที่ทำให้ยืดหลังไม่ค่อยได้
แต่เธอก็ไม่ได้บ่นว่าเหนื่อยหรือเจ็บออกมาเลย
ผู้ช่วยผู้กำกับเองก็มองซูโย่วอี๋ด้วยสายตาชื่นชม
ในตอนแรก ซูโย่วอี๋อยู่ในฐานะแฟนสาวของลู่เฉิน ทีมละครหรือแม้แต่ผู้กำกับสวีเองก็ไม่กล้าเข้มงวดและอะไรกับเธอมาก แต่ซูโย่วอี๋ยังคงทะเยอทะยานและพยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้ใครมาวิพากษ์วิจารณ์เธอได้
“คุณซู เมื่อครู่นี้ผู้กำกับสวีโทรศัพท์มาถามถึงพัฒนาการของคุณ ผมตอบไปแล้วว่าคุณปรับตัวเข้ากับการใช้ลวดสลิงได้อย่างสมบูรณ์แล้ว พรุ่งนี้เช้าสามารถถ่ายทำต่อได้เลย”
“วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน รีบกลับไปพักผ่อนเถอะครับ”
ซูโย่วอี๋ลงมาช้า ๆ หลังจากถอดเชือกสลิงออก เธอมองไปที่ผู้ช่วยผู้กำกับ “ต้องรบกวนคุณมาอยู่กับฉันจนดึกดื่น ขอโทษนะคะ”
ผู้ช่วยผู้กำกับยิ้มและโบกมือขึ้น “เรื่องเล็กครับ แต่ที่สำคัญคือความพยายามของคุณต่างหาก”
ต่อให้ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนดูซูโย่วอี๋ใช้สลิง เขาเองก็คงจะต้องอยู่กับทีมละครเพื่อถ่ายทำต่อ เพราะตอนนี้ประมาณสี่ทุ่มแล้ว ทีมละครยังถ่ายทำไม่เสร็จ พูดตามตรง นี่สบายกว่าที่เขาต้องอยู่ถ่ายละครเสียอีก
แต่คำพูดขอบคุณของซูโย่วอี๋ยังคงทำให้เขารู้สึกถึงความเอาใจใส่ของเธอ “ผมไปก่อนนะครับ”
ซูโย่วอี๋พยักหน้าอย่างสุภาพ
รอจนผู้ช่วยผู้กำกับจากไป เจ้าหน้าที่ที่ดูแลลวดสลิงก็เริ่มเก็บอุปกรณ์
“ขอโทษนะคะ ฉันยังอยากฝึกซ้อมต่อ รบกวนอย่าพึ่งเก็บได้ไหมคะ”
เจ้าหน้าที่ที่ดูแลลวดสลิงอายุเกือบจะห้าสิบปีได้ เขาตัวผอมผิวคล้ำ และพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ “คุณซ้อมมาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว ร่างกายยังทนไหวอยู่เหรอครับ? งานแค่นี้ไม่จำเป็นต้องทำให้ลำบากตัวเองขนาดนั้นหรอกครับ”
ซูโย่วอี๋ดันมือลุกขึ้น ร่างกายตั้งตรง และยกยิ้มแต่กลับดูเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะพูด “ฉันเข้าใจค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ คุณวางใจได้ รีบกลับไปพักเถอะ ฉันอยู่คนเดียวได้ค่ะ”
เจ้าหน้าที่ที่ดูแลสวดสลิงเหนื่อยมาทั้งวัน “งั้นก็ได้ แต่หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณ ผมไม่รับผิดชอบนะครับ ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานแล้วด้วย”
“ไม่โทษคุณหรอกค่ะ วางใจได้เลย”
ผ่านไปสักพัก ผู้คนภายในสตูดิโอก็หายไปจนหมด แม้แต่ไฟก็เหลืออยู่แค่นิดเดียว
เหมยเหมยขมวดคิ้ว “พี่ซู ทำแบบนี้ไม่ค่อยเหมาะเลยนะคะ”
ท่าทางการแสดงของซูโย่วอี๋สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องซ้อมต่อไปด้วยซ้ำ สำหรับเธอแล้ว นี่คือเรื่องน่าห่วงที่สุด หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับซูโย่วอี๋ เธอคงรับผิดชอบไม่ไหว
แต่ซูโย่วอี๋พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เชื่อใจฉันเถอะ”
ว่าจบก็หันหลังกลับ เธอใส่อุปกรณ์ป้องกันตามวิธีที่เจ้าหน้าที่ดูแลลวดสลิงใส่ให้เพื่อเริ่มฝึกต่อไป
เหมยเหมยมองดูซูโย่วอี๋ตาไม่กระพริบ เพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเธอ
ตอนนี้ซูโย่วอี๋ลอยอยู่ในอากาศ ในหัวเอาแต่ร้องเรียกหาสุนัขจิ้งจอก
“นายช่วยฉันดูหน่อยว่ายังมีปัญหาอะไรอีกมั้ย”
สุนัขจิ้งจอกปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ขนอันเงางามและเรียบเนียนนั่นสั่นเบา ๆ
[เริ่มเลย]
ซูโย่วอี๋เหลือแรงอยู่ไม่มาก แต่ทันทีที่หยิบดาบขึ้นมา ก็เหมือนมีกระแสพลังที่พุ่งมาจากแขนขา ฟาดฟันดาบลงไปอย่างแรง
พลังของเธอค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมา
“เจ้าจิ้งจอกเน่า นายโกงให้ฉันเหรอ?”
สุนัขจิ้งจอกกลอกตาไปมา [ไม่โกงก็ต้องโกงแล้วแหละ รีบฝึกซ้อมซะ ซ้อมเสร็จจะได้กลับบ้าน]
ซูโย่วอี๋ยกยิ้มขึ้นและใช้พลังทั้งหมดไปกับการฝึกซ้อม
ตอนนี้เกือบจะเช้าแล้ว ในที่สุดสุนัขจิ้งจอกก็รู้สึกว่าไม่มีจุดที่จะต้องแก้ไขอีก จึงนอนลงในพื้นที่ระบบ [รีบกลับไปเถอะ ฉันเหนื่อยจะตายแล้ว]
ซูโย่วอี๋เหยียบลงบนพื้นอีกครั้ง ทันใดนั้นเท้าของเธอก็รู้สึกอ่อนแรง
เหมยเหมยพยุงเธอขึ้นไปบนรถและชนเข้ากับหลังของซูโย่วอี๋อย่างไม่ระวัง ทำให้เธอเจ็บจนร้องออกมา “โอ้ย”
“พี่ซู พี่เจ็บเหรอ?”
ซูโย่วอี๋กุ้มหน้าลงมองเท้าของตัวเอง มันไม่มีเลือดไหลออกมา ถ้าไม่ไปโดนก็ไม่รู้สึกเจ็บ
สายตาของเหมยเหมยดูแผ่นหลังของซูโย่วอี๋ด้วยความกังวล “จะถือสามั้ยคะถ้าฉันจะช่วยดูให้พี่?”
“ได้สิ”
เหมยเหมยดึงแผ่นกั้นที่นั่งด้านหน้าและด้านหลังลงแล้วดึงเสื้อของซูโย่วอี๋ขึ้น
แผ่นหลังสีขาวเต็มไปด้วยรอยช้ำสีเขียว ๆ ม่วง ๆ เป็นรอยเชือกรัดจนเกิดเป็นรอยฟกช้ำ
เหมยเหมยตกใจกับสิ่งที่เห็น “พี่ซู พี่ไม่เจ็บเหรอ?”
เป็นหนักขนาดนี้แล้วก็ยังจะฝืนฝึกต่ออีก!
ซูโย่วอี๋ชำเลืองตามองเบา ๆ “ยังไหว”
ระหว่างทางกลับโรงแรม เหมยเหมยให้คนขับรถขับวนไปมาตั้งหลายรอบกว่าจะหายาแก้ฟกช้ำจากร้านขายยาที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเจอ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เธอทายาให้ซูโย่วอี๋ไปก่อนครั้งหนึ่ง
“หลังอาบน้ำค่อยทายาอีกครั้ง ห้ามลืมเลยนะคะ ถ้าประธานลู่รู้ว่าพี่บาดเจ็บถึงขนาดนี้ เขาจะต่อว่าฉันที่ฉันละเลยหน้าที่ไหมเนี่ย?”
“เธออย่าบอกเขานะ”
เธอไม่อยากให้เขาต้องเป็นห่วง